บทที่ 95 การฟังเสียงแห่งประวัติศาตร์อีกครั้ง
จากนั้นซืออวี๋และผู้อำนวยการหลี่ก็ได้พูดคุยกันอีกเล็กน้อย
หลังจากได้ข้อมูลติดต่อของผู้อำนวยการหลี่แล้ว เขาก็กล่าวอำลา
ท้ายที่สุด ทั้งผู้อำนวยการหลี่และสาวหูสัตว์ก็ควรจะยุ่งมาก ดังนั้นซืออวี๋จึงไม่ต้องการรบกวนพวกเขา
“รุ่นพี่ ขอบคุณมาก”
หลังจากออกจากอาคารสำนักงาน ซืออวี๋ก็ขอบคุณไป่ซี
“ไม่มีปัญหา”
ไป่ซีบิดขี้เกียจ
ตามที่คาดไว้จากสาวหูสัตว์ผู้ที่สามารถฉีกกระชากสัตว์อสูรได้ด้วยมือเปล่า แม้กระทั่งการบิดขี้เกียจของนางก็ดูทรงพลังมาก ซืออวี๋แอบดู
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ายังต้องให้ข้าพาดูรอบมหาวิทยาลัยอีกไหม?” ไป่ซีเอ่ยถามออกมา
“ไม่จำเป็นแล้ว ต่อไป ข้าต้องตรวจสอบซากปรักหักพังอสูรกินเหล็กเป็นหลัก การสำรวจสถานที่ฝึกฝนอื่นหลังจากที่ข้าเข้ามหาวิทยาลัยไม่สายเกินไปนัก” ซืออวี๋กล่าวออกมา
หลังจากพูดคุยกับเจ็ดยอดนักโบราณคดี ซืออวี๋ก็ตระหนักได้ว่าวิธีการทางโบราณคดีของทั้งสองโลกนั้นแตกต่างกันอย่างแท้จริง
ท้ายที่สุด นี่เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ เขาอาจต้งเรียนรู้ตั้งแต่แรกอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่หลู่ชิงอี้กล่าวออกมา
สาขาโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
“เอ่อ ตกลง ถ้าเช่นนั้น โปรดติดต่อข้าหากเจ้ามีคำถามอะไร” ไป่ซีพยักหน้า
…
หลังจากที่ซืออวี๋และไป่ซีอจากไป ผู้อำนวยการหลี่ก็เริ่มค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับซากปรักหักพังอสูรกินเหล็ก จากนั้นเขาก็ไปเจอผู้รับผิดชอบของซากปรักหักพังนี้
“ผู้อำนวยการหลี่ เจ้าตามหาข้าอยู่เหรอ?”
ที่ปรึกษาของเจ็ดยอดนักโบราณคดีมาที่ห้องผู้อำนวยกรด้วยความสับสน
“ติ้งน้อย นักศึกษาของเจ้ารับผิดชอบซากปรักหักพังอยู่ใช่ไหม?” ผู้อำนวยการหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว” ที่ปรึกษาติ้งพยักหน้า
“ต่อไป ความสำคัญในการตรวจสอบซากปรักหักพังอสูรกินเหล็กนี้จะถูกยกขึ้นจนสูงสุด ข้าได้มอบหมาบให้คนอื่นรับผิดชอบที่นี่แล้ว เมื่อถึงเวลา เจ้าต้องให้ความร่วมมือกับข้าอย่างเต็มที่”
“หือ?” ที่ปรึกษาติ้งสับสนมาก
มันไม่ใช่แค่ซากปรักหักพังขนาดเล็กของเผ่าที่บูชาอสูรกินเหล็กหรอกเหรอ? เป็นไปได้ว่ามีการค้นพบใหม่เหรอ?
“เขาเป็นใครเหรอ?”
“ไม่ใช่ที่ปรึกษา สมาชิกสำรองของสำนักที่สิบเอ็ดซึ่งได้ถูกแนะนำโดยด็อกเตอร์หลู่ชิงอี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่ง เจ้าต้องจำไว้ให้ดี”
“ตอนนี้เขาควรจะติดต่อกลุ่มนักศึกษาของเจ้าแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะได้ค้นพบคุณค่าของซากปรักหักพังนี้”
เมื่อผู้อำนวยการหลี่กล่าวจบ นัยน์ตาของที่ปรึกษาติ้งก็หดตัวลง สำนักที่สิบเอ็ดเหรอ?
“ตกลง” เขารีบพยักหน้า
…
ที่ซากปรักหักพังอสูรกินเหล็ก
ในวันรุ่งขึ้น รุ่นพี่แพนด้าและเจ็ดยอดนักโบราณคดีนั้นได้รับแรงบันจูงใจอย่างมาก
พวกเขาทุ่มเทให้กับการวิจัยมาตลอดทั้งช่วงเช้า เพียงแค่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่พวกเขาได้อ่านก็มากกว่า 100,000 คำแล้ว
นี่เป็นแรงจูงใจที่เหนือจินตนาการสำหรับเจ็ดยอดนักโบราณคดีที่เคยเฉยชาก่อนหน้านี้
เรื่องนี้ช่วยไม่ได้ ศักยภาพของอีเลฟเว่นที่ถูกแสดงออกมานั้นแข็งแกร่งเกินไป
มันทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ว่าตราบใดที่อสูรกินเหล็กวิวัฒนาการ มันจะอยู่ยงคงกะพัน
ในดินแดนแห่งการฝึกสัตว์อสูร นี่เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากหากมีใครสามารถพัฒนาวิธีการวิวัฒนาการของสัตว์อสูรได้
ตัวอย่างเช่น นักวิจัยเหล่านั้นที่ได้วิจัยเส้นทางการวิวัฒนาการต่างๆ สำหรับหนอนไหมเขียว พวกเขาได้รับชื่อเสียงและโชคลาภอย่างมหาศาล และกำลังเดินไปสู่จุดสูงสุดชีวิตของพวกเขา
แม้ว่าอสูรกินเหล็กจะไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับหนอนไหมเขียว แต่นั่นก็ไม่เลวเลยเช่นกัน
หากพวกเขาสามารถค้นพบการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กได้ผ่านการวิจัยทางโบราณคดี ไม่เพียงแค่พวกเขาจะได้รับรางวัลจากมหาวิทยาลัยเท่านั้น ทว่าพวกเขายังได้รับเกียรติยศติดประวัติส่วนตัวของพวกเขาเช่นกัน
ในขณะนี้ เจิ้งอิ๋งเจียกำลังเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกันระหว่างซากปรักหักพังนี้กับซากปกรักหักพังอื่นจากเมื่อ 4,500 ปีก่อน
เสียงโทรศัพท์ได้หยุดสิ่งที่เขากำลังทำ
“ที่ปรึกษาติ้งเหรอ?”
“อะไรนะ คนรับผิดชอบโครงการกำลังจะเปลี่ยนเหรอ?”
หลังจากกล่าวได้สองสามคำ เจิ้งอิ๋งเจียก็ตกตะลึง
คำกล่าวของเขาดึงดูดความสนใจของคนอื่นในทันที
เปลี่ยนผู้รับผิดชอบเหอร?
รุ่นพี่สาขาโบราณคดีตกตะลึง ไม่มีทาง!
ในขณะนี้ ผู้รับผิดชอบซากปรักหักพังนี้ก็คือหัวหน้าของพวกเขา
พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับที่ปรึกษาของพวกเขา และที่ปรึกษาติ้งยังสัญญาว่าจะช่วยเหลือในการตรวจสอบภายในสองวัน
การเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบอย่างกะทันหันนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาสบายขึ้นอย่างแน่นอน ท้ายที่สุด พวกเขาคุ้นเคยกับที่ปรึกษาผู้นี้อยู่แล้ว
“ข้ารู้จักผู้รับผิดชอบคนใหม่ไหม?”
“เขาติดต่อมาหาเราแล้วเหรอ? ใครกัน?”
เจิ้งอิ๋งเจียดูสับสนมาก จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป เขาตกตะลึง!
“นี่…”
หลังจากได้ยินชื่อของผู้รับผิดชอบคนใหม่ เจิ้งอิ๋งเจียก็สับสนมาก
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เจิ้งอิ๋งเจียก็วางสาย
หลินซิ่วจูและอีกหกคนได้เข้ามาล้อมเขาพร้อมกับเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“การเปลี่ยนผู้รับผิดชอบเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?” หวังเล่อกล่าวออกมา
“มันจะส่งผลต่อเส้นทางการวิจัยที่เรายืนยันไปแล้วไหม?” หลินหยูเอ้อเอ่ยถามออกมา
เจิ้งอิ๋งเจียยังคงสับสน “อาจจะไม่”
“เพราะ…”
“ที่ปรึกษาติ้งบอกว่าผู้รับผิดชอบซากปรักหักพังอสูรกินเหล็กคือซืออวี๋ พวกเจ้าไม่ได้ฟังผิดไปหรอก นั่นคือรุ่นน้องซืออวี๋”
“อะไรนะ??”
หลังจากเจิ้งอิ๋งเจียกล่าวจบ เขาไม่ใช่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตกตะลึง ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
หวังเล่อพึมพำ “กะ-เกิดอะไรขึ้น?”
คนอื่นต่างตกตะลึงมากเช่นกัน เขาเป็นรุ่นน้องที่ยังไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบรารเลย ทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้รับผิดชอบสาขาโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณอย่างกะทันหันล่ะ?!
การก้าวกระโดดครั้งนี้ใหญ่มากเกินไปเล็กน้อย!
“รุ่นพี่หลิน?” เจิ้งอิ๋งเจียมองไปที่หลินซิ่วจู
ในเวลานี้ หลินซิ่วจูก็มีสีหน้างุนงงและรู้สึกราวกับว่านางได้ยินผิดไป
“รุ่นน้องซืออวี๋ผู้นี้คือใครกันแน่?” พวกเขาเอ่ยถามออกมา
ในคำกล่าวของหลินซิ่วจู ซืออวี๋ได้รับคำแนะนำจากปรมจารย์หลินและมาจากบ้านเกิดเดียวกันกับหลินซิ่วจู
มันเป็นตัวตนและภูมิหลังแสนธรรมดาเท่านั้น มันเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณอย่างกะทันหันได้ยังไงกัน?
เขารับผิดชอบโครงการและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับอาจารย์มหาวิทยาลัย
“เจ้าถามข้า ข้าจะถามใครล่ะ?” หลินซิ่วจูกอดอกและไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้เลย
ตัวตนของซืออวี๋แปลกประหลาดอย่างแท้จริง ในตอนแรก นางยังรู้สึกว่าซืออวี๋นั้นธรรมดามาก
ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างอันแสนจะงุนงง ซืออวี๋ได้รับการเลี้ยงดูในฐานะศิษย์ส่วนตัวจากพ่อของนาง…
นี่คือก่อนที่อีเลฟเว่นจะปลุกสายเลือดโบราณของมัน
มีอสูรกินเหล็กจำนวนมาก ทว่าทำไมอีเลฟเว่นถึงได้ปลุกสายเลือดโบราณล่ะ?
นี่เป็นเหตุผลที่หลินซิ่วจูรู้สึกว่าซืออวี๋เป็นคนพิเศษ ไม่ใช่ว่าสายเลือดโบราณเกิดจากซืออวี๋และอีเลฟเว่น ทว่าเป็นซืออวี๋ที่ทำให้อีเลฟเว่นปลุกสายเลือดโบราณ
“เขาควรจะมาในไม่ช้า เมื่อถึงเวลา ข้าจะถามเขาเองว่าเกิดอะไรขึ้น…”
ซืออวี๋กำลังเดินทางไปที่ซากปรักหักพังอสูรกินเหล็ก
ระหว่างนั่งแท็กซี่ ซืออวี๋ก็อยู่ในความงุนงงในขณะที่เขานั่งสมาธิ
ช้ามาก…
ในอนาคต ดูเหมือนว่าเขาจะต้องทำสัญญากับสัตว์อสูรบินที่เก่งด้านความเร็ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำสัญญากับมัน เขาก็ยังสามารถพึ่งพาบักกี้ในการแปลงร่างได้
ทักษะภูติมายาเป็นทักษะอเนกประสงค์อันเรียบง่าย บักกี้ดูเหมือนจะเป็นสัตว์อสูรอเนกประสงค์เช่นกัน ในอนาคต ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้่
ตัวอย่างเช่น หากมันกลายเป็นมังกรน้ำแข็ง มันก็สามารถบินได้เช่นกัน
แน่นอน แม้ว่ามังกรน้ำแข็งจะบินได้ แต่มันก็ไม่เก่งด้านความเร็วมากนัก ยิ่งกว่านั้น การเป็นอัศวินมังกรในเมืองก็เป็นการโอ้อวดเกินไป
นั่นจะถูกโจมตีได้ง่ายมากในฐานะวัตถุบินที่ไม่รู้จัก
นอกจากนี้ ความสามารถของภูติมายาก็ยังด้อยกว่าตัวจริงเล็กน้อย
อย่างน้อยที่สุด ในขณะนี้ มังกรน้ำแข็งที่เกิดจากบักกี้ไม่สามารถเอาชนะสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์ระดับเหนือธรรมชาติขั้นสูงซึ่งมีการเติบโตระดับเดียวกันได้ นับประสาอะไรกับมังกรน้ำแข็งตัวจริงซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ผู้ปกครอง
…
ในไม่ช้า ซืออวี๋ก็มาถึงซากปรักหักพังอสูรกินเหล็ก
เมื่อซืออวี๋มาถึง เขาก็ตระหนักว่ารุ่นพี่แพนด้าและเจ็ดยอดนักโบราณคดีก็กำลังมองเขาอย่างแปลกประหลาด
“เอ่อ” ซืออวี๋ตกตะลึงเล็กน้อย
“รุ่นน้อง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นผู้รับผิดชอบหลักของซากปรักหักพังนี้อย่างกะทันหันล่ะ…” เจิ้งอิ๋งเจียยิ้มอย่างขมขื่นซึ่งดูสับสนมาก
“ข้ารู้สึกว่าเราให้ความสนใจกับซากปรักหักพังนี้ไม่มากพอ ดังนั้นข้าจึงติดต่อกกับผู้อำนวยการหลี่ของพวกเจ้าผ่านสหายผู้หนึ่ง” ซืออวี๋ยิ้มออกมา
“หือ?”
พวกเขามองไปที่ซืออวี๋ด้วยความสับสน สหายคนไหนกันที่ทรงพลังเช่นนี้?
เขาสามารถใช้เส้นสายของเขาติดต่อกับผู้อำนวยการหลี่ได้โดยตรง
“สรุปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ดี” ซืออวี๋กล่าวเสริมว่า “ต่อไป ทางมหาวิทยาลัยอาจจะร่วมมือกับเราในการตรวจสอบซากปรักหักพังนี้ การวิเคราะห์องค์ประกอบของเศษโลหะอาจเสร็จภายในสองถึงสามวัน”
พวกเขามองหน้ากัน
“ตกลง…” เมื่อเห็นว่าซืออวี๋ไม่ตั้งใจจะกล่าวถึงรายละเอียด ทุกคนจึงหยุดถามอย่างรู้ความ
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ พวกเขาไม่กล้าที่จะปฎิบัติต่อซืออวี๋ในฐานะรุ่นน้องธรรมดาอีกต่อไป
นี่เป็นผู้ที่มีเส้นสายในมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ!
พอเขาเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ ไม่แน่ว่าใครจะดูแลใคร
“พ่อของข้ารู้จักกกับสหายผู้นี้ที่เจ้าบอกไหม?”
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงาน หลินซิ่วจูก็แอบมาถามซืออวี๋เบาๆ
นางจำได้ว่าพ่อของนางเคยบอกว่าซืออวี๋ได้ถูกไหว้วานจากคนรู้จักให้มาเรียนรู้ที่ศูนย์ฝึกศิลาไผ่
“ข้าคิดเช่นนั้น” ซืออวี๋กล่าวออกมา สหายที่ถูกกล่าวถึงนี้ตีความได้สองแบบ หนึ่งคือรุ่นพี่หลู่ ในขณะที่อีกหนึ่งก็คือรุ่นพี่หูสัตว์ สำหรับอย่างแรก หลินฮงเหนียนรู้จักนางอย่างแน่นอน
“ข้าเข้าใจแล้ว” รุ่นพี่แพนด้าพยักหน้าและยิ้มออกมา “เอาล่ะ ข้าไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน”
ซืออวี๋ยิ้มออกมา “นี่เป็นหน้าที่ของเราซึ่งต้องฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ของอสูรกินเหล็ก”
“เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ หากเราพัฒนาการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กขึ้นมาได้จริง ราคาของอสูรกินเหล็กในฐานเพาะพันธุ์ไผ่เหล็กจะเพิ่มขึ้นอย่างมากใช่ไหม?”
หลินซิ่วจูตกตะลึง เขาไม่ได้คาดหวังว่าซืออวี๋จะคิดเรื่องนี้เช่นกัน
โดยทั่วไปแล้ว หากสัตว์อสูรถูกค้นพบว่ามีการวิวัฒนาการใหม่ หรือหากนักฝึกสัตว์อสูรใช้สัตว์อสูรบางประเภทเพื่อเอาชนะในการแข่งขันใหญ่ มันจะส่งผลกระทบต่อราคาของสัตว์อสูรตัวนี้ได้ในระดับหนึ่ง
“ตามความต้องการของตลาด นั่นเป็นไปได้อย่างแท้จริง…”
นางตกอยู่ในห้วงความคิดลึก ดังนั้นนางควรให้พ่อของนางจับอสูรกินเหล็กป่าให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มจำนวนอสูรกินเหล็กในฐานเพาะพันธุ์ไหม?
หลินซิ่วจูรู้สึกว่าหากอสูรกินเหล็กในฐานเพาะพันธุ์ได้รับการผสมพันธุ์ตามปกติ อุปทานจะไม่เพียงพอ เฮ้อ ทำไมอสูรกินเหล็กถึงไม่ยอมออกลูกด้วยตัวเองกกันล่ะ? นางหน้าแดงเล็กน้อย
…
แม้ว่าเขาจะกลายเป็นผู้รับผิดชอบของซากปรักหักพังอสูรกินเหล็ก แต่ซืออวี๋ยังคงทำตัวราวกับรุ่นน้องเช่นเดิม
เขามีหลายเรื่องที่ต้องปรึกษากับเจ็ดยอดนักโบราณคดี
คนเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นนักศึกษาที่แย่ ทว่านั่นไม่ใช่ว่าพวกเขาไร้พรสวรรค์ ท้ายที่สุด พวกเขาก็เรียนมหาวิทยาลัยมาได้สักพักหนึ่งแล้ว
ในทางตรงกันข้าม ความรู้ที่สะสมในชีวิตก่อนของซืออวี๋ดูราวกับจะไม่ค่อยมีประโยชน์ที่นี่ ยังมีสิ่งใหม่มากมายให้เขาได้เรียนรู้
หลังจากยืนยันทิษทางการวิจัย ทุกคนก็เริ่มศึกษามันทีละขั้น
ประมาณสองวันต่อมา ที่ปรึกษาติ้งก็มาถึงซากปรักหักพังอสูรกินเหล็ก
สองวันที่ผ่านมา เขาช่วยวิเคราะห์องค์ประกอบของแผ่นโลหะที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ เมื่อเขาได้ทำงานล่วงเวลา ในที่สุดเขาก็มีผลงาน
“ยินดีที่ได้รู้จัก นักศึกษาซืออวี๋”
ที่ปรึกษาติ้งเป็นชายวัยกลางคนในวัยสามสิบปี เขาอ่อนโยนและสง่างามมาก และการแสดงออกของเขาก็ดูใจดีมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาและซืออวี๋ได้พบกัน ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็เคยได้ยินชื่อกันมานานแล้ว
“สวัสดี ที่ปรึกษาติ้ง”
ซืออวี๋และที่ปรึกษาติ้งจับมือกัน
“ที่ปรึกษาติ้ง”
เจ็ดยอดนักโบราณคดีต่างก็ตื่นเต้นมาก
นี่หมายความว่ามีความคืบหน้าในการวิจัยนี้
“หลังจากการวิเคราะห์สองวัน เราสามารถยืนยันได้ว่าเศษโลหะนี้ประกอบด้วยธาตุเหล็กหกชนิด”
ที่ปรึกษาติ้งหยิบข้อมูลออกมาและสื่อสารกับทุกคน
“ในบรรดาแร่โลหะหกชนิด มีทรัพยากรโลหะระดับห้าอย่างน้อย 2 ชนิด ทรัพยากรโลหะระดับหก 3 ชนิด และทรัพยากรโลหะระดับเจ็ด 1 ชนิด”
ทรัพยากรบ่มเพาะต่างๆ สามารถแบ่งออกเป็นสิบระดับ
ตัวอย่างเช่น สัตว์อสูรในระดับปลุกตื่นมักจะใช้ทรัพยากรระดับหนึ่ง
ทรัพยากรที่อยู่สูงกว่าระดับห้าเป็นทรัพยากรหลักที่ใช้โดยนักฝึกสัตว์อสูรปรมจารย์และแม้กระทั่งนักฝึกสัตว์อสูรตำนาน
เศษโลหะผสมนี้มีส่วนประกอบของทรัพยากรโลหะระดับสูงหกชนิด มันทำให้ทุกคนตื่นเต้น แต่มันก็อยู่ในความคาดหวังเช่นกัน
พวกเขารู้สึกตื่นเต้นเพราะหากเศษโลหะนี้เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กจริง ถ้าเช่นนั้นแล้วระดับเผ่าพันธุ์ของรูปแบบการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กจึงอาจไม่ต่ำเลย ท้ายที่สุด มันใช้ทรัพยากรโลหะระดับสูงเยอะมาก
นั่นอยู่ในความคาดหวังเช่นกันเพราะอีเลฟเว่นนั้นแข็งแกร่งมากก่อนที่จะวิวัฒนาการ นั่นเป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะหยุดยั้งไม่ได้หลังจากการวิวัฒนาการ
ที่ปรึกษาติ้งนำข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรโลหะทั้งหมดออกมาและกล่าวว่า
“ในบรรดาสิ่งพวกนั้น พวกมันเป็นทรัพยากรแร่โลหะระดับห้า หยกทองและทรายหัวใจเขียว”
“ทรัพยากรแร่โลหะระดับหก แร่ทองแดงม่วงลี้ลับ เหล็กเงินสวรรค์ ทองม่วงเทาคราม”
“ทรัพยากรแร่โลหะระดับเจ็ด เหล็กอุกกาบาต”
“ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของเจ้ามาก” ซืออวี๋กล่าวออกมา
“ไม่เลย” ที่ปรึกษาติ้งหัวเราะและกล่าวว่า “ต่อไป เจ้าวางแผนที่จะศึกษาทรัพยากรพวกนี้ไหม?”
“ทรัพยากรพวกนี้มีราคาแพงมาก หากไม่มีเส้นทางการวิจัยทดลองที่แม่นยำมากพอ นั่นอาจใช้เงินมหาศาล”
“ทว่าทางมหาวิทยาลัยมีเงินสำรองสำหรับทรัพยากรพวกนี้ ตอนนี้เรายังสามารถจ่ายได้ เราต้องซื้อเพิ่ม”
ในขณะนี้ หลินซิ่วจูและเจ็ดยอดนักโบราณคดีตกตะลึง อันที่จริง มีทรัพยากรระดับสูงจำนวนมากเกินไป คนธรรมดาไม่สามารถที่จะทดลองได้เลย!
หากพวกเขาต้องการศึกษาอย่างละเอียดจริง ทุนการวิจัยอาจสูงถึงหลายร้อยล้านหยวน
“ไม่จำเป็นต้องทำการทดลอง เรามาเริ่มที่ลักษณะของวัสดุพวกนี้” ซืออวี๋กล่าวออกมา
หลังจากยืนยันส่วนประกอบของเศษโลหะแล้ว เขาก็เข้าใจเช่นกันว่าการใช้จ่ายเงินเพื่อการศึกษาการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กอาจเป็นเรื่องยากมาก
การที่ไม่เริ่มการทดลองอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่มีแผนเฉพาะนั้นเป็นเรื่องดีกว่ามาก ซืออวี๋ไม่ต้องการเสียเงินหลายสิบล้านหยวนหรือแม้กระทั่งหลายร้อยล้านหยวนไปอย่างเปล่าประโยชน์
โดยปกติแล้ว เมื่อนักวิจัยศึกษาการวิวัฒนาการของสัตว์อสูร พวกเขาต้องสรุปทฤษฎีที่เป็นไปได้ก่อน วิเคราะห์อัตราความสำเร็จ จากนั้นก็ทำการทดลอง มีน้อยคนมากที่จะเพาะพันธุ์โดยตรงและทดลองวัสดุแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เงินไม่ได้สร้างมาจากอากาศ
“ตกลง” ที่ปรึกษาติ้งพยักหน้าและกล่าวว่า “หากเจ้าต้องการอะไร เพียงแค่บอกข้า”
…
ต่อไป ซืออวี๋และคนอื่นก็มีภารกิจการวิจัยเพิ่ม
เพื่อศึกษาลักษณะของแร่โลหะทั้งหกชนิดและวิเคราะห์ปฎิกิริยาที่ต่างกันระหว่างแร่โลหะเหล่านี้ในทางทฤษฎี
การบ้านที่เน้นการวิจัยนี้ไม่ใช่จุดสนใจหลักของซืออวี๋ในขณะนี้ เขามอบหมายมันให้แก่หลินซิ่วจูและคนอื่น
สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือสัญลักษณ์พิเศษทั้งเก้านั้นหมายถึงอะไร
ซืออวี๋ตรวจสอบข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับยุคนั้นและตระหนักได้ว่าสัญลักษณ์นี้ปรากฎขึ้นบนซากปรักหักพังของอสูรกินเหล็กเท่านั้น มีเบาะแสน้อยเกินไป…
ด้วยเบาะแสที่ไม่เพียงพอ ซืออวี๋จึงทำได้เพียงแค่ฝากความหวังไว้กับพรสวรรค์พิเศษของเขาเท่านั้น
“หลู่ชิงอี้กล่าวว่าการใช้งานพรสวรรค์ ‘การฟังเสียงแห่งประวัติศาสตร์’ นั้นต้องการโอกาสบางอย่าง”
“ยิ่งผู้ใช้ติดต่อกับสภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์นั้นลึกมากเท่าไหร่ การสำรวจก็จะยิ่งลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ความหลงใหลก็จะยิ่งลึกซึ้งขึ้น และความเข้าใจก็จะยิ่งลึกซึ้งขึ้นมาก การฟังเสียงของประวัติศาสตร์ก็จะง่ายยิ่งขึ้นเช่นกัน”
ด้วยเหตุนี้ ซืออวี๋จึงจ้องไปที่เศษโลหะทุกวันและแม้กระทั่งอุ้มอีเลฟเว่นเพื่อดูภาพจิตรกรรมฝาผนัง
นี่ดูงี่เง่าเล็กน้อย ทว่าพวกเขาหวังว่าจะสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับซากปรักหักพังนี้
ครึ่งเดือนผ่านไปนับตั้งแต่ที่ซืออวี๋มาถึงเมืองหลวงโบราณ
เขาไปฝึกฝนการไร้ตัวตนในตอนเช้าและมาที่นี่ในตอนบ่ายเพื่อตรวจสอบ เวลาผ่านไปเร็วมาก
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา ซืออวี๋ได้ทำสมาธิด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ เขาไม่ได้เพิ่มแต้มให้แก่อีเลฟเว่นและหนอนไหมเขียวเลย พวกกมันทั้งสองตัวต่างก็ฝึกฝนด้วยตัวเอง
“อู๋” อีเลฟเว่นไม่สนใจเลยว่าเขาจะเพิ่มแต้มไหม
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา มันได้ฝึกฝนหนักมากเป็นพิเศา นี่เป็นเพราะซืออวี๋หยุกเพิ่มแต้ม ทำให้มันมีโอกาสพักหายใจ ในที่สุดมันก็จึงสามารถใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการชดเชยการฝึกฝน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้อีเลฟเว่นสับสนก็คือทำไมซืออวี๋จึงอุ้มมันเพื่อมาดูจิตรกรรมฝาผนังและเศษโลหะทุกวัน!
ซืออวี๋ไม่มีทางเลือก เขาไม่ได้วางแผนที่จะใช้มันเป็นตัวนำโชค!
เขาหวังว่าเขาจะได้ยินเสียงแห่งประวัติศาสตร์ผ่านความเชื่อมโยงระหว่างอีเลฟเว่นและซากปรักหักอสูรกินเหล็ก
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก
แม้แต่อีเลฟเว่นก็แนะนำให้ซืออวี๋ยอมแพ้
“อู๋ อู๋!!!”
ปล่อยรูปแบบการวิวัฒนาการไป มันไม่ต้องการ ถึงจะอยู่รูปแบบนี้ มันก็ยังคงแข็งแกร่งที่สุดได้!
อีเลฟเว่นนั่งอยู่บนไหล่ของซืออวี๋และครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นมันก็ยืนขึ้นและปีนขึ้นไปบนหัวของซืออวี๋ มันกล่าวอย่างมั่นใจ
“ตราบใดที่ข้าจริงใจมากพอ นั่นก็จะได้ผล!” ซืออวี๋ให้ความรู้แก่มัน นั่นสมเหตุสมผลมาก ทว่าแพนด้าตัวนี้ควรแสดงความเคารพและรักษาหน้าบรรพบุรุษของมัน!
แคร็ก!
อย่างไรก็ตาม เมื่ออีเลฟเว่นกล่าวจบ รอยแตกร้าวขนาดเล็กก็ปรากฎขึ้นบนผนังหินตรงหน้าซืออวี๋และอีเลฟเว่น ทำให้อีเลฟเว่นและคนอื่นหวาดกลัว
“บัดซ* เกิดอะไรขึ้น?” ซืออวี๋ก้าวถอยหลังด้วยสีหน้าตกใจ
มันแตกร้าวเหรอ?
ทำไมสถานการณ์นี้จึงรู้สึกคุ้นเคยมากล่ะ?
“อู๋” อีเลฟเว่นกล่าวอย่างระมัดระวังบนไหล่ของซืออวี๋ มันกล่าวอะไรผิดไปเหรอ?
ซืออวี๋ตกอยู่ในห้วงความคิดลึก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นผิดปกติและจิตใจของเขาตกอยู่ในความงุนงง
กล่าาวโดยย่อแล้ว ดูราวกับเขาสัมผัสถึงมันได้
เขาค่อยๆ สะท้อนกับซากปรักหักพังแห่งนี้
“ไม่ บางทีซากปรักหักพังนี้อาจพิเศษ ดังนั้นเราจึงต้องใช้ความโกลาหล”
ซืออวี๋ถอนหายใจยาวและกล่าวกับซากปรักหักพังผ่านกระแสจิตว่า “การวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กก็ดีนะ”
แคร็ก รอยแตกร้าวมากขึ้นเล็กน้อย
“มันอาจจะไม่ใช่รูปแบบการวิวัฒนาการที่ทรงพลัง มิฉะนั้น มันคงไม่สูญหายไป”
บูม!
หลังจากกล่าวเช่นนี้ ผนังหินของซากปรักหักพังก็สั่นสะเทือนเล็กน้ออยและฝุ่นก็ตกลงมา สมองของซืออวี๋สั่นไหว
ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าสู่สถานะพิเศษเมื่อเขาสำรวจซากปรักหักพังและเห็นภาพทางประวัติศาสตร์
ซืออวี๋ตกตะลึง…
“บัดซ* ข้าคิดว่าข้าพบวิธีใหม่ในการฟังเสียงแห่งประวัติศาสตร์ใช่ไหม? ข้าคิดว่ามันจะได้ผลหากข้าจริงใจ? ทำไมเจ้าถึงไม่ทำเหมือนซากปรักหักพังอื่นล่ะ เจ้าผนังโง่!”
Fanpage : ผีเสื้อกลางคืน