ตอนที่แล้วตอนที่ 654 กำจัดกลุ่มเผ่ามาร?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 656 การตัดสินใจของเฉินตง

ตอนที่ 655 ธนาคารฟารซี


ตอนที่ 655 ธนาคารฟารซี

แต่ที่สุดโอโร่ก็ได้เปิดเผยแผนการออกมาว่าเขาต้องการที่จะชวนทั้งเซี่ยเฟยและเฉินตงเข้าร่วมกับเผ่ามารโดยเฉพาะ ในตอนที่พวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างในปัจจุบันแบบนี้

พูดตามตรงว่าเซี่ยเฟยค่อนข้างที่จะรู้สึกสนใจข้อเสนอเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าการที่มนุษย์ได้ไปเข้าร่วมกับเผ่ามารนั้น ทำให้เขาเริ่มไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ดีหรือไม่ดีกันแน่

ชายหนุ่มพยายามสลัดความคิดเรื่องพวกนั้นออกไปก่อน ก่อนที่เขาจะเปิดกล่องสมบัติทั้งสองกล่องเพื่อดูของที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ยังด้านใน และถึงแม้ว่ามันจะมีตัวล็อกคอยล็อกกล่องสมบัติเอาไว้ แต่เขาก็สามารถใช้ตะขอลวดปลดล็อกตัวล็อกแบบโบราณนี้ลงได้อย่างง่ายดาย

แกรก!

สิ่งแรกที่เขาเห็นภายในกล่องคือกุญแจสีทองที่ถูกสลักเอาไว้ด้วยตัวเลข 9527

ชายหนุ่มหยิบกุญแจขึ้นมามองอย่างสงสัย และมันก็คงจะเป็นเรื่องที่แย่มากหากกุญแจดอกนี้เป็นกุญแจสำหรับเปิดห้องเก็บสมบัติ เพราะท้ายที่สุดรังอีกาดำก็ถูกทำลายลงไปแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะมีกุญแจเปิดห้องเก็บสมบัติจริง ๆ แต่มันก็จะเป็นเพียงแค่สิ่งของที่ไร้ประโยชน์

“คุณรู้จักกุญแจดอกนี้ไหม?” เซี่ยเฟยถาม

“เซี่ยเฟย! นายรีบเปิดกล่องอีกกล่องเร็ว ๆ เข้า!!” โอโร่อุทานขึ้นมาเสียงดัง หลังจากที่เขาได้มองกุญแจดอกนี้อย่างระมัดระวัง

“คุณรู้จักกุญแจดอกนี้งั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“รีบเปิดกล่องอีกกล่องก่อนแล้วค่อยถามทีเดียว” โอโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลึกลับ

เซี่ยเฟยยักไหล่ก่อนที่เขาจะเปิดกล่องสมบัติอีกใบ และได้พบว่าด้านในเป็นบัตรสีทองที่มีขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือ โดยตัวบัตรทำมาจากโลหะที่มีลวดลายเหมือนแผ่นหินทั้งสองด้าน ราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากหินบางจริง ๆ

“ธนาคารฟารซี?” เซี่ยเฟยอ่านตัวหนังสือที่ถูกเขียนเอาไว้บนตัวบัตร

“กุญแจดอกนั้นเป็นกุญแจไขเข้าสู่ห้องนิรภัย ส่วนบัตรใบนี้ก็คือสมุดบัญชีของธนาคารฟารซี ซึ่งเป็นธนาคารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในดินแดนกฎ ฉันว่าตอนนี้นายคงจะได้สมบัติของทั้งตระกูลนั้นมาแล้วล่ะ” โอโร่อธิบายอย่างตื่นเต้นถึงความหมายของลูกกุญแจและบัตรของธนาคาร

“ถึงผมจะมีกุญแจกับบัญชีแล้วยังไงล่ะ? ไม่ว่ายังไงผมก็คงจะไม่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีของคนอื่นได้ใช่ไหม? อีกอย่างผมก็ไม่สามารถที่จะกลับไปที่อาณาเขตของเผ่าเทพเร็ว ๆ นี้ได้” เซี่ยเฟยกล่าวออกมาอย่างเฉยเมยโดยไม่ได้มีอาการตื่นเต้นเหมือนกับโอโร่เลย

“นายลองดูให้ดี ๆ ธนาคารนี้มันคือธนาคารส่วนตัวนะ นายเข้าใจความหมายของคำว่าธนาคารส่วนตัวไหม?” โอโร่กล่าวพร้อมกับหัวเราะกับความไม่รู้ของชายหนุ่ม

ชายหนุ่มส่ายหัวเป็นคำตอบเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้จริง ๆ

“ธนาคารที่นายรู้จักเรียกว่าเป็นธนาคารโดยทั่วไป ที่ข้อมูลภายในของธนาคารสามารถถูกเรียกตรวจจากสมาคมอื่น ๆ ที่คอยดูแลดินแดนนั้น ๆ อยู่ได้ อย่างเช่น สมาคมผู้คุมกฎที่สามารถเรียกตรวจบัญชีของผู้ต้องสงสัยได้ทุกเวลา ซึ่งข้อดีของธนาคารประเภทนี้คือบัญชีของธนาคารสามารถนำไปผูกติดกับการทำธุรกรรมสาธารณะได้ เช่น การผูกบัญชีเข้ากับเข็มทิศมิติ”

“แต่ในกรณีของธนาคารส่วนตัวเป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะการเปิดบัญชีของธนาคารประเภทนี้จะถูกเก็บทุกอย่างเอาไว้เป็นความลับ ทำให้ไม่มีใครสามารถตรวจสอบสิ่งที่ถูกเก็บไว้ภายในธนาคารได้”

“แต่ข้อเสียคือบัญชีของธนาคารส่วนตัวไม่สามารถนำไปผูกกับธุรกรรมใด ๆ ได้ และถ้าหากธนาคารล้มละลายของทุกอย่างที่ถูกฝากเอาไว้ในธนาคารก็จะหายไปตลอดกาล ไม่มีทางที่จะทวงคืนกลับมาได้เลย” โอโร่กล่าวอธิบาย

“แบบนี้ธนาคารส่วนตัวก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่สินะครับ เพราะถ้าหากว่าธนาคารปิดตัวลงไป พวกผู้ฝากเงินก็คงจะเดือดร้อนกันหมดเลย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

“นายจะดูถูกธนาคารส่วนตัวมากเกินไปแล้ว คนที่เป็นเจ้าของธนาคารส่วนตัวได้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน โอกาสที่ธนาคารส่วนตัวจะปิดตัวลงจึงมีโอกาสมากกว่าศูนย์อยู่เพียงแค่นิดเดียว”

“เอาล่ะสมมุติว่านายได้รับเงินมาจำนวนหนึ่งที่ได้มาจากการปล้นหรือเป็นเงินสกปรก นายจะเลือกใช้บริการธนาคารทั่วไปหรือธนาคารส่วนตัว?” โอโร่ถาม

“เงินจากงานดำมันก็ไม่น่าจะเอาไปฝากธนาคารธรรมดาได้อยู่แล้วนี่ครับ เพราะถ้าหากว่ามันมีการเรียกตรวจสอบ เงินพวกนั้นก็คงจะถูกยึดไปทั้งหมด ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะมีความเสี่ยงอยู่บ้างแต่ผมก็คงจะเลือกฝากเงินไปที่ธนาคารส่วนตัว” เซี่ยเฟยกล่าว

“ถ้าหากว่านายต้องการที่จะติดสินบนด้วยเงินก้อนโต แล้วต้องการจะมอบบัญชีให้เขาไปเบิกเงินด้วยตัวเอง นายจะใช้บริการของธนาคารธรรมดาหรือธนาคารส่วนตัว?” โอโร่กล่าวถามอีกครั้ง

“มันก็ต้องเป็นธนาคารส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะถ้าหากผมให้บัญชีธนาคารธรรมดา มันก็จะก่อให้เกิดเส้นทางการเงินที่ถูกเชื่อมโยงหลักฐานกลับมาหาผมได้” เซี่ยเฟยกล่าว

“แม้ว่าธนาคารส่วนตัวจะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง แต่มันก็มีข้อดีในการใช้งานอยู่อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการใช้สำหรับการทำธุรกรรมแบบลับ ๆ หรือการพยายามแอบซ่อนสมบัติชนิดที่ไม่ต้องการจะให้ใครรู้” โอโร่กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ

“ท้ายที่สุดมันก็ไม่มีทางที่ตระกูลใหญ่ ๆ จะมีแต่เงินสะอาดสินะครับ มันเลยจำเป็นจะต้องมีธนาคารประเภทนี้เพื่อเอาไว้เก็บความลับของแต่ละตระกูล” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“นายเข้าใจอะไรง่ายดีนิ นี่แหละคือสิ่งที่ตระกูลใหญ่ ๆ มักจะทำกัน และเนื่องมาจากว่าชาวแอตแลนติสก็เคยเป็นตระกูลในดินแดนเทพมาก่อน มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะมีบัญชีของธนาคารส่วนตัวและมีห้องนิรภัยเอาไว้สำหรับเก็บสมบัติล้ำค่า”

“เท่าที่ฉันรู้มาถ้าหากนายต้องการจะเปิดบัญชีของธนาคารฟารซี นายจะต้องฝากเงินขั้นต่ำจำนวน 1 ล้านคริสตัลเหลือง เพราะธนาคารนี้ไม่ใช่ธนาคารสำหรับคนจน มันจึงมีเฉพาะตระกูลขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถใช้บริการธนาคารนี้ได้”

“อะไรนะ?! ยอดฝากขั้นต่ำ 1 ล้านคริสตัลเหลือง!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะเขาไม่คิดว่าเพียงแค่ยอดฝากเงินขั้นต่ำมันจะเป็นจำนวนเงินที่สูงมากขนาดนี้

แม้เขาจะไม่รู้ว่าตระกูลแอตแลนติสจะได้ฝากอะไรเอาไว้ในธนาคาร แต่หลังจากที่เขาได้ฟังคำอธิบายจากโอโร่ เขาก็เริ่มคาดหวังแล้วว่าภายในห้องนิรภัยนั้นมันก็ควรจะต้องมีสมบัติให้เขาเข้าไปเก็บเกี่ยวกลับมาบ้าง

“แต่ตอนนี้ผมกำลังถูกตามล่าอยู่นะ ไม่ว่าสมบัติในธนาคารจะดีมากแค่ไหน แต่ผมก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นมันหรอก” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง

“นายก็แค่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากฮีธฟิลด์” โอโร่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์

“เขาเป็นคนของเผ่ามาร แล้วเขาจะช่วยผมได้ยังไง?” เซี่ยเฟยถาม

“ธนาคารฟารซีมีสาขาในเขตแดนเผ่ามารเหมือนกัน ส่วนเรื่องห้องนิรภัยนายก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวล เพราะมันไม่มีใครรู้ว่าห้องนิรภัยของพวกเขาตั้งอยู่ที่ไหน การเดินทางไปยังห้องนิรภัยจึงจำเป็นจะต้องเดินผ่านประตูวาร์ปไปเท่านั้น หรือมันอาจจะกล่าวได้ว่าไม่ว่านายจะอยู่ในแดนเผ่าเทพหรือแดนเผ่ามาร นายก็สามารถเดินทางเข้าสู่ตำแหน่งของห้องนิรภัยได้” โอโร่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

คำอธิบายนี้ทำให้เซี่ยเฟยตกตะลึงในทันที เพราะถ้าหากเขาสามารถเข้าสู่ห้องนิรภัยของธนาคารฟารซีจากแดนเผ่ามารได้ เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเขามาก

“ฮีธฟิลด์เป็นราชวงศ์ของตระกูลไลอ้อนฮาร์ท ตราบใดก็ตามที่เขาให้การรับรอง นายก็สามารถที่จะใช้บริการธนาคารฟารซีได้อย่างสบายใจ”

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องกลับไปที่เมืองแบล็กไลออนเป็นอันดับแรกสินะ” เซี่ยเฟยพึมพำพร้อมกับยกมือขึ้นมาจับคาง

ในช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้นเซี่ยเฟยก็เดินออกจากห้องซ้อมพร้อมกับพลังที่เลื่อนระดับขึ้นมากลายเป็นอัศวินกฎขั้นที่ 7 แล้ว

“นายได้คิดเรื่องที่ฉันบอกไปเมื่อวานแล้วหรือยัง ทางเลือกของฉันคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนายกับเฉินตงในตอนนี้ ไม่ว่ายังไงดินแดนกฎก็เป็นดินแดนที่เคารพผู้แข็งแกร่งมากที่สุด ตราบใดก็ตามที่พวกนายยังคงแข็งแกร่งขึ้น สักวันหนึ่งพวกนายก็จะได้รับการต้อนรับไม่ว่าพวกนายจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม” โอโร่กล่าว

“ถ้าผมเลือกเข้าร่วมกับตระกูลไลอ้อนฮาร์ท มันก็หมายความว่าผมจะหันหลังให้กับสังคมมนุษย์ตลอดไป ที่สำคัญสถานะของมนุษย์ในเผ่ามารก็ไม่ต่างไปจากพลเมืองชั้น 3” เซี่ยเฟยกล่าว

“ตระกูลไลอ้อนฮาร์ทของพวกเราถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ ตราบใดก็ตามที่นายยังคงอยู่ในตระกูล มันก็ไม่มีใครสามารถที่จะดูถูกนายได้” โอโร่ยังคงพยายามที่จะโน้มน้าวใจเซี่ยเฟยต่อไป

เซี่ยเฟยกับเฉินตงต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นนักรบที่มีพรสวรรค์สูงมาก และถ้าหากว่าเซี่ยเฟยเข้าร่วมกับตระกูลไลอ้อนฮาร์ทจริง ๆ โอโร่ก็จะได้เฝ้าดูการเติบโตของลูกหลานตัวเองพร้อม ๆ กับได้นักรบที่แข็งแกร่งเข้าร่วมตระกูล ซึ่งถือว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

“ผมยังไม่อยากเข้าร่วมเผ่ามารในตอนนี้ แต่ในส่วนของเฉินตงเดี๋ยวผมจะไปถามเขาให้” เซี่ยเฟยกล่าวปฏิเสธ

มื้อเย็นเป็นไข่ตุ๋นกับซุปหน่อไม้ ซึ่งในระหว่างมื้ออาหารเฉินตงก็ชมเชยฝีมือในการทำอาหารของกระป๋องไม่หยุด

“เฉินตง ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับนาย” เซี่ยเฟยเริ่มบทสนทนา

“มีอะไรงั้นเหรอ?” เฉินตงกล่าวถามขณะยังคงกินของหวานด้วยความเร็วราวกับพายุ

“ความจริงฉันมีคนรู้จักอยู่คนหนึ่งซึ่งตระกูลของเขามีอำนาจมาก เรียกได้ว่ามากกว่าเก้าตระกูลชั้นยอดด้วยซ้ำ ตอนนี้ตระกูลของเขากำลังขาดแคลนผู้มีความสามารถ ถ้าหากว่านายยินดีทางเลือกนี้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าว

“มีอำนาจมากกว่าเก้าตระกูลชั้นยอดงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็คงจะเป็นตระกูลขั้นสูงสุดของดินแดนกฎเลยใช่ไหม?” เฉินตงกล่าวถามอย่างประหม่า

“จะเรียกแบบนั้นก็ไม่ผิด พวกเขามีวิธีการฝึกฝนที่ดีมากและภายในตระกูลของพวกเขาก็เต็มไปด้วยปรมาจารย์นักสู้ที่แข็งแกร่งอย่างมากมาย”

คำพูดของเซี่ยเฟยทำให้เฉินตงรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นพวกบ้าการต่อสู้ การได้เข้าร่วมกลุ่มกับปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งเป็นจำนวนมากจึงกระตุ้นสัญชาตญาณของเขาขึ้นมาได้ในทันที

“แต่ตระกูลนี้ไม่ใช่ตระกูลของมนุษย์และสถานที่ตั้งตระกูลของพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในดินแดนของเผ่าเทพ” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่ใช่ตระกูลของเผ่าเทพ!? นี่นายติดต่อกับพวกเผ่ามารอยู่งั้นเหรอ!!” เฉินตงอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“ทำไม? นายกลัวงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับ

“ฉันเนี่ยนะกลัว? แต่ถ้าฉันเข้าร่วมกับเผ่ามาร มันก็หมายความว่าฉันจะไม่สามารถกลับมาเข้าร่วมกับเผ่าเทพได้แล้วใช่ไหม?” เฉินตงกล่าว

“ใช่ เผ่าเทพกับเผ่ามารไม่ถูกกัน ดังนั้นถ้าหากนายเข้าร่วมกับตระกูลของเผ่ามาร มันก็หมายความว่านายจะกลายเป็นศัตรูของเผ่าเทพแน่นอน การเลือกเดินเส้นทางสายนี้มันจึงเป็นเส้นทางที่นายไม่สามารถเดินย้อนกลับมาได้อีกแล้ว และนี่ก็คือเหตุผลที่ฉันอยากจะถามนายก่อน” เซี่ยเฟยกล่าว

คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่สามารถตัดสินใจได้ง่าย ๆ เลย เพราะมันคือการตัดสินเส้นทางในอนาคตที่ไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงเส้นทางได้อีกแล้ว

ปัจจุบันเซี่ยเฟยกับเฉินตงยังคงเป็นเพียงแค่อัศวินกฎ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรถ้าหากว่าพวกเขาจะไปทั้งเผ่าเทพและเผ่ามาร แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาได้กลายเป็นราชากฎ เมื่อนั้นพวกเขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระเหมือนเดิมได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้การตัดสินใจเลือกทางเดินในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และเซี่ยเฟยก็เลือกที่จะปฏิเสธคำเชิญของโอโร่ไปก่อนแล้ว

“เอาล่ะนายลองกลับไปคิดดูดี ๆ ก็แล้วกัน ฉันไม่อยากจะให้นายรู้สึกเสียใจไปชั่วชีวิต หลังจากนี้ฉันจะต้องไปทำธุระในเผ่ามารสัก 2-3 วัน แล้วฉันค่อยกลับมาเอาคำตอบจากนายทีหลังก็ได้” เซี่ยเฟยกล่าว

***************

พี่เฟยปฏิเสธไปแล้ว แล้วเฉินตงล่ะ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด