ตอนที่แล้วบทที่ 101: พระไร้ยางอายย่อมไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 103: หลินเป่ยฟาน บุคคลแรกที่สามารถบินได้!

บทที่ 102: โลกใบนี้ย่อมมีสายลมหนึ่งหรือสองที่พัดผ่านมาเติมเต็มความฝัน 180,000 ประการของข้า!


ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

บทที่ 102: โลกใบนี้ย่อมมีสายลมหนึ่งหรือสองที่พัดผ่านมาเติมเต็มความฝัน 180,000 ประการของข้า!

“แต่ข้าก็ยังคิดว่ามันไร้สาระเกินไป!”

“ในปากของหลินเป่ยฟาน มีเพียงสองในสิบประโยคของเขาที่เป็นจริง! เขาเป็นพวกที่เก่งในการบิดคำพูดและเปลี่ยนสีดำให้เป็นสีขาว กระทั่งเปลี่ยนแนวคิดของผู้อื่น ข้าไม่คิดว่าพระชั้นสูงคนนั้นจะเรียนรู้เรื่องพุทธศาสนาจากหลินเป่ยฟานได้หรอก!”

จักรพรรดินีหัวเราะเยาะเพราะตนเองรู้สันดานของอีกฝ่ายมานานแล้ว

“แต่ถ้าท่านเปลี่ยนมุมความคิด ก็คงสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้!”

ไป๋ฉิงเสวียนยิ้ม “ปรมาจารย์จิงไท่เป็นปรมาจารย์ที่ลึกซึ้งด้านพุทธศาสนา แต่เขาก็เป็นคนที่หลงระเริงในสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เขาขอความช่วยเหลือจากเหล่าพุทธองค์ทั้งกลางวันและกลางคืนจนไม่สนใจสิ่งใด เป็นผลให้เขาตกอยู่ในทางตันและมองไม่เห็นทางออก ทำให้การฝึกฝนทั้งพุทธศาสนาและวรยุทธ์ของเขาหยุดชะงักลงไป”

“แต่การที่เขาพบหลินเป่ยฟาน มันแตกต่างออกไป!”

“ตามที่ฝ่าบาทได้กล่าวออกมา เขามีความคิดแปลกประหลาดมากมายและเก่งในการบิดเบือนคำพูด เขาสามารถเปลี่ยนแม้แต่พุทธศาสนาให้เป็นสิ่งที่แตกต่างได้ สิ่งนี้ได้สร้างทางเลือกใหม่แก่ปรมาจารย์จิงไท่ นำทางเขาไปสู่การตรัสรู้ที่ยิ่งใหญ่ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเต็มใจเป็นศิษย์ของหลินเป่ยฟาน หวังว่าจะได้รับฟังคำสอนที่น่าทึ่งเช่นนี้อีก”

“อืม ฉิงเสวียนกล่าวได้เข้าใจนัก!” จักรพรรดินีพยักหน้า “ทว่าข้าก็ยังไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสบายๆ หากมีคนแปลกหน้ามาอาศัยอยู่ในเรือนของหลินเป่ยฟาน เจ้าช่วยจับตาดูสิ่งต่างๆ และบอกข้าได้ไหมว่ามันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”

“ฝ่าบาทโปรดวางใจได้ ข้าจะคอยจับตาดูสิ่งต่างๆ เอง”

ร่างของไป๋ฉิงเสวียนพลันค่อยๆ เลือนหายไป

หนึ่งวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเป่ยฟานเห็นพระชราและพระหนุ่มมาทักทายเขา

“ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองมากเช่นนั้น เพียงแค่ปฏิบัติต่อสถานที่แห่งนี้เหมือนเป็นเรือของพวกเจ้าเองได้เลย”หลินเป่ยฟานยิ้ม“วันนี้ข้าวางแผนจะออกไปข้างนอก พวกเจ้าสนใจที่จะไปกับข้าหรือไม่?”

เมื่อวันหยุดเหลืออีกสองวัน หลินเป่ยฟานก็ไม่อยากอยู่เรือนและอยากออกไปข้างนอกแทน

“ขอรับท่านอาจารย์!” พระทั้งสองตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน

ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงออกไปข้างนอกด้วยความตื่นเต้น

ถึงยามนี้ ดวงตะวันขึ้นแล้วและผู้คนต่างก็เริ่มทำกิจวัตรประจำวันของพวกเขา ถนนเริ่มมีชีวิตชีวา

หลินเป่ยฟานเดินไปกับพระทั้งสองอย่างสบายๆ รู้สึกถึงเหล่าผู้คนในเมืองหลวง

ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย

เพราะการรวมกันของพวกเขามันแปลกพิกลเกินไป!

คนหนึ่งเป็นขุนนางชั้นสูงของเมืองหลวงที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ ส่วนอีกหนึ่งเป็นพระชราที่ร่างกายเหี่ยวแห้งและอีกคนเป็นพระหนุ่มผู้ดูอวิญญู ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมากในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่บนท้องถนน

โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นหลินเป่ยฟานเดินอยู่ข้างหน้าพร้อมกับพระทั้งสองที่เดินตามหลังมาด้วยความเคารพ มันยิ่งทำให้พวกเขาแปลกใจมากกว่าเดิม

ขุนนางระดับสูงหลินเป่ยฟานจะมาข้องเกี่ยวกับพระทั้งสองได้เช่นไร?

อีกทั้งพระทั้งสองยังมองหลินเป่ยฟานด้วยความเคารพอีกด้วย

ผู้คนกระซิบกันกระซาบกัน จนเกิดข่าวลือภายในเมืองหลวง

ในยามนั้น หลินเป่ยฟานเห็นพระหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเขาขมวดคิ้วและคล้ายต้องการพูดบางสิ่งออกมา

“เจี๋ยขง พูดความคิดของเจ้าออกมาเถิด อย่าปิดบังความคิดของเจ้าเลย” หลินเป่ยฟานกล่าว

"ขอรับท่านอาจารย์!" พระหนุ่มโค้งคำนับหลินเป่ยฟาน ก่อนจะตั้งข้อสงสัย “เห็นได้ชัดว่าท่านอาจารย์เป็นพุทธองค์แท้จริงที่เดินบนโลกมนุษย์ และยังมีความเห็นอกเห็นใจอย่างมากที่ต้องการช่วยให้สิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกได้รับการปลดปล่อย ว่าแต่ไฉนทุกคนถึงเอาแต่ถ่มน้ำลายใส่ท่านอาจารย์กัน?”

พระชราเงยหน้าขึ้นและรอคำอธิบายของหลินเป่ยฟานเช่นกัน

หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาอย่างแผว่เบา “เพราะสิ่งที่ข้าทำไม่เป็นที่เข้าใจหรือไม่เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น! ข้าเคยกล่าวไปแล้วว่าโลกเป็นมหาสมุทรแห่งความทุกข์ทรมานที่กว้างใหญ่ ผู้คนต่างกำลังดิ้นรนและจมลงไปในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานนี้! ข้าต้องการนำผู้คนออกจากทะเลแห่งความทุกข์ทรมานจึงแสวงหาเส้นทางบางอย่างขึ้นมา! เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะช่วยชีวิตสิ่งมีชีวิตที่ติดห้วงความรู้สึกจากทะเลแห่งความทุกข์ทรมานและช่วยให้พวกเขาไปถึงฝั่งได้เช่นไร?”

“เรื่องนี้…อาตมายังไม่ได้คิดเลย!” ทั้งสองส่ายศีรษะตอบ

หลินเป่ยฟานจึงกล่าวขึ้นมา “ก่อนอื่นเราต้องสัมผัสกับความลึกของทะเลด้วยการจมตัวเองลงไปเสียก่อน เพียงเท่านี้ก็สามารถรับรู้ได้ว่าห้วงทะเลแห่งความทุกข์นั้นลึกเพียงใด! เราต้องทำให้ตนเองไม่บริสุทธิ์แล้วสัมผัสกับความสกปรกของทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน เราต้องลิ้มรสกับความขมขื่นของท้องทะเลแห่งความทุกข์! เพียงแค่ทำเช่นนั้น…”

“เราก็จะสามารถพาผู้อื่นไปยังอีกฟากหนึ่งได้ใช่หรือไม่!”

พระทั้งสองดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว “อามิตาภพุทธ!”

“แต่เมื่อผู้ใดได้เห็นถึบความลึกและลิ้มรสความขมขื่นของท้องทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน ร่างกายของพวกเขาย่อมเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกจนพวกเขาจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้! เพราะพวกเขากำลังจมอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน ดวงตาของพวกเขาจึงมืดบอด อาจด้วยความหลงผิดและโง่เขลา พวกเขาเชื่อในสิ่งที่เห็นและไม่ต้องการค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลัง พวกเขาเชื่อในสิ่งที่ได้ยินและไม่ต้องการแสวงหาความจริงที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลัง!”

“ผู้ใดก็ตามที่แตกต่างย่อมถูกพวกเขาปฏิเสธ! ผู้ใดก็ตามที่ต่อต้านย่อมถูกพวกเขาถูกรังเกียจ! นั่นเป็นเหตุผลที่…ข้าถูกพวกเขาทำเช่นนี้!”

“อามิตาภพุทธ อาตมาเข้าใจแล้ว!” พระทั้งสองกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน

“เพียงพวกเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” หลินเป่ยฟานพยักหน้า

“ท่านอาจารย์สมกับเป็นพุทธองค์เดินดินอย่างแท้จริง!” พระชรามองไปที่หลินเป่ยฟานด้วยความชื่นชม “หัวใจของท่านเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างมาก ทั้งยังแสดงความสงสารต่อสิ่งมีชีวิตที่มีน่าสังเวช คล้ายพุทธองค์เนื้อเลี้ยงนกอินทรี ศิษย์ของท่านผู้นี้ได้เรียนรู้มากมาย!”

“แต่ท่านอาจารย์ ท่านไม่รู้สึกเจ็บหรือเมื่อผู้อื่นเข้าใจท่านผิด?” พระหนุ่มถามด้วยความสงสัย

“หากมิมีผู้ใดลงไปยังห้วงอเวจี ข้าจะต้องไปเอง” หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาอย่างใจเย็น: “ในเมื่อข้าเลือกเส้นทางนี้แล้ว ข้าย่อมต้องแบกรับทุกอย่าง แม้ว่าคนหลายพันคนจะต่อต้านข้า ข้าก็จะก้าวเดินต่อไป! มันไม่เพียงแต่เพื่อประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเท่านั้น แต่ยังเพื่อพุทธองค์ในใจของข้าด้วย ตราบใดที่จิตใจของข้ายังคงแน่วแน่ ไม่ว่าวิพากษ์วิจารณ์หรือการคัดค้านใดที่ก็ไม่อาจหยุดข้าได้”

พระชราตัวสั่นไปทั้งตัว เขารู้สึกประทับใจอย่างมากกับคำพูดของหลินเป่ยฟาน แต่ละคำพูดของเขาเป็นเหมือนคำพูดที่กลั่นกรองออกมาอย่างดีจนกระแทกเจาะเขาตรงดวงใจของเขา “อามิตาภพุทธ!” พระเฒ่าพนมมือเข้าหากัน ความเข้าใจในทางพุทธศาสนาของเขากลับยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้น

หลินเป่ยฟานรู้สึกประหลาดใจที่การพูดพล่อยๆ ของเขาถึงหลักพุทธศาสนาจะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการตรัสรู้เช่นนี้ “อามิตาภพุทธ ท่านอาจารย์ช่างเป็นคนที่มีความเพียรมากจริงๆ แม้ว่าผู้คนหลายพันคนจะต่อต้านท่าน แต่ท่านกลับยังคงก้าวเดินต่อไป ถ้าเป็นอาตมาคงไม่อาจยึดมั่นได้ อาตมาละอายใจยิ่ง!” พระหนุ่มกล่าวพร้อมกับก้มศีรษะลง

“มันไม่ได้เป็นเรื่องที่มากมายอะไรเลย!” หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมา “บนเส้นทางนี้ยังมีผู้มีจิตใจเดียวกันมากมาย พวกเจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว! แม้ว่าจะมีความทุกข์และความสุขมากเกินไป แต่นานๆ ครั้งสายลมย่อมพัดผ่านมาเติมเต็มหนึ่งหมื่นความฝันของข้า”

“อามิตาภพุทธ!” พระทั้งสองคล้ายได้รับความกระจ่างอีกครั้ง

คราวนี้กระทั่งพลังของพระหนุ่มก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สำหรับพระที่สามารถศึกษาพระพุทธศาสนาได้อย่างท่องแท้ มันก็จะทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขามากยิ่งขึ้นด้วย

เมื่อได้เห็นเช่นนี้ ปากของหลินเป่ยฟานถึงกับกระตุก ทั้งสองคนนี้ช่างแปลกจริงๆ! เรื่องไร้สาระของเขากลับเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการรู้แจ้งเสียอย่างนั้น

จากนั้นทั้งสามก็เดินทางกันต่อไป พระชราที่อยู่ข้างหลังพวกเขารู้สึกถึงวิสัยของพุทธองค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสองวันที่ผ่านมา จึงรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง

โชคดีเหลือเกินที่พวกเขาได้พบกับพุทธองค์แท้จริง การเป็นศิษย์ของเขาเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว! เขาเรียนรู้เรื่องหลักพุทธศาสนามากขึ้นในสองวันนี้ มากกว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเสียอีก!

เมื่อเห็นหลังของหลินเป่ยฟาน เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นแสงแห่งพระธรรมที่กำลังสาดส่องลงมา ความชื่นชมที่เขามีต่ออีกฝ่ายเพิ่มมากขึ้น

เขาประสานมือเข้าด้วยกันและตัดสินใจอย่างลับๆ ภายในใจ “ท่านอาจารย์ ท่านไม่ได้อยู่คนเดียวบนเส้นทางแห่งนี้หรอก!”

“ศิษย์ผู้นี้พร้อมยินดีที่จะผ่านช่วงชีวิตและความตายไปพร้อมกับท่าน!”

“อามิตาภพุทธ!”

สองวันผ่านไปในพริบตา

หลินเป่ยฟานก็ได้เริ่มทำงานอีกครั้ง

เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่การสอบรายเดือนครั้งก่อน ยามนี้ก็คงถึงเวลาที่พวกเขาจะทำกำไรอีกครั้งแล้ว

หลินเป่ยฟานโกงเงินจำนวนมากจากกลุ่มนายน้อยผู้โง่เขลาอีกครั้ง

ถึงแม้จะเป็นการสอบรายเดือนครั้งที่สามแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงล้มเหลวอยู่ดี

ตามกฎที่กำหนดโดยหลินเป่ยฟาน การล้มเหลวในการสอบรายเดือนสามครั้งติดต่อกันจะต้องโทษให้ถูกโบยด้วยไม้ 80 ครั้ง

แต่ถ้าส่งมอบเหรียญเงิน 80,000 ตำลึงก็สามารถหลีกเลี่ยงการลงโทษได้

มีนายน้อยทั้งหมด 24 คน ซึ่งแต่ละคนต้องจ่ายเงิน 80,000 เหรียญตำลึง

ดังนั้นในระหว่างการสอบรายเดือนนี้ หลินเป่ยฟานจึงได้รับเงินทั้งหมด 1.92 ล้านตำลึง

สิ่งนี้ทำให้ทั้งขุนนางพลเรือนและทหารรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง

ในเวลาเพียงสองเดือน พวกเขาก็สูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมากแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาจะทำอะไรได้อีก?

เงินของพวกเขาไม่ได้เก็บขึ้นมาจากถนนนะ

มันเป็นผลมาจากการทำงานหนักของพวกเขาเป็นเวลาหลายปีหรืออาจหลายสิบปีเลย แต่พวกมันทั้งหมดกลับถูกตัดลงเหมือนตะไคร้โดยไอ้เจ้าหลินเป่ยฟาน

นี่มันไร้มนุษยธรรมสิ้นดี!

เสนาบดีหลายคนได้ออกคำสั่งคล้ายต้องการประหารชีวิตให้กับบุตรชายของตนเองแล้ว หากพวกเขาไม่ผ่านการสอบรายเดือนครั้งต่อไป พวกเขาจะไม่ให้เงินพวกเขาอีก ปล่อยให้พวกเขารับชะตากรรมที่สมควรโดน

เหล่านายน้อยต่างร้องไห้และโหยหวนถึงอนาคตที่มืดมนเบื้องหน้า

ในยามนัน้เอง หลังจากใช้ความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ในที่สุดหลินเป่ยฟานก็สร้างบัลลูนลมร้อนขึ้นมาสำเร็จ

บัลลูนลมร้อนที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยนภูมิทัศน์ของโลกเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือของหลินเป่ยฟานในการหาเงินอีก

“ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานการล่อลวงที่จะได้บินไปได้!”

“ไม่มีผู้ปกครองผู้ใดสามารถเพิกเฉยต่ออาวุธประจำชาตินี้ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์สงครามได้!”

“ตราบใดที่ไม่มีใครสามารถต้านทานการล่อลวงได้ ก็รอให้ข้าริบเงินของพวกเจ้ามาเสียดีๆ !”

“ด้วยบัลลูนลมร้อนนี้ ผู้ใดจะมาต่อกรกับข้าได?”

หลินเป่ยฟานลับมีดของเขาแล้ว ความคิดที่ไม่ดีมากมายในศีรษะผุดขึ้นมาอีกครั้ง

ในวันนี้ ราชสำนักช่วงรุ่งสางก็กำลังเริ่มขึ้น

หลินเป่ยฟานลุกขึ้นยืนและกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาท หลังจากที่ข้าพยายามอย่างไม่ลดละเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในที่สุดข้าก็สร้างบัลลูนลมร้อนขึ้นมาได้สำเร็จ! เรากำลังจะทำการทดลองบินครั้งแรก ได้โปรดฝ่าบาทเป็นสักขีพยานด้วยเถิด!”

ทันทีที่เขาพูดจบ ราชสำนักก็ตกอยู่ในความโกลาหล!

“สร้างบัลลูนลมร้อนขึ้นมาแล้วหรือ?”

“นี่…มันคือปาฏิหาริย์หรือ?”

“มันพาคนบินได้จริงใช่ไหม?”

ใบหน้าของจักรพรรดินีเองก็เต็มไปด้วยความประหลาด “ท่านหลิน ท่านพูดความจริงหรือ?” ท่านสร้างบัลลูนลมร้อนขึ้นมาจริงๆ หรือ?”

หลินเป่ยฟานยิ้มและกล่าวออกมาว่า “ข้าจะหลอกลวงฝ่าบาทได้เช่นไรกัน?”

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก! ท่านทำงานหนักมากท่านหลิน!” จักรพรรดินีชมเขาสามครั้งและยิ้มออกมาจนแทบปิดปากไม่ได้ แต่นางก็เริ่มกังวลอีกครั้ง “การบินครั้งนี้จะเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ความน่าจะเป็นของความสำเร็จคือเท่าไรกัน?”

“เพราะว่านี้เป็นการบินแรก ข้าไม่กล้าพูดว่ามันมีความเป็นไปได้เต็มร้อย แต่น่าจะประมาณเจ็ดในสิบถึงแปดในสิบ” หลินเป่ยฟานกล่าว

“เพียงเจ็ดในสิบถึงแปดในสิบก็เพียงพอแล้ว!” จักรพรรดินีรู้สึกมีความสุขมาก “ถ้าการทดลองบินครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ข้าจะให้รางวัลท่านอย่างมหาศาลเลย!”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หลินเป่ยฟานโค้งคำนับ

“ท่านหลิน แล้วท่านจะทดสอบบินเมื่อไรกัน?” จักรพรรดินีแทบรอไม่ไหวแล้วจึงเอ่ยถามออกมา

“ข้าได้สังเกตดาวในยามกลางคืนแล้ว พรุ่งนี้เป็นเวลาที่ดีสำหรับการบินบนท้องฟ้าท่ามกลางแสงตะวันขอรับ” หลินเป่ยฟานยิ้ม

"ดี! เราจะจัดให้มีการทดลองบินในวันพรุ่งนี้ ข้ากับเหล่าขุนนางจะได้ประจักษ์ปาฏิหาริย์ร่วมกัน!” จักรพรรดินีตะโกนออกมา

“ขอรับฝ่าบาท!” เหล่าขุนนางทุกคนกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด