ตอนที่ 651 แบ่งแยกและโจมตี
ตอนที่ 651 แบ่งแยกและโจมตี
แม้ว่าอสูรเงาโดรอนจะยังคงอยู่ แต่เซี่ยเฟยก็ตัดสินใจที่จะนั่งลงเพื่อดูดซับลูกบอลพลังงานเข้าสู่พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของตัวเอง
ท้ายที่สุดพลังงานจากราชากฎคนนี้ก็เริ่มอยู่ในสภาวะที่ไม่เสถียรแล้ว มันอาจจะสูญเสียการควบคุมได้ทุกเมื่อ และเมื่อไหร่ก็ตามที่มันระเบิดออกมามันก็อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อเขาได้
“ไม่ต้องห่วง ฉันสัญญาว่าจะไม่มีใครทำอันตรายอะไรนายได้ตราบใดก็ตามที่ฉันอยู่ที่นี่” เฉินตงกล่าวอย่างจริงจัง แต่เซี่ยเฟยก็ยังคงรักษาความปลอดภัยเอาไว้อีกชั้น โดยการใช้หงส์ครามมาพันรอบ ๆ ตัวของเขาเอาไว้เป็นวงกลม
“ฉันเคยบอกเอาไว้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอว่าพลังงานพวกนี้มันไม่ใช่พลังงานบริสุทธิ์ การพยายามดูดซับพวกมันมากเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องดี จะทำอะไรก็อย่าโลภมากจนเกินไป ถ้าคิดจะดูดซับพลังงานพวกนั้นก็ค่อย ๆ ควบคุมพวกมันทีละน้อย อย่าปล่อยให้พวกมันเสียการควบคุมเป็นอันขาด” อันธบ่นออกมาด้วยความเป็นห่วง
เซี่ยเฟยกัดฟันค่อย ๆ ซึมซับพลังงานจากราชากฎเข้าสู่ร่างกายก่อให้เกิดความสบายจนทำให้เขาไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้ หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มดูดซับพลังงานปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในคราวนี้เขาตั้งใจที่จะดูดซับพลังของราชากฎเข้าไปในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาในคราวเดียว
—
เมื่อกระบวนการดูดซับพลังงานสิ้นสุดลง เซี่ยเฟยก็รู้สึกเวียนหัวและรู้สึกอ่อนแรงไปทั่วทั้งร่างกาย
การดูดซับพลังงานปริมาณมหาศาลเข้ามาภายในร่างในคราวเดียวนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน เพราะถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็พร้อมที่จะผลักเขาให้ตกลงไปในขอบเหวแห่งความตาย
ระหว่างกระบวนการมีหลาย ๆ ครั้งที่เซี่ยเฟยแทบที่จะไม่สามารถควบคุมพลังงานได้ แต่ในระหว่างที่พลังงานกำลังจะพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกายของเขานั่นเอง ชายหนุ่มก็อาศัยจิตใจอันแรงกล้าในการดึงพลังงานพวกนั้นกลับมาเข้าสู่พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของตัวเอง
“ความสามารถในการควบคุมพลังงานของนายน่าทึ่งมากจริง ๆ ถึงขนาดที่สามารถควบคุมพลังงานของราชากฎได้แบบนี้ แต่นายอย่าพึ่งชะล่าใจมากเกินไป โชคดีที่บลัดบิวเทียสหลงเหลือพลังงานเอาไว้ให้กับนายเพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น ไม่อย่างนั้นนายคงไม่สามารถควบคุมพลังงานทั้งหมดของราชากฎเอาไว้ได้” โอโร่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
เซี่ยเฟยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นโดยไม่พูดอะไร และเขาก็ได้พบว่าเฉินตงยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ เขาเหมือนรูปปั้นผู้พิทักษ์ทั้ง ๆ ที่ผ้าพันแผลทั่วทั้งร่างของเขายังคงเต็มไปด้วยสีแดงของเลือดสด
“เฉินตง” เซี่ยเฟยส่งเสียงเรียกขึ้นมาเบา ๆ
“อสูรเงาที่นายสู้ในก่อนหน้านี้เหมือนกับกำลังมีแผนอะไรบางอย่าง มันไม่ยอมปรากฏตัวขึ้นมาให้ฉันได้เห็นเลย” เฉินตงกล่าวอย่างระมัดระวัง
“มันถูกฉันโจมตีจนบาดเจ็บหนักไปเหมือนกัน บางทีมันอาจจะหนีไปหาที่ซ่อนแล้วพยายามฟื้นฟูพลังของตัวเองกลับมาก็ได้” เซี่ยเฟยกล่าว
“นายพัฒนาพลังหลังการต่อสู้ได้ยังไง? การใช้พลังกฎจำเป็นจะต้องใช้พลังงานปริมาณมหาศาล มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่นายจะสามารถรวบรวมพลังงานหลังจากที่ต้องผ่านการต่อสู้อันยากลำบากไปเพียงแค่แป๊บเดียว” เฉินตงกล่าวถามอย่างสงสัย
เซี่ยเฟยยังไม่ได้คิดที่จะบอกความลับเรื่องบลัดบิวเทียสให้กับเฉินตง และเนื่องจากโอโร่เคยบอกว่าเขาสามารถพัฒนาพลังได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะว่าพัฒนาการของเขาเคยหยุดชะงักไปเป็นเวลานานถึง 3 ปี เขาจึงอาศัยเรื่องนี้เป็นเหตุผลเล่าให้เฉินตงฟัง
“ตอนนี้นายมีพลังอยู่ในระดับไหนแล้ว?” เฉินตงถาม
“อัศวินกฎขั้นที่ 6 เมื่อกี้ฉันสามารถเลื่อนระดับได้ 2 ระดับพร้อม ๆ กันเลย” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
ความเป็นจริงพลังงานจากราชากฎมากพอที่จะทำให้เซี่ยเฟยเพิ่มพลังได้ 3 ระดับ แต่น่าเสียดายที่การพยายามเพิ่มพลังผ่านระดับที่ 6 เป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะพยายามทะลวงผ่านระดับที่ 6 ไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พลังงานภายในสมองของเขามันก็หมดลงก่อน เขาจึงยังไม่สามารถเลื่อนระดับไปมากกว่านี้ได้
แต่ถึงกระนั้นการเพิ่มพลังขึ้นมาถึงสองระดับในคราวเดียว มันก็เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากอยู่แล้ว และถ้าหากว่าเขายังคงพัฒนาด้วยความเร็วในระดับนี้ต่อไป มันก็คงจะเป็นเวลาเพียงแค่ไม่นานก่อนที่เขาจะได้ก้าวเท้าขึ้นไปจนกลายเป็นราชากฎ
“อะไรนะ?! นี่นายสังหารซัลลิแวนทั้ง ๆ ที่นายมีพลังระดับอัศวินกฎขั้นที่ 4 เนี่ยนะ?! เซี่ยเฟยนายมันจะน่าทึ่งมากจนเกินไปแล้ว!” เฉินตงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
อัศวินกฎขั้นที่ 4 กับราชากฎขั้นที่ 6 อยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะเคยสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่การจัดการกับศัตรูข้ามระดับในครั้งนี้มันก็ค่อนข้างที่จะน่าอัศจรรย์มากเกินไปหน่อย
“หากเป็นเวลาปกติฉันก็ไม่มีทางจัดการกับเขาได้หรอก แต่โชคดีที่ฉันได้เรียนรู้วิธีการเพิ่มพลังได้ชั่วขณะ เมื่อมันรวมกับอาวุธที่ฉันมีการฆ่าเขามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากขณะนั้น” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“วิชาที่สามารถเพิ่มพลังได้ชั่วขณะงั้นเหรอ? นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้ยินวิชาแบบนี้ มันเป็นวิชาที่สามารถเพิ่มพลังขึ้นมาได้มากขนาดไหนงั้นเหรอ?” เฉินตงถามอย่างสนใจ
“มันเป็นวิชาที่ทำให้ฉันสามารถกักเก็บพลังงานเอาไว้ในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ ซึ่งหลังจากที่พลังงานพวกนั้นถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว พลังของฉันก็คงจะอยู่ในระดับราชากฎได้มั้ง” เซี่ยเฟยกล่าว
“แบบนี้นี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงแข็งแกร่งมากนัก” เฉินตงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ท้ายที่สุดเขาก็เป็นพวกคลั่งไคล้การต่อสู้ เขาจึงอยากเรียนรู้วิชาการปลดปล่อยพลังงานจากเซี่ยเฟยมาก แน่นอนว่าสถานการณ์นี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะสาเหตุที่เขาสามารถรวบรวมพลังงานในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้สำเร็จ มันก็เป็นผลมาจากการใช้บลัดบิวเทียสดูดกลืนพลังงานของศัตรู และแน่นอนว่าเขาก็คงจะหาอาวุธแบบนี้มาให้กับเฉินตงไม่ได้
เซี่ยเฟยพยายามปฏิเสธอย่างสุภาพ ก่อนที่เขาจะลุกยืนขึ้นมองดูโดมทองคำอันสวยงามของชาวแอตแลนติสจากระยะไกล
“ฉันแน่ใจว่าตราบใดก็ตามที่เราเปิดโดมทองคำออก โดรอนจะต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขโมยสมบัติจากในโดมออกไปแน่ ๆ”
“ถึงแม้มันจะได้รับบาดเจ็บแต่มันก็ยังเป็นอสูรเทวะ พวกเราจะเปิดโดมทองคำตอนนี้เลยจริง ๆ เหรอ?” เฉินตงกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ใช่ เราจะปล่อยอสูรตัวนั้นไปไม่ได้เด็ดขาด อย่างแรกคือเราจะต้องกำจัดมันให้ได้ก่อน แล้วเรื่องอื่นพวกเราค่อยมาคุยกันทีหลัง” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างหนักแน่น
—
ในที่สุดพีระมิดทั้งสามแห่งของชาวแอตแลนติสก็ส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับประตูของโดมทองคำที่ค่อย ๆ ถูกเปิดออก
เซี่ยเฟยเดินเข้าไปภายในโดมอย่างช้า ๆ แล้วได้พบว่าโดมแห่งนี้มีความสูงขึ้นไปหลายกิโลเมตรและมีความกว้างสุดลูกหูลูกตา โดยบนผนังถูกแกะสลักเป็นลวดลายต่าง ๆ อย่างวิจิตรบรรจง เผยให้เห็นเรื่องเล่าอันน่าสลดใจของตระกูลหนึ่งที่ถูกบังคับให้ต้องหลบหนีและใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะน่าสนใจแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีอะไรสามารถดึงดูดความสนใจของสมบัติที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในโดมแห่งนี้ได้อีกแล้ว เพราะเขาได้รับวิชามนตราอสูรมาจากอารยธรรมแอตแลนติสที่ถูกทิ้งเอาไว้บนดาวโลก ดังนั้น ณ สถานที่แห่งนี้มันก็ควรจะมีวิชามนตราอสูรอีก 3 ขั้นที่เหลือรอให้เขานำกลับไปฝึกฝน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าชายหนุ่มจะเดินสำรวจมานาน แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรที่ดูเหมือนกับสมบัติปรากฏต่อหน้าของเขาเลย ยกเว้นบัลลังก์ 2 บัลลังก์และปฏิมากรรมอันแปลกประหลาด ส่วนวิชามนตราอสูรที่เขากำลังพยายามค้นหาอยู่นั้นก็ไม่ปรากฏให้เขาเห็นเลยแม้แต่เงา
ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หน้าบัลลังก์ ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมาลูบคางพร้อมกับใช้ความคิดอยู่ลึก ๆ
บริเวณด้านนอกประตูเริ่มมีปรสิตจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาปิดกั้นเส้นทางล่าถอยของเซี่ยเฟยเอาไว้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตามชายหนุ่มก็ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับว่าเขาไม่ทันได้สังเกตเห็นการคืบคลานเข้ามาของอสูรเงาที่เคยหลบหนีจากการไล่ล่าของเขาไป
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็หันหน้ากลับมาอย่างฉับพลัน พร้อมกับปล่อยไอเย็นออกมาจากฝ่ามือจนทำให้อุณหภูมิภายในโดมทองคำลดลงอย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่พวกเขาได้คาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ว่าโดรอนยังไม่ได้จากไปไหน แต่กำลังรอคอยให้พวกเขาเปิดโดมทองคำเพื่อกลับมาเอาสมบัติที่มันเฝ้ารอมาเป็นเวลานาน
—
ในระหว่างที่เฉินตงที่ถูกเปลี่ยนร่างให้กลายเป็นเซี่ยเฟยผ่านวิชาเล่ห์มายากำลังเดินเข้าไปสำรวจโดมทองคำอย่างช้า ๆ เซี่ยเฟยตัวจริงก็ใช้วิชาพรางจิตเดินสำรวจพื้นที่บริเวณรอบนอกของโดมทองคำอย่างระมัดระวังราวกับว่าเขากำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“เร็ว ๆ เข้า เฉินตงไม่เหมือนกับนายหรอกนะ ไม่รู้ว่าเขาจะทนต่อการโจมตีของอสูรเงาตัวนั้นได้นานแค่ไหน?” อันธกล่าว
“ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้เขาใส่ชุดเกราะชาร์ปเลสของฉันและเขาก็ยังเป็นผู้ใช้กฎน้ำแข็ง อย่างน้อยเขาก็น่าจะต้านทานอสูรเงาได้สักพัก” เซี่ยเฟยกล่าว
“อย่าชะล่าใจไป นายก็เคยเห็นอสูรเทวะระเบิดร่างของตัวเองแล้วไม่ใช่หรือยังไง ท้ายที่สุดอสูรเทวะมันก็ยังไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เราจะจัดการได้ง่าย ๆ” อันธพยายามกล่าวเตือน
แผนการของเซี่ยเฟยคือการขอให้เฉินตงพยายามดึงดูดความสนใจของอสูรเงาให้ได้มากที่สุด และในระหว่างนั้นเขาก็พยายามหาร่างที่แท้จริงของโดรอนให้เจอ เพราะท้ายที่สุดไม่ว่าเขาจะจัดการกับร่างแยกของโดรอนได้มากแค่ไหน แต่ตราบใดก็ตามที่เขาสังหารร่างจริงของอสูรเงาไม่ได้ เขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้แบบไม่มีวันจบสิ้น
“นายลองสัมผัสให้ดี ๆ เจ้านั่นมันจะต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมากในการควบคุมร่างแยกของมันอยู่แน่ ๆ นายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตรวจจับพลังงานไม่ใช่เหรอ คราวนี้ฉันคงจะต้องพึ่งพาความสามารถในการตรวจจับพลังงานของนายแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวกับอันธ
“ใครจะไปรู้ว่าเจ้าโดรอนนั่นมันสามารถควบคุมร่างแยกของตัวเองได้ไกลแค่ไหน ถึงแม้เราจะพอเดาได้ว่ามันจะต้องอยู่ในเกาะ ๆ นี้แน่ ๆ แต่ฉันก็ไม่สามารถตรวจจับพลังงานได้ทั่วทั้งเกาะที่ใหญ่เหมือนกับทวีปแห่งนี้หรอกนะ” อันธกล่าวพร้อมกับแบะริมฝีปาก
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น มันก็เริ่มมีเสียงปะทะดังขึ้นมาจากด้านในโดมทองคำ และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะมั่นใจว่าเฉินตงสามารถต่อต้านการจู่โจมจากอสูรเงาได้สักพัก แต่ถ้าหากว่าอสูรตัวนั้นขโมยสมบัติและหลบหนีไป มันก็คงจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับเขาอย่างแท้จริง
“เจอแล้ว! เมื่อกี้ฉันสังเกตเห็นความผันผวนของพลังงานในคูน้ำ ฉันว่าร่างจริงของอสูรเงาตัวนั้นจะต้องซ่อนอยู่ในคูน้ำแน่ ๆ” อันธอุทานหลังจากตรวจพบพลังงานต้องสงสัย
เซี่ยเฟยรีบเคลื่อนที่ไปตามคำแนะนำของอันธในทันที ก่อนที่เขาจะกระโดดลงไปในน้ำโดยไม่ลังเล
ในที่สุดเขาก็ได้พบกับสัตว์อสูรที่ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหิน โดยมันเป็นปรสิตตัวเล็กที่มีดวงตาสีเขียวเพียงร่างเดียว
เมื่อร่างจริงของโดรอนสังเกตเห็นเซี่ยเฟย มันก็พยายามหลบหนีด้วยความตื่นตระหนก เพราะร่างนี้คือร่างที่แท้จริงของมันแล้ว ดังนั้นตราบใดก็ตามที่ร่างของมันถูกทำลาย ไม่ว่าด้านนอกของมันจะมีร่างแยกอยู่มากแค่ไหนแต่มันก็จะเสียชีวิตลงในทันที
***************
อันธคือฝ่ายค้นหาพลังงานที่เก่งสุด ๆ ไปเล้ยยย