บทที่ 102: โลกใบนี้ย่อมมีสายลมหนึ่งหรือสองที่พัดผ่านมาเติมเต็มความฝัน 180,000 ประการของข้า!
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 102: โลกใบนี้ย่อมมีสายลมหนึ่งหรือสองที่พัดผ่านมาเติมเต็มความฝัน 180,000 ประการของข้า!
“แต่ข้าก็ยังคิดว่ามันไร้สาระเกินไป!”
“ในปากของหลินเป่ยฟาน มีเพียงสองในสิบประโยคของเขาที่เป็นจริง! เขาเป็นพวกที่เก่งในการบิดคำพูดและเปลี่ยนสีดำให้เป็นสีขาว กระทั่งเปลี่ยนแนวคิดของผู้อื่น ข้าไม่คิดว่าพระชั้นสูงคนนั้นจะเรียนรู้เรื่องพุทธศาสนาจากหลินเป่ยฟานได้หรอก!”
จักรพรรดินีหัวเราะเยาะเพราะตนเองรู้สันดานของอีกฝ่ายมานานแล้ว
“แต่ถ้าท่านเปลี่ยนมุมความคิด ก็คงสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้!”
ไป๋ฉิงเสวียนยิ้ม “ปรมาจารย์จิงไท่เป็นปรมาจารย์ที่ลึกซึ้งด้านพุทธศาสนา แต่เขาก็เป็นคนที่หลงระเริงในสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เขาขอความช่วยเหลือจากเหล่าพุทธองค์ทั้งกลางวันและกลางคืนจนไม่สนใจสิ่งใด เป็นผลให้เขาตกอยู่ในทางตันและมองไม่เห็นทางออก ทำให้การฝึกฝนทั้งพุทธศาสนาและวรยุทธ์ของเขาหยุดชะงักลงไป”
“แต่การที่เขาพบหลินเป่ยฟาน มันแตกต่างออกไป!”
“ตามที่ฝ่าบาทได้กล่าวออกมา เขามีความคิดแปลกประหลาดมากมายและเก่งในการบิดเบือนคำพูด เขาสามารถเปลี่ยนแม้แต่พุทธศาสนาให้เป็นสิ่งที่แตกต่างได้ สิ่งนี้ได้สร้างทางเลือกใหม่แก่ปรมาจารย์จิงไท่ นำทางเขาไปสู่การตรัสรู้ที่ยิ่งใหญ่ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเต็มใจเป็นศิษย์ของหลินเป่ยฟาน หวังว่าจะได้รับฟังคำสอนที่น่าทึ่งเช่นนี้อีก”
“อืม ฉิงเสวียนกล่าวได้เข้าใจนัก!” จักรพรรดินีพยักหน้า “ทว่าข้าก็ยังไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสบายๆ หากมีคนแปลกหน้ามาอาศัยอยู่ในเรือนของหลินเป่ยฟาน เจ้าช่วยจับตาดูสิ่งต่างๆ และบอกข้าได้ไหมว่ามันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”
“ฝ่าบาทโปรดวางใจได้ ข้าจะคอยจับตาดูสิ่งต่างๆ เอง”
ร่างของไป๋ฉิงเสวียนพลันค่อยๆ เลือนหายไป
หนึ่งวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเป่ยฟานเห็นพระชราและพระหนุ่มมาทักทายเขา
“ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองมากเช่นนั้น เพียงแค่ปฏิบัติต่อสถานที่แห่งนี้เหมือนเป็นเรือของพวกเจ้าเองได้เลย”หลินเป่ยฟานยิ้ม“วันนี้ข้าวางแผนจะออกไปข้างนอก พวกเจ้าสนใจที่จะไปกับข้าหรือไม่?”
เมื่อวันหยุดเหลืออีกสองวัน หลินเป่ยฟานก็ไม่อยากอยู่เรือนและอยากออกไปข้างนอกแทน
“ขอรับท่านอาจารย์!” พระทั้งสองตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงออกไปข้างนอกด้วยความตื่นเต้น
ถึงยามนี้ ดวงตะวันขึ้นแล้วและผู้คนต่างก็เริ่มทำกิจวัตรประจำวันของพวกเขา ถนนเริ่มมีชีวิตชีวา
หลินเป่ยฟานเดินไปกับพระทั้งสองอย่างสบายๆ รู้สึกถึงเหล่าผู้คนในเมืองหลวง
ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย
เพราะการรวมกันของพวกเขามันแปลกพิกลเกินไป!
คนหนึ่งเป็นขุนนางชั้นสูงของเมืองหลวงที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ ส่วนอีกหนึ่งเป็นพระชราที่ร่างกายเหี่ยวแห้งและอีกคนเป็นพระหนุ่มผู้ดูอวิญญู ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมากในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่บนท้องถนน
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นหลินเป่ยฟานเดินอยู่ข้างหน้าพร้อมกับพระทั้งสองที่เดินตามหลังมาด้วยความเคารพ มันยิ่งทำให้พวกเขาแปลกใจมากกว่าเดิม
ขุนนางระดับสูงหลินเป่ยฟานจะมาข้องเกี่ยวกับพระทั้งสองได้เช่นไร?
อีกทั้งพระทั้งสองยังมองหลินเป่ยฟานด้วยความเคารพอีกด้วย
ผู้คนกระซิบกันกระซาบกัน จนเกิดข่าวลือภายในเมืองหลวง
ในยามนั้น หลินเป่ยฟานเห็นพระหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเขาขมวดคิ้วและคล้ายต้องการพูดบางสิ่งออกมา
“เจี๋ยขง พูดความคิดของเจ้าออกมาเถิด อย่าปิดบังความคิดของเจ้าเลย” หลินเป่ยฟานกล่าว
"ขอรับท่านอาจารย์!" พระหนุ่มโค้งคำนับหลินเป่ยฟาน ก่อนจะตั้งข้อสงสัย “เห็นได้ชัดว่าท่านอาจารย์เป็นพุทธองค์แท้จริงที่เดินบนโลกมนุษย์ และยังมีความเห็นอกเห็นใจอย่างมากที่ต้องการช่วยให้สิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกได้รับการปลดปล่อย ว่าแต่ไฉนทุกคนถึงเอาแต่ถ่มน้ำลายใส่ท่านอาจารย์กัน?”
พระชราเงยหน้าขึ้นและรอคำอธิบายของหลินเป่ยฟานเช่นกัน
หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาอย่างแผว่เบา “เพราะสิ่งที่ข้าทำไม่เป็นที่เข้าใจหรือไม่เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น! ข้าเคยกล่าวไปแล้วว่าโลกเป็นมหาสมุทรแห่งความทุกข์ทรมานที่กว้างใหญ่ ผู้คนต่างกำลังดิ้นรนและจมลงไปในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานนี้! ข้าต้องการนำผู้คนออกจากทะเลแห่งความทุกข์ทรมานจึงแสวงหาเส้นทางบางอย่างขึ้นมา! เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะช่วยชีวิตสิ่งมีชีวิตที่ติดห้วงความรู้สึกจากทะเลแห่งความทุกข์ทรมานและช่วยให้พวกเขาไปถึงฝั่งได้เช่นไร?”
“เรื่องนี้…อาตมายังไม่ได้คิดเลย!” ทั้งสองส่ายศีรษะตอบ
หลินเป่ยฟานจึงกล่าวขึ้นมา “ก่อนอื่นเราต้องสัมผัสกับความลึกของทะเลด้วยการจมตัวเองลงไปเสียก่อน เพียงเท่านี้ก็สามารถรับรู้ได้ว่าห้วงทะเลแห่งความทุกข์นั้นลึกเพียงใด! เราต้องทำให้ตนเองไม่บริสุทธิ์แล้วสัมผัสกับความสกปรกของทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน เราต้องลิ้มรสกับความขมขื่นของท้องทะเลแห่งความทุกข์! เพียงแค่ทำเช่นนั้น…”
“เราก็จะสามารถพาผู้อื่นไปยังอีกฟากหนึ่งได้ใช่หรือไม่!”
พระทั้งสองดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว “อามิตาภพุทธ!”
“แต่เมื่อผู้ใดได้เห็นถึบความลึกและลิ้มรสความขมขื่นของท้องทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน ร่างกายของพวกเขาย่อมเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกจนพวกเขาจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้! เพราะพวกเขากำลังจมอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน ดวงตาของพวกเขาจึงมืดบอด อาจด้วยความหลงผิดและโง่เขลา พวกเขาเชื่อในสิ่งที่เห็นและไม่ต้องการค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลัง พวกเขาเชื่อในสิ่งที่ได้ยินและไม่ต้องการแสวงหาความจริงที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลัง!”
“ผู้ใดก็ตามที่แตกต่างย่อมถูกพวกเขาปฏิเสธ! ผู้ใดก็ตามที่ต่อต้านย่อมถูกพวกเขาถูกรังเกียจ! นั่นเป็นเหตุผลที่…ข้าถูกพวกเขาทำเช่นนี้!”
“อามิตาภพุทธ อาตมาเข้าใจแล้ว!” พระทั้งสองกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เพียงพวกเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” หลินเป่ยฟานพยักหน้า
“ท่านอาจารย์สมกับเป็นพุทธองค์เดินดินอย่างแท้จริง!” พระชรามองไปที่หลินเป่ยฟานด้วยความชื่นชม “หัวใจของท่านเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างมาก ทั้งยังแสดงความสงสารต่อสิ่งมีชีวิตที่มีน่าสังเวช คล้ายพุทธองค์เนื้อเลี้ยงนกอินทรี ศิษย์ของท่านผู้นี้ได้เรียนรู้มากมาย!”
“แต่ท่านอาจารย์ ท่านไม่รู้สึกเจ็บหรือเมื่อผู้อื่นเข้าใจท่านผิด?” พระหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“หากมิมีผู้ใดลงไปยังห้วงอเวจี ข้าจะต้องไปเอง” หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาอย่างใจเย็น: “ในเมื่อข้าเลือกเส้นทางนี้แล้ว ข้าย่อมต้องแบกรับทุกอย่าง แม้ว่าคนหลายพันคนจะต่อต้านข้า ข้าก็จะก้าวเดินต่อไป! มันไม่เพียงแต่เพื่อประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเท่านั้น แต่ยังเพื่อพุทธองค์ในใจของข้าด้วย ตราบใดที่จิตใจของข้ายังคงแน่วแน่ ไม่ว่าวิพากษ์วิจารณ์หรือการคัดค้านใดที่ก็ไม่อาจหยุดข้าได้”
พระชราตัวสั่นไปทั้งตัว เขารู้สึกประทับใจอย่างมากกับคำพูดของหลินเป่ยฟาน แต่ละคำพูดของเขาเป็นเหมือนคำพูดที่กลั่นกรองออกมาอย่างดีจนกระแทกเจาะเขาตรงดวงใจของเขา “อามิตาภพุทธ!” พระเฒ่าพนมมือเข้าหากัน ความเข้าใจในทางพุทธศาสนาของเขากลับยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้น
หลินเป่ยฟานรู้สึกประหลาดใจที่การพูดพล่อยๆ ของเขาถึงหลักพุทธศาสนาจะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการตรัสรู้เช่นนี้ “อามิตาภพุทธ ท่านอาจารย์ช่างเป็นคนที่มีความเพียรมากจริงๆ แม้ว่าผู้คนหลายพันคนจะต่อต้านท่าน แต่ท่านกลับยังคงก้าวเดินต่อไป ถ้าเป็นอาตมาคงไม่อาจยึดมั่นได้ อาตมาละอายใจยิ่ง!” พระหนุ่มกล่าวพร้อมกับก้มศีรษะลง
“มันไม่ได้เป็นเรื่องที่มากมายอะไรเลย!” หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมา “บนเส้นทางนี้ยังมีผู้มีจิตใจเดียวกันมากมาย พวกเจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว! แม้ว่าจะมีความทุกข์และความสุขมากเกินไป แต่นานๆ ครั้งสายลมย่อมพัดผ่านมาเติมเต็มหนึ่งหมื่นความฝันของข้า”
“อามิตาภพุทธ!” พระทั้งสองคล้ายได้รับความกระจ่างอีกครั้ง
คราวนี้กระทั่งพลังของพระหนุ่มก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สำหรับพระที่สามารถศึกษาพระพุทธศาสนาได้อย่างท่องแท้ มันก็จะทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขามากยิ่งขึ้นด้วย
เมื่อได้เห็นเช่นนี้ ปากของหลินเป่ยฟานถึงกับกระตุก ทั้งสองคนนี้ช่างแปลกจริงๆ! เรื่องไร้สาระของเขากลับเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการรู้แจ้งเสียอย่างนั้น
จากนั้นทั้งสามก็เดินทางกันต่อไป พระชราที่อยู่ข้างหลังพวกเขารู้สึกถึงวิสัยของพุทธองค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสองวันที่ผ่านมา จึงรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง
โชคดีเหลือเกินที่พวกเขาได้พบกับพุทธองค์แท้จริง การเป็นศิษย์ของเขาเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว! เขาเรียนรู้เรื่องหลักพุทธศาสนามากขึ้นในสองวันนี้ มากกว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเสียอีก!
เมื่อเห็นหลังของหลินเป่ยฟาน เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นแสงแห่งพระธรรมที่กำลังสาดส่องลงมา ความชื่นชมที่เขามีต่ออีกฝ่ายเพิ่มมากขึ้น
เขาประสานมือเข้าด้วยกันและตัดสินใจอย่างลับๆ ภายในใจ “ท่านอาจารย์ ท่านไม่ได้อยู่คนเดียวบนเส้นทางแห่งนี้หรอก!”
“ศิษย์ผู้นี้พร้อมยินดีที่จะผ่านช่วงชีวิตและความตายไปพร้อมกับท่าน!”
“อามิตาภพุทธ!”
สองวันผ่านไปในพริบตา
หลินเป่ยฟานก็ได้เริ่มทำงานอีกครั้ง
เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่การสอบรายเดือนครั้งก่อน ยามนี้ก็คงถึงเวลาที่พวกเขาจะทำกำไรอีกครั้งแล้ว
หลินเป่ยฟานโกงเงินจำนวนมากจากกลุ่มนายน้อยผู้โง่เขลาอีกครั้ง
ถึงแม้จะเป็นการสอบรายเดือนครั้งที่สามแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงล้มเหลวอยู่ดี
ตามกฎที่กำหนดโดยหลินเป่ยฟาน การล้มเหลวในการสอบรายเดือนสามครั้งติดต่อกันจะต้องโทษให้ถูกโบยด้วยไม้ 80 ครั้ง
แต่ถ้าส่งมอบเหรียญเงิน 80,000 ตำลึงก็สามารถหลีกเลี่ยงการลงโทษได้
มีนายน้อยทั้งหมด 24 คน ซึ่งแต่ละคนต้องจ่ายเงิน 80,000 เหรียญตำลึง
ดังนั้นในระหว่างการสอบรายเดือนนี้ หลินเป่ยฟานจึงได้รับเงินทั้งหมด 1.92 ล้านตำลึง
สิ่งนี้ทำให้ทั้งขุนนางพลเรือนและทหารรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ในเวลาเพียงสองเดือน พวกเขาก็สูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมากแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาจะทำอะไรได้อีก?
เงินของพวกเขาไม่ได้เก็บขึ้นมาจากถนนนะ
มันเป็นผลมาจากการทำงานหนักของพวกเขาเป็นเวลาหลายปีหรืออาจหลายสิบปีเลย แต่พวกมันทั้งหมดกลับถูกตัดลงเหมือนตะไคร้โดยไอ้เจ้าหลินเป่ยฟาน
นี่มันไร้มนุษยธรรมสิ้นดี!
เสนาบดีหลายคนได้ออกคำสั่งคล้ายต้องการประหารชีวิตให้กับบุตรชายของตนเองแล้ว หากพวกเขาไม่ผ่านการสอบรายเดือนครั้งต่อไป พวกเขาจะไม่ให้เงินพวกเขาอีก ปล่อยให้พวกเขารับชะตากรรมที่สมควรโดน
เหล่านายน้อยต่างร้องไห้และโหยหวนถึงอนาคตที่มืดมนเบื้องหน้า
ในยามนัน้เอง หลังจากใช้ความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ในที่สุดหลินเป่ยฟานก็สร้างบัลลูนลมร้อนขึ้นมาสำเร็จ
บัลลูนลมร้อนที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยนภูมิทัศน์ของโลกเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือของหลินเป่ยฟานในการหาเงินอีก
“ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานการล่อลวงที่จะได้บินไปได้!”
“ไม่มีผู้ปกครองผู้ใดสามารถเพิกเฉยต่ออาวุธประจำชาตินี้ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์สงครามได้!”
“ตราบใดที่ไม่มีใครสามารถต้านทานการล่อลวงได้ ก็รอให้ข้าริบเงินของพวกเจ้ามาเสียดีๆ !”
“ด้วยบัลลูนลมร้อนนี้ ผู้ใดจะมาต่อกรกับข้าได?”
หลินเป่ยฟานลับมีดของเขาแล้ว ความคิดที่ไม่ดีมากมายในศีรษะผุดขึ้นมาอีกครั้ง
ในวันนี้ ราชสำนักช่วงรุ่งสางก็กำลังเริ่มขึ้น
หลินเป่ยฟานลุกขึ้นยืนและกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาท หลังจากที่ข้าพยายามอย่างไม่ลดละเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในที่สุดข้าก็สร้างบัลลูนลมร้อนขึ้นมาได้สำเร็จ! เรากำลังจะทำการทดลองบินครั้งแรก ได้โปรดฝ่าบาทเป็นสักขีพยานด้วยเถิด!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ราชสำนักก็ตกอยู่ในความโกลาหล!
“สร้างบัลลูนลมร้อนขึ้นมาแล้วหรือ?”
“นี่…มันคือปาฏิหาริย์หรือ?”
“มันพาคนบินได้จริงใช่ไหม?”
…
ใบหน้าของจักรพรรดินีเองก็เต็มไปด้วยความประหลาด “ท่านหลิน ท่านพูดความจริงหรือ?” ท่านสร้างบัลลูนลมร้อนขึ้นมาจริงๆ หรือ?”
หลินเป่ยฟานยิ้มและกล่าวออกมาว่า “ข้าจะหลอกลวงฝ่าบาทได้เช่นไรกัน?”
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก! ท่านทำงานหนักมากท่านหลิน!” จักรพรรดินีชมเขาสามครั้งและยิ้มออกมาจนแทบปิดปากไม่ได้ แต่นางก็เริ่มกังวลอีกครั้ง “การบินครั้งนี้จะเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ความน่าจะเป็นของความสำเร็จคือเท่าไรกัน?”
“เพราะว่านี้เป็นการบินแรก ข้าไม่กล้าพูดว่ามันมีความเป็นไปได้เต็มร้อย แต่น่าจะประมาณเจ็ดในสิบถึงแปดในสิบ” หลินเป่ยฟานกล่าว
“เพียงเจ็ดในสิบถึงแปดในสิบก็เพียงพอแล้ว!” จักรพรรดินีรู้สึกมีความสุขมาก “ถ้าการทดลองบินครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ข้าจะให้รางวัลท่านอย่างมหาศาลเลย!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หลินเป่ยฟานโค้งคำนับ
“ท่านหลิน แล้วท่านจะทดสอบบินเมื่อไรกัน?” จักรพรรดินีแทบรอไม่ไหวแล้วจึงเอ่ยถามออกมา
“ข้าได้สังเกตดาวในยามกลางคืนแล้ว พรุ่งนี้เป็นเวลาที่ดีสำหรับการบินบนท้องฟ้าท่ามกลางแสงตะวันขอรับ” หลินเป่ยฟานยิ้ม
"ดี! เราจะจัดให้มีการทดลองบินในวันพรุ่งนี้ ข้ากับเหล่าขุนนางจะได้ประจักษ์ปาฏิหาริย์ร่วมกัน!” จักรพรรดินีตะโกนออกมา
“ขอรับฝ่าบาท!” เหล่าขุนนางทุกคนกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน