ตอนที่แล้วตอนที่ 652 ระเบิดรังอีกาดำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 654 กำจัดกลุ่มเผ่ามาร?

ตอนที่ 653 ถั่วสีทอง


ตอนที่ 653 ถั่วสีทอง

เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยขมวดคิ้วด้วยความปวดหัว เพราะตอนแรกเขาคิดว่าคนที่ต้องการเอาชีวิตเขามีเพียงแค่หยูฮัวกับคนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเท่านั้น เขาจึงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในปัจจุบันเขาได้กลายเป็นที่ต้องการตัวของคนทั่วทั้งดินแดนกฎแล้ว

หากเรื่องนี้อยู่ในการดูแลของสมาคมผู้ใช้กฎ อย่างน้อยเซี่ยเฟยก็ยังพอที่จะมีสิทธิ์แก้ต่างให้กับตัวเองได้ อย่างไรก็ตามในกรณีที่เขาถูกตั้งค่าหัวจากพวกนักล่า มันก็จะเป็นเรื่องที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะมันคงไม่มีใครอยากจับเป็นเขาให้เสียเวลา

เมื่อการไล่ล่าในครั้งนี้เกิดขึ้นจากคนทั่วทั้งดินแดนของผู้ใช้กฎ สถานการณ์นี้มันก็อาจจะเป็นความท้าทายที่อันตรายที่สุดเท่าที่เขาได้พบเจอในชีวิต

“พวกมันกำลังบีบบังคับให้ฉันตายสินะ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับกัดฟัน

“ค่าหัวของนายไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยจริง ๆ แม้แต่ตระกูลขนาดเล็กบางตระกูลก็ยังส่งคนออกมาตามล่านายด้วย ฉันว่าคราวนี้นายกับแอวริลคงจะต้องระวังตัวเองเอาไว้ให้ดี ๆ มันไม่มีทางที่คนพวกนั้นจะยอมปล่อยนายไปง่าย ๆ อย่างเด็ดขาด” เฉินตงกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

“เอาล่ะพวกเรากลับกันก่อนดีกว่า ฉันยังพอมีแผนสำรองอยู่ แล้วสักวันหนึ่งฉันจะกลับไปทำให้พวกมันต้องชดใช้ทีหลัง” เซี่ยเฟยกล่าวก่อนที่เขาจะเริ่มใช้งานเข็มทิศมิติ

“นี่น่ะเหรอสิ่งที่นายเรียกว่าแผนสำรอง?!” เฉินตงอุทานออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ขณะที่เขาได้มองไปยังเมืองขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหุ่นยนต์

“ที่นี่มันมีหุ่นยนต์อยู่กี่ตัวกันแน่?” เฉินตงถามขณะชี้นิ้วไปยังกองยานที่กำลังแล่นผ่านน่านฟ้าของดินแดนลับ

“ฉันก็ไม่เคยนับจำนวนจริง ๆ จัง ๆ เหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าหุ่นยนต์ที่พร้อมรบน่าจะมีจำนวนเกินกว่า 10,000 ล้านตัว” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“หมื่นล้าน!! นี่มันเป็นกองกำลังที่สามารถกวาดล้างพันธมิตรได้ง่าย ๆ เลยนะ ทำไมนายไม่บุกยึดพันธมิตรแล้วตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดีไปเลยล่ะ!” เฉินตงอุทานออกมาอย่างตกใจ

แม้ว่าตระกูลของเขาจะเป็นตระกูลนายพลที่นำกองกำลังของอาณาจักรมาหลายชั่วอายุคน แต่เขาก็ไม่เคยเห็นกองกำลังไหนที่มีความยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“หลังจากที่นายเดินทางไปดินแดนกฎแล้ว นายยังสนใจตำแหน่งประธานาธิบดีของพันธมิตรอยู่อีกจริง ๆ เหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“นั่นสินะ ดินแดนกฎเป็นสิ่งที่อยู่เหนือเกินกว่าจินตนาการของพวกเราไปไกลจริง ๆ ตอนนี้ถึงแม้ว่ามันจะมีคนเสนอเก้าอี้ประธานาธิบดีมาให้กับฉัน แต่ฉันก็คงจะปฏิเสธมันโดยไม่ลังเล” เฉินตงกล่าว

ระหว่างพูดคุยกันนั้นทั้งสองคนก็เดินทางไปยังตึกที่ใหญ่ที่สุดภายในเมือง ซึ่งสถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นสำนักงานใหญ่ของกองทัพหุ่นยนต์เท่านั้น แต่มันยังเป็นสถานที่ตั้งร่างของเทพธิดาโซฟีอีกด้วย

“ไหนนายช่วยเล่ารายละเอียดเรื่องค่าหัวให้ฉันฟังหน่อย” เซี่ยเฟยถาม

“ในดินแดนกฎมีสมาคมผู้คุมกฎคอยทำหน้าที่ในมุมสว่าง ขณะที่ในมุมมืดมันก็มีสมาคมเดทมาร์คคอยควบคุมดูแลอยู่เหมือนกัน และเมื่อไม่นานมานี้มันก็ได้มีคนไปประกาศตั้งค่าหัวนายที่สมาคมเดทมาร์ค ทำให้นักฆ่าทั่วทั้งดินแดนกฎต่างก็มุ่งหน้าเข้ามาหาร่องรอยของนาย” เฉินตงกล่าว

“ใครเป็นคนตั้งค่าหัวฉัน?” เซี่ยเฟยถาม

“ผู้ตั้งค่าหัวสามารถสำรองเงินเอาไว้ในธนาคารที่สมาคมกำหนดเอาไว้ได้ จากนั้นไม่ว่าใคร ๆ ก็สามารถที่จะตั้งค่าหัวใครคนหนึ่งได้โดยไม่จำเป็นจะต้องแสดงตัวได้เหมือนกัน ซึ่งหลังจากที่ผู้ตั้งค่าหัวทำตามเงื่อนไขครบทุกข้อแล้ว หลังจากนั้นทางสมาคมเดทมาร์คก็จะคอยจัดการงานในส่วนที่เหลือให้กับผู้ว่าจ้างทั้งหมดเอง”

“แน่นอนว่าทางสมาคมย่อมมีการเรียกเก็บค่าใช้บริการด้วย โดยค่าบริการก้อนแรกจะคิดเป็น 10% จากค่าหัวที่ถูกตั้ง ไม่ว่าการล่าค่าหัวนั้นจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม และตราบใดที่มีคนเอาหัวของเหยื่อไปขึ้นเงิน ทางสมาคมก็จะคิดค่าใช้บริการจากผู้ตั้งค่าหัวอีก 20%”

“พวกคนในโลกใต้ดินไม่สนใจหรอกว่าใครทะเลาะกับใครเพราะอะไร พวกเขาสนใจแค่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เท่านั้น หากว่านายไม่สามารถตีสนิทกับผู้บริหารระดับสูงของสมาคมเดทมาร์คได้ นายก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าครั้งนี้ใครมันเป็นคนตั้งค่าหัวของนายขึ้นมา” เฉินตงอธิบาย

“นี่ชีวิตของฉันกับแอวริลมีมูลค่ารวมกัน 2.6 ล้านคริสตัลเหลืองเลยงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าคนที่ต้องการชีวิตฉันจะเป็นพวกตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยมากเลยสินะ” เซี่ยเฟยกล่าว

“อาจารย์... ไม่สิ ซัลลิแวนบอกฉันว่าเงินจำนวนนี้มากเกินกว่ารายได้รายปีของตระกูลธรรมดาในดินแดนกฎซะอีก และตระกูลที่สามารถเสนอเงินค่าหัวขนาดนี้ได้ มันก็มีเพียงแต่คนจากเก้าตระกูลชั้นยอดหรือตระกูลขนาดใหญ่ในกลุ่มดาวม้าขาวเท่านั้น เพราะตระกูลอื่น ๆ ไม่มีทางเสนอเงินค่าหัวสูงขนาดนี้ได้แน่นอน”

“ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่ไม่ว่ายังไงทางสมาคมผู้คุมกฎก็จะต้องรู้เรื่องอย่างแน่นอน แต่มันกลับไม่มีการเคลื่อนไหวของทางสมาคมผู้คุมกฎออกมาเลย หรือมันก็หมายความว่าการตั้งค่าหัวของนายได้รับการอนุมัติจากสมาคมผู้คุมกฎแล้ว”

“เมื่อนำเรื่องทุกอย่างมารวมเข้าด้วยกัน คนที่ตั้งค่าหัวนายในครั้งนี้ก็จะต้องเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของดินแดนกฎแน่ ๆ” เฉินตงกล่าว

เซี่ยเฟยกำหมัดแน่นอย่างเงียบ ๆ เพราะไม่ว่าเขาจะเดินทางไปที่ไหนมันก็ล้วนแล้วแต่เจอปัญหา คล้ายกับว่ามันไม่มีสถานที่แห่งใดในจักรวาลที่เขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสงบ

“เดี๋ยวก่อนนะ! ฉันจำได้ว่าอารยธรรมโบราณถูกกวาดล้างโดยกองทัพหุ่นยนต์ไม่ใช่เหรอ? กองทัพหุ่นยนต์ของนายมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพหุ่นยนต์พวกนั้นหรือเปล่า?” เฉินตงถาม

“ความจริงมันก็พอจะมีการเชื่อมโยงกันอยู่บ้าง แต่โดยสรุปแล้วกองทัพพวกนี้ก็ไม่ใช่กองทัพหุ่นยนต์ที่ทำลายอารยธรรมโบราณ” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ

เฉินตงยักไหล่อย่างเมินเฉยและถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบหุ่นยนต์มากนัก แต่เมื่อเซี่ยเฟยได้อธิบายสถานการณ์แล้วเฉินตงก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหุ่นยนต์ออกมา

“จำเอาไว้ด้วยว่าถ้าหากนายเจอแอวริล อย่าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านี้เป็นอันขาด” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเคร่งขรึม

เฉินตงพยักหน้ารับก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปในตึกสำนักงานใหญ่ของหุ่นยนต์อย่างรวดเร็ว

เพื่อเป็นการต้อนรับเฉินตง พวกหุ่นยนต์จึงได้จัดงานเลี้ยงขึ้นมาอย่างหรูหรา โดยมีหุ่นยนต์ที่คอยให้บริการอยู่อย่างมากมาย

แอวริลรู้มานานแล้วว่าเฉินตงคือเพื่อนของเซี่ยเฟย และการที่เธอได้พบมนุษย์คนอื่นหลังจากที่ได้ติดอยู่ในเมืองของหุ่นยนต์มาเป็นเวลานาน ประกอบกับเซี่ยเฟยสามารถเดินทางกลับมาได้อย่างปลอดภัย มันจึงทำให้หญิงสาวรู้สึกมีความสุขมากเป็นพิเศษ

โซฟี, มอร์โรว์และวอร์สตาร์ก็ได้นั่งรวมโต๊ะอาหารของมนุษย์ทั้งสามคนนี้ด้วย และถึงแม้ว่าเฉินตงจะค่อนข้างหัวโบราณ แต่เขาก็ยังคงรับประทานอาหารอย่างสุภาพโดยไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจออกมา

กระป๋องกำลังยุ่งอยู่กับการเสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหาร แต่สิ่งที่น่าแปลกคือเซี่ยเฟยกลับไม่เห็นขนอุยในช่วงเวลาอาหารค่ำ

“ขนอุยไปไหนงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย

“เขาคงจะเขินล่ะมั้ง” แอวริลกล่าวพร้อมกับปิดปากส่งเสียงหัวเราะ

“อสูรที่หน้าหนาอย่างกำแพงเมืองจีนแบบมันจะมาเขินอายอะไร รีบ ๆ พามันมาหาฉันที” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างหมั่นไส้ที่เจ้าตัวน้อยไม่ยอมออกมาต้อนรับการกลับมาของเขา

“ไม่ต้องไปไหนหรอก ขนอุยอยู่นี่แล้ว” แอวริลกล่าวพร้อมกับลูบผมยาวสลวยของเธอเบา ๆ ก่อนที่เธอจะหยิบลูกบอลสีทองขนาดเท่าถั่วลิสงที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณหลังคอของเธอออกมา

“ห๊ะ! ก่อนฉันไปมันยังตัวขนาดเท่าลูกบอลอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?! ทำไมตอนฉันกลับมามันถึงกลายเป็นถั่วไปแบบนี้” เซี่ยเฟยแทบจะกระโดดออกมาจากเก้าอี้ขณะชี้นิ้วไปยังขนอุยด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

เมื่อได้เห็นท่าทางของเซี่ยเฟย ขนอุยก็มองไปทางชายหนุ่มอย่างไม่พอใจ

“หลังจากที่นายไปขนอุยเหมือนจะโกรธนายมาก มันจึงเอาแต่นั่งกินคริสตัลที่นายทิ้งเอาไว้อยู่บนเตียงไม่ยอมไปไหน ก่อนที่มันจะตัวหดลงเหลือตัวแค่เนี้ย” แอวริลพูดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับก้มศีรษะลงราวกับเธอกำลังโทษตัวเองที่ดูแลขนอุยไม่ดี

“ไม่เป็นไร ๆ ฉันแค่ล้อเล่น เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก ที่มันตัวเล็กลงแบบนี้เพราะว่ามันวิวัฒนาการขึ้นมาต่างหาก” เซี่ยเฟยรีบเข้าไปกอดปลอบหญิงสาว

“วิวัฒนาการงั้นเหรอ? ฉันไม่คิดเลยว่าหลังจากวิวัฒนาการมันจะตัวเล็กลง ถึงแม้ว่ามันจะน่ารักขึ้นแต่ฉันกลัวว่ามันจะถูกลมพัดปลิวไปไหนมาไหนจังเลย” แอวริลกล่าวพร้อมกับหยิบร่างของขนอุยขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

“นี่มันตัวอะไร?” เฉินตงกล่าวถามอย่างสงสัย ขณะจ้องมองไปยังถั่วสีทองที่ถูกนำกลับมาวางเอาไว้บนโต๊ะ

เมื่อได้ยินคำถามจากเฉินตง ขนอุยก็จ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจในทันที่ เฉินตงจึงทำได้เพียงแต่ยกมือขึ้นมาทำท่ายอมแพ้ เพราะเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปรังแกเจ้าตัวน้อยตัวนี้

“มันเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่ามารขาว” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“อสูรศักดิ์สิทธิ์!? มารขาว!?” เฉินตงชะงักค้างไปเมื่อเขาได้รู้ว่าเจ้าหนูนี่คืออสูรศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน และถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเรื่องของอสูรศักดิ์สิทธิ์มาบ้าง แต่นี่คือครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสพบกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวเป็น ๆ

“นี่น่ะเหรออสูรศักดิ์สิทธิ์ ฉันคิดว่าพวกมันจะเป็นอสูรตัวใหญ่ที่ดูดุร้ายมากกว่านี้ซะอีก” เฉินตงจับคางพร้อมกับพึมพำออกมาเบา ๆ

เสียงพึมพำนี้ต่างก็เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนที่อยู่บนโต๊ะ มีเพียงแต่ขนอุยที่กำลังคิดภายในใจ อย่างไม่ค่อยพอใจว่า

“เฮ้! นี่มันเป็นเพียงแค่หนึ่งในร่างหลังจากวิวัฒนาการของฉันเท่านั้นแหละ นายอย่ามาตัดสินฉันเพียงเพราะว่าฉันตัวเล็กได้ไหม!!”

งานเลี้ยงดำเนินต่อไปอย่างมีชีวิตชีวา ซึ่งนอกเหนือจากขนอุยที่โดนแซวแล้วทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีความสุขกับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้

แน่นอนว่าทั้งเซี่ยเฟยและเฉินตงต่างก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่พวกเขากำลังถูกล่าค่าหัว เพราะไม่ว่าวิกฤตจะยิ่งใหญ่มากแค่ไหนเซี่ยเฟยก็พร้อมที่จะแบกรับแรงกดดันเหล่านั้นเอาไว้เพียงลำพัง บทสนทนาที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารจึงเป็นเพียงแค่บทสนทนาเรื่องธรรมดาโดยทั่วไป

ระหว่างงานเลี้ยงพวกโซฟีตั้งใจรับฟังบทสนทนาของมนุษย์ทั้งสามมาก เพราะการได้เรียนรู้ประสบการณ์จริงเกี่ยวกับมนุษย์ มันก็จะทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาไปในทางที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่านี้

หลังจากงานเลี้ยงเซี่ยเฟยกับเฉินตงก็มุ่งหน้าตรงไปยังห้องฝึกซ้อม และไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่ได้พบกันมา 2 ปีแล้ว มันจึงมีเรื่องต่าง ๆ ให้พวกเขาได้พูดคุยกันอย่างมากมาย

“พวกเรามาดูสมบัติที่เราได้มาในวันนี้ก่อนดีไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหยิบกล่องสมบัติอีกสองกล่องออกมาจากแหวนมิติ

“ไม่จำเป็นหรอก ไม่ว่าของข้างในจะเป็นอะไร ของพวกนั้นก็สมควรเป็นของนาย”

“ฉันได้เรียนรู้กฎน้ำแข็งที่เป็นกฎแยกย่อยของกฎแห่งสสาร ดังนั้นฉันจึงไม่ต้องการอาวุธหรือชุดเกราะของตัวเอง แตกต่างจากนายที่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เพื่อที่จะสามารถแสดงพลังต่อสู้ออกมาได้อย่างสูงสุด”

“อีกอย่างทุกคนต่างก็มีแนวทางเป็นของตัวเอง อย่างฉันก็ชอบที่จะพึ่งพาพลังของตัวเองมากกว่าใช้อุปกรณ์ภายนอก ส่วนนายเป็นพวกชอบสะสมอาวุธอุปกรณ์อยู่แล้ว ดังนั้นของพวกนั้นอยู่กับนายจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมมากกว่า” เฉินตงกล่าว

“ตอนนี้พวกเราไม่สามารถกลับไปที่ดินแดนกฎได้แล้ว และการอยู่ที่นี่ก็คงจะทำให้เราไม่ได้รับข่าวสารจากโลกภายนอกด้วยเหมือนกัน แบบนี้มันก็ไม่ต่างไปจากที่พวกเรากำลังรอรับความพ่ายแพ้อยู่เลย” เซี่ยเฟยกล่าว เพราะคนสนิทคนเดียวในดินแดนกฎที่เขาเหลืออยู่ก็มีเพียงแค่คอปเปอร์เท่านั้น และในปัจจุบันหยูฮัวก็คงจะจัดการเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในความเป็นจริงมู่ฟู่ผิงก็มีเจตนาดีต่อเซี่ยเฟยด้วยเหมือนกัน แต่ชายหนุ่มไม่เคยคิดถึงคุณหนูจากตระกูลวิทเทอร์คนนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะท้ายที่สุดคนของตระกูลวิทเทอร์ก็ไม่เคยมองเขาว่าเป็นมิตรสหายที่ดี

“ถ้านายอยากรู้ข่าว เรายังพอมีคนที่เชื่อถือได้เหลืออยู่ในดินแดนกฎ” เฉินตงกล่าวหลังจะคิดอยู่สักพัก

“ใคร?”

“เยว่เกอ”

***************

เอ๊า! สรุป 3 หน่อนี้ไปดินแดนกฎหมดเลยเหรอ หรือจริง ๆ แล้วเยว่เกอมาจากดินแดนกฎกันนะ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด