ตอนที่แล้วตอนที่ 646 อารยธรรมที่สูญหาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 648 โดรอน

ตอนที่ 647 อสูรเงา


ตอนที่ 647 อสูรเงา

วิชามนตราอสูร 3 ขั้นสุดท้ายคือสิ่งที่เซี่ยเฟยโหยหามาโดยตลอด เพราะในตอนที่เขาอ่านจารึกมนตราอสูรเป็นครั้งแรก ในจารึกมีการกล่าวเอาไว้ว่าถ้าหากเขาสามารถฝึกฝนพลังจนถึงระดับที่ 9 เขาจะสามารถบงการอสูรทุกชนิดในจักรวาลได้ด้วยตัวเอง

น่าเสียดายที่จารึกมนตราอสูรที่ถูกทิ้งเอาไว้บนดาวโลกเป็นเพียงเนื้อหาของวิชามนตราอสูร 6 ขั้นแรกเท่านั้น ชายหนุ่มจึงฝึกฝนวิชาควบคุมอสูรหยุดที่ขั้นที่ 6 เป็นเวลานานแล้ว

แต่ในวันนี้เซี่ยเฟยได้มาค้นพบทวีปแอตแลนติสที่สูญหายโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วมันก็มีโอกาสสูงมากที่เขาจะทำให้วิชามนตราอสูรของเขาได้กลายเป็นวิชาที่สมบูรณ์

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ชายหนุ่มก็รู้สึกมีไฟขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงรีบเคลื่อนตัวไปยังพีระมิดสีทองที่อยู่ตรงกลางเมือง

ระหว่างการเดินทางชายหนุ่มก็ยังไม่ลืมสำรวจสภาพแวดล้อมบริเวณโดยรอบ เพราะมันอาจจะมีใครปรากฏตัวขึ้นมาจู่โจมเข้าใส่เขาได้ทุกเมื่อ

บ้านเรือนขนาดเล็ก 2 ฟากฝั่งของถนนค่อย ๆ หายไปแทนที่ด้วยประติมากรรมขนาดใหญ่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นของมังกร, เทพเจ้าหรือนักรบที่เหล่าบรรดาชาวแอตแลนติสได้ให้การยกย่อง

ตามตำนานผู้ก่อตั้งแอตแลนติสถูกเรียกว่าเทพเจ้า ซึ่งย้อนกลับไปในอดีตเซี่ยเฟยไม่เคยเชื่อเรื่องเทพเจ้ามาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งเขาก็คิดว่าเทพเจ้าที่ตำนานพูดถึงนั้นเป็นเพียงนักสู้คนหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่ามนุษย์โดยทั่วไป

ยกตัวอย่างเช่น โอโร่ที่อยู่ภายในแหวนมิติของเขา ตัวตนของอดีตจอมมารคนนี้คือสิ่งมีชีวิตอมตะที่พร้อมจะถือกำเนิดเกิดขึ้นมาใหม่ได้ทุกเมื่อ ยิ่งไปกว่านั้นพลังของเขายังอยู่ในระดับที่สูงมาก และถ้าหากว่าตัวตนแบบนี้ได้ไปปรากฏตัวในสมัยโบราณ มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนในสมัยนั้นจะปฏิบัติตัวต่อโอโร่เป็นเสมือนเทพเจ้า

มันคงจะมีเพียงแต่ผู้ที่รับรู้ถึงดินแดนกฎเท่านั้นจึงจะเข้าใจว่าความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากการฝึกฝนจนบรรลุพลังระดับสูงสุด และมันก็มีกลุ่มสิ่งมีชีวิตบางกลุ่มที่ตั้งชื่อกลุ่มตัวเองว่าเผ่าพันธุ์เทพ

ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ข้ามสะพานชั้นสุดท้ายเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่ใจกลางเมืองแอตแลนติส

โดมสีทองที่ตั้งอยู่กลางเมืองมีความสูงหลายร้อยเมตร โดยมีเสาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านคอยค้ำตัวอาคาร และโดมแห่งนี้ก็มีความสูงไม่น้อยกว่าพีระมิดทั้งสามแห่งที่ล้อมรอบตัวมันอยู่

ที่ตัวโดมมีประตูสีทอง 3 บานหันหน้าไปทางพีระมิดทั้งสามแห่ง คล้ายกับว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์อะไรบางอย่างที่ชายหนุ่มยังไม่สามารถจะทำความเข้าใจได้

เซี่ยเฟยพยายามใช้กำลังทั้งหมดในการเปิดประตู แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงแค่ไหนประตูบานใหญ่กลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

ในฐานะที่เขาเป็นถึงอัศวินกฎขั้นที่ 4 ความแข็งแกร่งของเขาย่อมอยู่ในระดับที่สูงมาก แต่ประตูบานนี้กลับหนักมากจนเซี่ยเฟยไม่สามารถที่จะขยับเปิดประตูด้วยแรงของเขาได้

“อย่าพึ่งรีบร้อน คนที่สร้างเมืองนี้จะต้องนับถือโดมทองคำเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดภายในเมืองอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าเราใช้พลังกฎบุกเข้าไป บางทีมันอาจจะเข้าไปกระตุ้นกลไกที่ซ่อนอยู่ด้านในก็ได้” โอโร่กล่าวเตือน

เซี่ยเฟยพยายามพิจารณาโดมทองคำอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เขาจะได้พบว่าเสายักษ์ 3 ต้นที่สูงขึ้นไปเสียดฟ้าต่างก็ล้วนแล้วแต่ชี้ไปยังพีระมิดทั้งสามแห่งที่อยู่รอบ ๆ ดังนั้นถ้าหากว่ามันมีความลับอะไรที่ซ่อนอยู่ ความลับพวกนั้นมันก็จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับพีระมิดทั้งสามแห่งที่อยู่ล้อมรอบโดมแห่งนี้แน่ ๆ

ชายหนุ่มเคลื่อนที่ไปยังหน้าพีระมิดขนาดยักษ์ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ซึ่งหลังจากที่เขาขึ้นบันไดที่ทอดยาวไปยังตรงกลางพีระมิด เขาก็ได้พบกับรูปปั้นขนาดใหญ่ที่เป็นรูปปั้นของผู้หญิงถือโล่

ชายหนุ่มรีบเดินไปยังทางเข้าของพีระมิดและออกแรงผลักประตูอย่างรุนแรง แต่ในคราวนี้ประตูที่มีความใหญ่โตมากกว่า 20 เมตรกลับถูกเปิดออกโดยที่เขาแทบที่จะไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ

ทันใดนั้นสายลมที่มีกลิ่นอับชื้นก็ปะทะเข้ากับใบหน้าของชายหนุ่ม ซึ่งในสายลมนั้นมันก็มีกลิ่นของเลือดแฝงเข้ามากระตุ้นประสาทสัมผัสของเขาด้วย

ทันทีที่เซี่ยเฟยเปิดประตูออก จู่ ๆ มนุษย์ที่มีท่าทางดุร้ายเป็นจำนวนมากก็รีบวิ่งออกมาล้อมรอบร่างชายหนุ่มเอาไว้ โดยมนุษย์บางคนตั้งท่าต่อสู้ด้วยมือเปล่า ขณะที่มนุษย์บางคนถือหอกและโล่สีทองที่ดูแปลกตา

เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขามองเห็นรอยสักบนลำตัวของมนุษย์เหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งมันก็หมายความว่าพวกเขาถูกปรสิตตัวน้อยเข้ายึดครองร่างของพวกเขาเอาไว้แล้ว

ในตอนแรกชายหนุ่มต้องการจะใช้พลังของกฎเปิดทางออกไปในครั้งเดียว แต่ว่าเขาคิดอีกครั้งเขาก็ดึงบลัดบิวเทียสออกมาจากแหวนมิติ

มันเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่บลัดบิวเทียสไม่ได้กลืนกินเลือดของสิ่งมีชีวิต ทำให้สีแดงอันสวยงามบนใบดาบค่อย ๆ ซีดจางลงเรื่อย ๆ

ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตพวกนี้มันจะเป็นตัวอะไร แต่สิ่งแรกที่เขาจำเป็นจะต้องทำคือการกวาดล้างพวกมันไปให้หมด!!

ฟุบ!

ชายหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสือกแทงบลัดบิวเทียสออกไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มนุษย์ที่ถูกปรสิตควบคุมเหล่านี้ก็ไม่ได้มีความแข็งแกร่งสูงมากนัก ทำให้พวกเขาถูกเซี่ยเฟยจู่โจมเข้าใส่ได้อย่างง่ายดาย

ชีวิตนับพันชีวิตถูกพรากไปในทันทีหลงเหลือเพียงแต่ซากศพแห้ง ๆ ที่พร้อมจะถูกลมพัดปลิวเป็นผุยผง

หลังจากดูดเลือดเข้าไปได้มากพอสมควร บลัดบิวเทียสก็เริ่มกลับมามีสีแดงอย่างสวยงามอีกครั้ง เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ได้มายังไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจของเซี่ยเฟยมากนัก

ทันใดนั้นคนอีกกลุ่มหนึ่งก็กระโดดออกมาจากด้านหลังหิน แต่คนพวกนี้ได้สูญเสียความสามารถในการพูดไปแล้ว ที่สำคัญคือมันยังมีเสียงกัดฟันดังออกมาจากพวกเขาอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับว่าพวกเขาต้องการที่จะเริ่มกินเซี่ยเฟยเข้าไปทั้งเป็น

รอยสักบนร่างกายของทหารกลุ่มนี้โดดเด่นมากกว่าทหารกลุ่มแรกมาก คล้ายกับว่าพวกเขาถูกพวกปรสิตฝังกายอยู่ในร่างมาเป็นเวลานานแล้ว

แควก!

นักรบมือเปล่าพุ่งแขนออกไปทางเซี่ยเฟยอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือร่างกายของพวกเขาถูกแยกออกจากกัน แขนของชายคนนี้จึงพุ่งไปในอากาศทันทีราวกับใบมีดที่กำลังพุ่งเข้าหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

ทำไมมันถึงไม่มีเลือด!?

แขนของเขาถูกตัดออกจากร่างชัด ๆ แต่มันกลับไม่มีเลือดหยดลงมาจากร่างของอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว

พริบตาต่อมานักรบหลายสิบคนก็เริ่มฉีกร่างของตัวเองออกจากกัน จนก่อให้เกิดกลิ่นศพฉุนคละคุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ

ดูเหมือนว่าพวกปรสิตที่เกาะอยู่ในร่างกายจะไม่เพียงแต่เข้าควบคุมร่างกายของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่มันยังทำการคร่าชีวิตและเปลี่ยนโครงสร้างภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นอีกด้วย

ปัจจุบันร่างกายของนักรบตรงหน้ากลายเป็นอาวุธ และมันยังเป็นอาวุธที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบอีกด้วย

เซี่ยเฟยพอจะจำได้ราง ๆ ว่ามันมีพลังพิเศษประเภทหนึ่งที่มีวิธีการคล้าย ๆ กับการโจมตีของปรสิตเหล่านี้ โดยพลังพิเศษชนิดนั้นจะสามารถเปลี่ยนร่างกายของผู้ใช้ให้กลายเป็นอาวุธ และมันก็ถือว่าเป็นหนึ่งในพลังพิเศษทางกายภาพที่ค่อนข้างแข็งแกร่งมากพอสมควร

อย่างไรก็ตามพวกสัตว์ประหลาดเหล่านี้ก็ไม่ได้ใช้พลังพิเศษ แต่อาศัยการเข้าสิงร่างของสิ่งมีชีวิตและเปลี่ยนร่างกายของเป้าหมายให้กลายเป็นหุ่นเชิดสังหาร

เซี่ยเฟยใช้วิชาเล่ห์กายาหลบหลีกการโจมตีอย่างสวยงาม จากนั้นเขาก็เสือกแทงบลัดบิวเทียสเข้าไปภายในร่างของคู่ต่อสู้

“หือ?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะเขาได้พบว่าบลัดบิวเทียสสามารถดูดเลือดของเป้าหมายเข้ามาได้มากกว่าคนปกติถึงพันคน

“พลังชีวิตของพวกมันสูงมาก! พอดีเลยฉันจะเอาพวกมันมาฟื้นฟูบลัดบิวเทียส”

บลัดบิวเทียสภายในมือของชายหนุ่มถูกตวัดออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ใบดาบสีแดงค่อย ๆ ทวีความเข้มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในเวลาเพียงแค่ไม่นานชายหนุ่มก็สามารถจัดการกับศัตรูได้จนหมด เขาจึงเริ่มสำรวจพื้นที่ในพีระมิดอย่างระมัดระวังต่อไป

ภายในพีระมิดมีรูปปั้นผู้หญิงถือโล่เหมือนกับด้านนอก เพียงแต่รูปปั้นนี้มีขนาดเล็กกว่ามาก วัสดุที่ใช้ในการสร้างก็ไม่ใช่หินแต่เป็นโลหะสีเงินและใต้เท้าเธอก็มีโคมไฟโบราณถูกตั้งเอาไว้อยู่

เซี่ยเฟยสังเกตอยู่พักหนึ่งและได้พบว่ารูปปั้นนี้ไม่น่าจะมีอะไรแปลกประหลาด ยกเว้นโคมไฟบริเวณเท้าของเธอที่เป็นโคมไฟน้ำมันแบบเก่าและที่มีด้ามถืออยู่ทางด้านหนึ่ง แล้วมันก็อาจจะเป็นเพราะว่าด้ามถือนั้นถูกจับอยู่บ่อย ๆ จนทำให้ตัวด้ามเป็นผิวมันเรียบ

ชายหนุ่มลองเปิดโคมไฟดูอย่างอยากรู้อยากเห็น และเขาก็ได้พบว่าด้านในมีคริสตัลต้นกำเนิดอันว่างเปล่าถูกวางเอาไว้บนฐานรอง

“คริสตัลต้นกำเนิด!” เซี่ยเฟยชะงักค้างไปเล็กน้อย เพราะเขาเข้าใจว่ามันมีเฉพาะภายในดินแดนกฎเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงอัญมณีพลังงานเหล่านี้ได้

การค้นพบในครั้งนี้ได้พิสูจน์ว่าผู้นำแอตแลนติสไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่พวกเขาได้เดินทางมาจากดินแดนของผู้ใช้กฎ และฐานะของพวกเขาในดินแดนผู้ใช้กฎก็ค่อนข้างที่จะสูงมากด้วย

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบคริสตัลต้นกำเนิดที่ว่างเปล่าออกมา และแทนที่มันด้วยคริสตัลต้นกำเนิดระดับ 4 แต่ถึงกระนั้นโคมไฟก็ยังไม่สว่างขึ้นมา

เมื่อชายหนุ่มพิจารณาดี ๆ เขาก็ได้พบว่าฐานของคริสตัลต้นกำเนิดมีผิวที่เรียบเนียนมาก เขาจึงยื่นมือออกไปจับอย่างสงสัย และในทันใดนั้นพลังงานอันแปลกประหลาดก็เริ่มดึงพลังกฎภายในร่างของชายหนุ่มออกไปในทันที

เซี่ยเฟยพยายามชักมือกลับมาราวกับว่าเขาโดนไฟฟ้าช็อต ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นตะเกียงที่ใช้คริสตัลต้นกำเนิดเป็นพลังงานก็สว่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน

แสงสีขาวพุ่งเข้าไปหารูปปั้นหญิงสาวถือโล่อย่างฉับพลัน และทำให้โล่ทองคำของเธอส่องแสงสว่างออกมาจนก่อตัวเป็นเส้นแสงที่พุ่งทะลุขึ้นไปจนถึงยอดพีระมิด

หลังเหตุการณ์นี้ชายหนุ่มก็รีบถอยออกไปดูเหตุการณ์ด้านนอกพีระมิดในทันที และเขาก็ได้พบว่าแสงที่พุ่งออกไปจนถึงยอดพีระมิดนั้นถูกหักเหจนมันได้เชื่อมต่อเข้ากับโดมสีทองในระยะไกล

“การเปิดโดมสีทองต้องใช้พลังงานจากพีระมิดทั้งสามแห่งสินะ” เซี่ยเฟยพึมพำขึ้นมาเบา ๆ หลังจากที่เขาได้ค้นพบวิธีการเปิดโดมสีทองแล้ว

พีระมิดแห่งที่ 2 แตกต่างจากพีระมิดแห่งแรกอยู่พอสมควร โดยพีระมิดแห่งที่ 2 เป็นสถานที่ตั้งของรูปปั้นนักรบชายที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งภายในมือของเขาถือหอกทองคำเอาไว้

แน่นอนว่าระหว่างทางเซี่ยเฟยย่อมถูกซุ่มโจมตีจากพวกมนุษย์ที่ถูกปรสิตเข้าสิง แต่ด้วยพลังในปัจจุบันของเขาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็ไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย

หลังจากเซี่ยเฟยใช้คริสตัลต้นกำเนิดจุดไฟภายในโคม เขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังพีระมิดแห่งสุดท้าย

รูปปั้นในพีระมิดแห่งที่ 3 เป็นสัตว์ประหลาดที่มีผิวหนังเรียบ บริเวณมุมปากของมันมีเขี้ยวยื่นยาวออกมาจำนวน 6 เขี้ยวคล้ายกับฟันของแมวน้ำ

โดยมีเขี้ยวคู่หนึ่งทิ่มลงยังด้านล่าง เขี้ยวคู่หนึ่งพุ่งขึ้นไปด้านบนและเขี้ยวอีกคู่ที่อยู่บริเวณมุมปากทั้งสองข้าง ลำตัวของรูปปั้นสัตว์ประหลาดตัวนี้เป็นสีดำสนิท คล้ายกับสำลีก้อนใหญ่ที่ไม่ได้แสดงรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันออกมาให้คนอื่นได้เห็น

“ทำไมผิวของสัตว์ประหลาดตัวนี้มันถึงดูเหมือนปรสิตในร่างมนุษย์พวกนั้นเลย?” เซี่ยเฟยพึมพำขึ้นมาเบา ๆ ก่อนที่เขาจะหันไปถามโอโร่

“โอโร่ คุณรู้ไหมว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้มันคือตัวอะไร?”

“ฉันก็ไม่รู้จักมันเหมือนกัน แต่การที่ภายในพีระมิดมีรูปปั้นของมันอยู่ มันก็แสดงว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้จะต้องเป็นอสูรพิทักษ์ของมนุษย์กลุ่มนี้อย่างแน่นอน หากดูจากรูปลักษณ์ของมันบางทีมันอาจจะเป็นอสูรเงาที่หาได้ยากก็ได้” โอโร่กล่าวตอบ

อสูรเงาคือสัตว์อสูรที่ไม่มีรูปลักษณ์เจาะจง เพราะร่างกายของพวกมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างอิสระ และพื้นผิวของรูปปั้นมันก็ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกถึงความคล้ายคลึงกับพวกปรสิต

ทันใดนั้นเองมันก็ได้มีสายลมอันมืดมิดพัดผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้เซี่ยเฟยตื่นตัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน เพราะเขาสัมผัสได้ถึงแววตาอันดุร้ายคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองมาทางเขาอยู่

***************

อะไรอีก? คนหรือปรสิตกันน๊อ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด