บทที่ 101: พระไร้ยางอายย่อมไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น!
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 101: พระไร้ยางอายย่อมไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น!
ไม่เพียงแต่หลินเป่ยฟานจะตกตะลึง แต่ทุกคนที่รอบตัวเขาก็มีสภาพเช่นเดียวกัน!
เมื่อสักครู่นี้เขาบอกว่าหลินเป่ยฟานมีกระดูกกับหัวใจของพระพุทธองค์และต้องการรับเขาเป็นศิษย์ เพื่อทำให้เขากลายเป็นพระ ทว่าจู่ๆ กลับพลิกตาลปัตรกลับกลายเป็นว่าเขาต้องการเป็นศิษย์แทนเนี่ยนะ?
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเขาเป็นถึงพระชราผู้ได้รับการยอมรับมากมายและเป็นผู้แข็งแกร่ง เหตุใดถึงมาโค้งคำนับให้ขุนนางรุ่นหลังผู้อ่อนด้อยทางวรยุทธ์กัน?
“อามิตาภพุทธ!”
อาจารย์จิงไท่ยืดหลังตรง แต่ยังคงรักษาท่าทางที่สงบเสงี่ยมเอาไว้ เมื่อหันหน้าไปทางหลินเป่ยฟานพร้อมกับมือที่พนมไว้ เขาก็กล่าวออกมาด้วยความชื่นชมและเคารพ “พระผู้ต่ำต้อยคนนี้ได้เล็งเห็นถึงหลักคำสอนทางพุทธศาสนาที่แท้จริงและความรักอันยิ่งใหญ่ของโยม บนโลกใบนี้โยมเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ดังนั้นอาตมาจึงปรารถนาที่จะกราบโยมเป็นอาจารย์ของอาตมา เพื่อที่จะเรียนรู้หลักคำสอนทางพุทธศาสนาที่หาที่เปรียบมิได้ ได้โปรดรับอาตมาเป็นลูกศิษย์ด้วยเถิด!”
หลังจากพูดจบ เขาก็โค้งคำนับอย่างนอบน้อมต่อหลินเป่ยฟานอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปากของหลินเป่ยฟานถึงกับกระตุก คำสอนไร้สาระของข้าทำให้ท่านมุ่งสู่หนทางที่ผิดไปแล้วหรือ?
ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นพระผู้นี้โค้งคำนับขอเป็นศิษย์หลินเป่ยฟานอีกครั้ง ท่าทางของเขาดูจริงจังมาก!
ฉากนี้มันแปลกเกินไปแล้ว ประหลาดพอๆ กับหนูกำลังอวยพรวันปีใหม่ให้ไก่!
หลินเป่ยฟานรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมนักจึงกล่าวออกไปว่า “ท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าการโค้งคำนับในฐานะอาจารย์และศิษย์ไม่จำเป็น เหนือสิ่งอื่นใด ตัวข้ายังเด็กและไม่เหมาะนักที่ข้าจะเป็นอาจารย์ของท่าน เราอาจเป็นสหายและแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาแทนเถิด”
“มิอาจทำเช่นนั้นได้ หมึกจากปลายจวักแปรงของเจ้ากลายเป็นผลงานชิ้นเอกไปแล้ว!” พระชรารู้สึกกังวลและกลัวเล็กน้อย “ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาของโยมลึกซึ้งกว่าของอาตมามาก ทุกประโยคที่โยมพูดออกมาล้วนมีประโยชน์ต่ออาตมามากล้น ทำให้อาตมาเข้าใจสิ่งที่พลาดไปอย่างชัดเจน มันไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุ แต่เป็นเรื่องความฉลาดปราดเปรื่องและความสามารถ ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงต้องการเรียนรู้คำสอนของโยม ได้โปรดรับอาตมาเป็นลูกศิษย์ด้วยเถิด!”
หลินเป่ยฟานได้แต่ฝืนยิ้ม “แต่ข้ามีความเข้าใจที่จำกัดในด้านพุทธศาสนา ข้าคงไม่สามารถเป็นอาจารย์ของท่านได้”
พระชรายิ่งกระตือรือร้นมากขึ้น “ถึงโยมจะมีความรู้ที่จำกัด แต่มันก็ลึกซึ้งเป็นอย่างมาก! อามิตาภพุทธ! โยมคล้ายกับพุทธองค์เดินดินบนโลกหล้าใบนี้! ได้โปรดรับอาตมาเป็นลูกศิษย์ด้วยเถิด!”
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะอย่างต่อเนื่อง “ไม่ ไม่ ไม่…บางทีเราควรคิดเรื่องนี้ครั้งอื่นเถิด”
พระชราเร่งเร้าอีกอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้อีกต่อไป! เป็นเพราะจิตใจของอาตมาขาดความจริงใจหรือวิสัยแห่งพุทธองค์ของข้าไม่เพียงพอหรือ? ได้โปรดบอกอาตมา อาตมาจะเปลี่ยนแปลงมันในทันที!”
หลินเป่ยฟานยังคงส่ายศีรษะ “ท่านเป็นพระที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว มิมีสิ่งใดที่ท่านต้องเปลี่ยน ข้าเองต่างหากที่ต้องเปลี่ยนแปลง”
พระเฒ่าถามออกมาอย่างเร่งด่วน “ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมโยมไม่ยอมรับอาตมาเป็นศิษย์กันเล่า?”
…
ทั้งสองยังคงโต้เถียงกันแบบนี้ต่อไป
คนหนึ่งไม่ต้องการรับศิษย์เป็นพระชราคนนี้ ส่วนอีกคนต้องการที่จะโค้งคำนับให้อีกฝ่ายเป็นอาจารย์อย่างสิ้นหวัง
ผู้คนโดยรอบถึงกับตกตะลึงไปแล้ว
“อาจารย์จิงไท่จำเป็นต้องดื้อดึงขนาดนี้เลยหรือ?”
“แค่เรียนรู้คำสอนทางพุทธศาสนามันคุ้มค่าต้องทำเพียงนี้เลยเหรอ?”
“พูดตามตรง ข้าเองก็ยังมองไม่เห็นร่องรอยของพุทธองค์ในตัวหลินเป่ยฟานเลยสักนิดเดียว!”
“สมควรแล้วหรือที่จะยอมรับเขาเป็นอาจารย์?”
“อามิตาภพุทธ พวกโยมคงไม่อาจเข้าใจได้!” พระหนุ่มประสานมือพร้อมกับกล่าวว่า “เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่า ตระหนักรู้จริงเท็จในยามเช้า ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนชีวิตของคนๆ หนึ่งไปตลอดกาล อาจารย์ของอาตมาอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา แสวงสู่เส้นทางนิพพาน หลังจากที่ได้พบกับพุทธองค์และได้สัมผัสกับคำสอนทางพุทธศาสนาที่แท้จริง เขาจึงสาบานว่าจะติดตามคนผู้นั้นจนไปถึงทวารแห่งความตาย! ถ้าไม่ใช่เพราะอาตมามีอาจารย์อยู่แล้ว คงไปขอท่านหลินเป็นอาจารย์ด้วยอีกคน!”
ทุกคนได้แต่กุมศีรษะด้วยมือของพวกเขา รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง “คนบ้าสองคนชัดๆ!” พวกเขาได้แต่บ่นออกมา
ในยามนั้นเอง พระชราได้หยุดชะงักไปพร้อมกับกัดฟันแน่น ทันใดนั้นก็กระโจนไปคว้าต้นขาของหลินเป่ยฟานและกล่าวอย่างไร้ยางอาย “ท่านอาจารย์ ถ้าท่านไม่ยอมรับอาตมาเป็นลูกศิษย์ของท่าน อาตมาจะจับขาของท่านไว้และจะไม่ปล่อยโดยเด็ดขาด!”
“บัดซบเถอะ!” หลินเป่ยฟานอุทาน
“บัดซบอะไรนั่น!” ทุกคนต่างสบถออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
ทุกคนถึงกับอึ้งจนนิ่งไป! ท่านเป็นนักบวชที่ได้รับการเคารพอย่างมากมาย! มันคุ้มค่าหรือที่จะสูญเสียศักดิ์ศรีของท่านเพื่อขอเป็นศิษย์เช่นนี้?
นี่...
มันไม่จำเป็นเลยไม่ใช่หรือ!
หลินเป่ยฟานส่ายขาของเขาไปมา แต่ก็ไม่อาจสลัดอีกฝ่ายหลุดออกไปได้ เขาได้แต่กล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ท่านต้องให้เวลาข้าพิจารณาเรื่องใหญ่เช่นการยอมรับศิษย์เป็นก่อนไม่ใช่หรือ?”
“เช่นนั้นก็คิดไปเลย ไม่ต้องสนใจเรื่องอาตมา ตราบใดที่ท่านสัญญาว่าจะยอมรับอาตมาเป็นศิษย์ของ อาตมาจะปล่อยทันที!” พระชราตอบอย่างไร้ยางอาย
“แล้วถ้าข้าไม่ตอบตกลงเล่า?” หลินเป่ยฟานเอ่ยถาม
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ปล่อยมือและอาตมาหวังว่าสักวันท่านจะตอบตกลง!” พระชราตอบ
"ให้ตายเถอะ!" หลินเป่ยฟานอุทานออกมาอีก
พระเฒ่าผู้นี้ไร้ยางอายยิ่งกว่าที่หลินเป่ยฟานคิดไว้เสียอีก! กระทั่งพระหนุ่มผู้นั้นก็ไม่ต่างกันเลย! ไม่แปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงมาจากอารามเดียวกัน!
พระเฒ่าได้เปลี่ยนตำแหน่งของตนและกล่าวออกมาด้วยความจริงจัง “เจี๋ยขง นี่คือขาของพุทธองค์ เจ้าต้องจับมันไว้แน่นๆ แต่อย่าทำให้ท่านบาดเจ็บเข้าใจไหม?”
“ขอรับท่านอาจารย์!” เจี๋ยขงกล่าว จากนั้นเขาก็กระโดดลงมากอดต้นขาอีกข้างของหลินเป่ยฟานด้วยความตื่นเต้น
หลินเป่ยฟานแทบจะเสียสติไปแล้ว!
เมื่อพระสองคนจับขาทั้งสองข้างของเขา มันก็ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ยาก!
ในที่สุดหลินเป่ยฟานก็ได้แต่ต้องกล่าวออกมาว่า “เอาล่ะ ข้าจะรับท่านทั้งสองเป็นศิษย์ของข้าและสอนคำสอนสูงสุดทางพุทธศาสนาให้พวกท่านเอง แบบนั้นตกลงไหม? เช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นเถิด!”
พระทั้งสองมีความสุขมากจนพูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์!”
พวกเขาเก็บข้าวของและเดินตามหลินเป่ยฟานลงมาจากภูเขาอย่างมีความสุข
ตลอดทางลง หลินเป่ยฟานยังคงรู้สึกสับสนราวกับว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน เขาขึ้นไปบนภูเขาเพื่อชมทิวทัศน์ คำนับพระพุทธรูปและลงเอยด้วยการพาพระผู้เป็นศิษย์สองคนกลับบ้าน! หนึ่งในนั้นเป็นผู้มีพลังระดับปรมาจารย์ขั้นสามด้วยซ้ำ!
เขาไม่รู้ว่าจะมีความสุขหรือเศร้าใจดี หัวใจของเขามันปนเปไปด้วยอารมณ์มากมาย
แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ต้องก้าวเดินต่อไป เพราะเขามีงานใหญ่คอยอยู่ ทั้งยังอาจสามารถใช้ประโยชน์จากพระสองคนนี้ได้
ในช่วงเย็น พวกเขาก็กลับมาถึงเรือนเพื่อเตรียมอาหารเย็น ต้าหลี่และเสี่ยวกุ้ยรีบไปทำงานในครัวทันที
ส่วนพระสองคนที่เพิ่งมาถึงก็กำลังตกอยู่ในสภาวะยากลำบากที่ได้เห็นแต่เนื้อปลาและเหล้าหรู
นักบวชหนุ่มรู้สึกประหม่ามากจึงกล่าวว่า “อามิตาภพุทธ! ท่านอาจารย์และข้าเป็นมังสวิรัติ เราขออาหารมังสวิรัติแทนได้หรือไม่?”
ต้าหลี่จึงตอบว่า “มันดึกมากแล้ว เราเตรียมพวกมันได้ในวันพรุ่งนี้เท่านั้น!”
หลินเป่ยฟานจึงยิ้มและกล่าวว่า “จิงไท่ เจ้าลืมสิ่งที่เจ้าพูดกับข้าก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือไม่?”
“อามิตาภพุทธ! อาตมามิกล้าลืม ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า เนื้อสัตว์และเหล้าเข้าสู่กระเพาะอาหาร แต่พุทธองค์ยังคงอยู่ในหัวใจ! ตราบใดที่ยังมีพุทธองค์อยู่หัวในใจ แม้ว่าเจ้าจะกินและดื่มเหล้าไปก็ไม่เป็นไร!”
หลินเป่ยฟานพยักหน้า “ใช่แล้ว! ทุกอย่างเหมือนความฝัน ดั่งเช่น ฟองอากาศ น้ำค้างหรือฟ้าผ่า! ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นภาพลวงตาเช่นเดียวกับ เนื้อสัตว์และเหล้า หากเจ้าลังเลที่จะกิน นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ปล่อยวางมากพอและไม่มีความมั่นใจพระธรรมของตน เจ้าจะคาดหวังความเมตตาและการปกป้องจากพุทธองค์ได้เช่นไรหากเจ้าเป็นเช่นนี้?”
“อามิตาภพุทธ! ท่านอาจารย์พูดความจริงถูกต้องทุกประการ จิงไท่ได้เรียนรู้มากมาย!” จิงไท่ก้มลงพร้อมกับประสานมือทั้งสองข้าง
จากนั้นเขาก็คว้าขาไก่มากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่วิสัยแห่งพุทธองค์ของเขากลับกล้าแกร่งยิ่งขึ้น
พระหนุ่มหนุ่มมองดูพระชรากินอย่างกระหาย เขาได้แต่แอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ ข้าก็กินได้ด้วยหรือ?” เขาเอ่ยถาม
"เนื้อสัตว์และเหล้าเข้าสู่กระเพาะอาหาร แต่พุทธองค์ยังคงอยู่ในหัวใจ! แต่นั่นเป็นเพียงประโยคครึ่งแรก มันยังเหลือประโยคครึ่งหลังด้วย!” หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมา
พระเฒ่าวางขาไก่ลงทันทีและประสานมือเข้าด้วยกันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านอาจารย์ ได้โปรดบอกเราด้วย!”
“ประโยคครึ่งหลังกล่าวว่า หากมีผู้ใดประสงค์เดินตามข้ามา จักต้องถูกล่อลวงสู่หนทางแห่งมาร!”
“มันหมายความว่าถ้าระดับของเจ้าไม่สูงพอและเจ้าไม่สามารถยึดถือในพุทธองค์ได้อย่างหนักแน่น เจ้าก็ไม่ควรเดินตามเส้นทางนี้ มิควรกินเนื้อและดื่มเหล้า มิฉะนั้นเจ้าจะตกอยู่ในเส้นทางแห่งห้วงอเวจีนรกอันไร้ที่สิ้นสุดของเหล่ามาร!”
หลินเป่ยฟานกล่าวต่อ “เจี๋ยขง เจ้าคงเห็นได้ชัดเจนแล้วว่าเจ้ายังไม่ถึงระดับนั้น เจ้าไม่สามารถต้านทานการล่อลวงได้ ดังนั้นจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์และดื่มเหล้าในยามนี้!”
“อามิตาภพุทธ! ท่านอาจารย์พูดความจริงถูกต้องทุกประการ จิงไท่ได้เรียนรู้มากมาย!”
จากนั้นเขาก็หันไปหาพระหนุ่มและกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “เจี๋ยขง ระดับของโยมยังต่ำเกินไป ความเข้าใจของโยมเรื่องหลักคำสอนของพุทธองค์ยังไม่ลึกซึ้งพอ ดังนั้นสำหรับยามนี้ โยมไม่ควรกินเนื้อสัตว์และดื่มเหล้า เพียงกินอาหารแห้งแทนเพื่อให้ท้องอิ่มก็พอแล้ว!”
“ขอรับท่านอาจารย์!” เจี๋ยขงก้มศีรษะด้วยความละอายขณะที่เขาลูบท้องของเขาด้วยความรู้สึกหิว เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เห็นทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารของพวกเขาอย่างมีความสุข ปากของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยน้ำมัน เขารู้สึกทรมาน มันทำให้เขาตระหนักได้เลยว่าอาจารย์ของเขาพูด โลกแห่งนี้เป็นท้องทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน
ดังนั้นพระทั้งสององค์จึงอยู่ในคฤหาสน์หลิน
หลินเป่ยฟานมีความสำคัญต่อจักรพรรดินีเป็นอย่างมาก เมื่อคนแปลกหน้าสองคนปรากฏตัวในเรือนของหลินเป่ยฟาน นางก็เริ่มระแวดระวังทันที
จากนั้นนางจึงส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าทั้งสองคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นพระจากอารามร้อยเมฆา
พระเฒ่าชื่อจิงไท่และเป็นพระที่ได้รับความเคารพอย่างสูง ทั้งยังทรงพลังมากอีกด้วย
พระหนุ่มชื่อเจี๋ยขงและเป็นศิษย์ของพระเฒ่า
จักรพรรดินีรู้สึกสับสน “เจ้าคนผู้นั้นไปเกี่ยวข้องอะไรกับพระทั้งสององค์ก่อน?”
จากนั้นไป๋ฉิงเสวียนก็ปรากฏตัวขึ้นในความว่างเปล่า
“ข้ารู้จักจิงไท่ดี เขาเป็นพระที่ชาญฉลาด ทั้งยังมีความศรัทธาอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา แตกต่างจากนักบวชในโลกวรยุทธ์อย่างสิ้นเชิง! เขาเป็นผู้สันโดษที่มีพลังเข้าใกล้กับระดับปรมาจารย์ขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว!”
“ส่วนเจี๋ยขง แท้จริงแล้วเขาเป็นศิษย์ของจิงไท่ที่เรียนรู้พุทธศาสนาจากอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก เขามีความรู้แจ้งและฉลาดมาก อนาคตคงจะกลายเป็นพระที่น่านับถืออย่างแน่นอน!”
“แต่พวกเขามาลงเอยอยู่กับหลินเป่ยฟานได้อย่างไรกัน? ไม่เห็นจะมีความเกี่ยวข้องกันสักอย่าง!” จักรพรรดินีถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เพราะหลินเป่ยฟานเป็นอาจารย์ของจิงไท่ พวกเขาจึงมีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ ทำให้ย่อมต้องมาอยู่ด้วยกันเป็นธรรมดา”
"อะไรนะ!? หลินเป่ยฟานเป็นอาจารย์ของจิงไท่หรือ?”
จักรพรรดินีตกใจมาก “เรื่องประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกัน? หลินเป่ยฟานจะสอนอะไรให้เขาได้บ้าง?”
“ข้าก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่ข้าเห็นมันด้วยตาของข้าเองจนต้องเชื่อ!”
ไป๋ฉิงเสวียนกล่าวพร้อมกับพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของนาง “ในยามนั้นข้ารู้สึกว่ามีคนกำลังทะลวงขั้นสู่ระดับปรมาจารย์ ดังนั้นข้าจึงไปที่อารามร้อยเมฆาและค้นพบสาเหตุ! ทั้งสองพบกันในอารามและจิงไท่ต้องการรับหลินเป่ยฟานเป็นศิษย์ของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงพูดคุยเรื่องหลักพุทธศาสนากัน”
“ทว่าจิงไท่กลับถูกพิชิตโดยหลักคำสอนทางพุทธศาสนาของหลินเป่ยฟาน! เขาได้ตระหนักรู้และทะลวงขั้นสู่ระดับปรมาจารย์! เพราะเขาต้องการแสวงหาคำสอนทางพุทธศาสนาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงขอให้หลินเป่ยฟานเป็นอาจารย์และติดตามเขามา!”
จักรพรรดินีแค่นเสียง “ไร้สาระ! ไป๋ฉิงเสวียน เจ้าคิดว่าหลินเป่ยฟานจะเข้าใจหลักพุทธศาสนาจริงหรือ? ไม่ใช่ว่าเขาแค่พูดไร้สาระออกมาด้วยท่าทีจริงจังหรอกเหรอ?”
ไป๋ฉิงเสวียนเกือบจะหัวเราะออกมา “อาจจะเป็นเช่นนั้นกระมัง? ผู้ใดจะรู้ได้? ไม่ใช่ว่าตัวเขาก็เต็มไปด้วยสิ่งน่าทึ่งที่ซ่อนเร้นเอาไว้หรอกหรือ?”
จักรพรรดินีพยักหน้า “เจ้าพูดถูก!”