นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 305 - เริ่มภารกิจทดสอบ
เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อยในห้องโดยสาร มันเกิดจากการที่เรือเหาะนั้นร่อนลงจอดที่พื้นลานโล่งขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหญ้าต้นไม่สูงมากนัก การเดินทางครั้งนี้ได้มาถึงจุดหมายของมันแล้ว
นี่เป็นการเดินทางที่ตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่บนเรือเหาะ หลังจากที่เกิดการโจมตีครั้งใหญ่ของจ้าวแห่งสัตว์ร้าย ไม่มีใครไว้วางใจเลยว่าจะไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้นอย่างกะทันหันอีก
ความรุนแรงของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนั้นยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของนักเรียนทุกคน แรงกดดันอันน่าหวาดกลัวนั่น มันทำให้ห้องโดยสารนั้นเงียบสงบอย่างผิดปกติมาตลอดการเดินทาง แม้จะใช้เวลาอยู่ในห้องโดยสารอย่างเนิ่นนาน แต่ไม่มีใครกล้าที่จะส่งเสียงออกมาโดยไม่จำเป็นเลย
ความราบเรียบของการเดินทางในครั้งนี้ ความดีความชอบทั้งหมดต้องยกให้ชายชราคนนั้น ‘คุณเคน’ เขายอมเสียสละใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ปล่อยข้อมูลเรื่อง ‘เซรั่มวิวัตนาการ’ ออกไป รายละเอียดนั้นรวมถึงข้อมูลอย่างละเอียดของผู้ที่มีมันเอาไว้ในครอบครอง และทิศทางที่กำลังมุ่งไป ใช่! มันเป็นข้อมูลของตัวชายชราเอง เขาดึงความสนใจจากยอดฝีมือทั้งหมดมาไว้ที่ตัวเอง ไม่ปล่อยให้มีใครเข้าใจผิดโจมตีเรือเหาะโดยสารนี้ได้เลย
และเพื่อเป็นการรับประกันไปอีกขั้น ชายชราถึงกับปล่อยข้อมูลของเดวิดออกไปด้วย ‘ลูกศิษย์ส่วนตัวคนใหม่ของไวท์ผู้บ้าคลั่ง’ เดินทางอยู่บนเรือเหาะด้วย นี่เป็นคำเตือนที่ทำให้ยอดฝีมือทุกคนต้องคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าผลีผลามโจมตีเข้ามา
มันเป็นการเดินทาง 1 อาทิตย์ที่เงียบสงบของเหล่านักเรียนในห้องโดยสาร แต่ไม่ใช่กับเจ้าหน้าที่คุ้มภัย พวกเขาต้องเผชิญกับเครื่องมือดักจับ และการตรวจสอบทุกรูปแบบ ยอดฝีมือระดับสูงหลายคนปรากฎตัวออกมาใกล้กับตัวยาน แต่เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มียอดฝีมือระดับสูงหลงเหลืออยู่บนยานแล้วจริง ๆ พวกเขาก็กลับไปด้วยความผิดหวัง ไม่มีใครคิดว่าข้อมูลที่ปล่อยออกมาจะเป็นการหลอกลวงอีก ไม่มีใครบนยานมีความสามารถมากพอที่จะครอบครองป้องกันเซรั่มวิวัฒนาการระดับสูงนั่นได้เลย
ทันทีที่ยานลงจอดถึงพื้น เหล่านักบินและเจ้าหน้าที่คุ้มกันที่อยู่ในห้องควบคุมก็ระบายลมหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก ในที่สุดภาระก็พ้นไปเปราะหนึ่งแล้ว สำหรับขากลับ เมื่อไม่มีนักเรียนเป็นภาระให้ต้องคุ้มกัน ทุกอย่างก็จะง่ายกว่าตอนที่เดินทางมาหลายเท่าตัวนัก
นักเรียนที่เดินทางมาทำภารกิจทดสอบเริ่มทยอยลงมาจากเรือเหาะอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ยืดเส้นยืดสายกันอยู่สักครู่ และรวมรวมสมาชิกในกลุ่มได้ครบครัน บางส่วนก็เริ่มออกเดินทางไปยังเป้าหมายที่ระบุเอาไว้ในภารกิจทันที ส่วนเดวิด! ด้วยสัมภาระที่เต็มไม้เต็มมือ เขายืนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่อย่างหนัก ก่อนจะเริ่มออกเดินทางแล้วเช่นกัน แต่เป็นทิศทางตรงกันข้ามกับการไปทำภารกิจทดสอบโดยสิ้นเชิง
หลังจากที่เขาหายลับเข้าไปในป่า สายตาของนักเรียนนับไม่ถ้วนมองตามทิศทางที่เดวิดจากไปด้วยตาที่เป็นประกาย พวกเขาเกือบทั้งหมดรับรู้เรื่องที่เดวิดถูกเรียกตัวเข้าไปในห้องควบคุม และทุกคนไม่ใช่คนโง่ พวกเขารู้ได้ทันทีว่าใครคือคนที่จ้าวแห่งสัตว์ร้ายผู้นั้นตามหาอยู่
นี่ยังไม่รวมถึงการที่เดวิดคือผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งจากกิจกรรมการล่าและเอาตัวรอดของสถาบัน เขามีชื่อเสียงในหมู่นักเรียนรุ่นเดียวกันอยู่ไม่น้อย นักเรียนหลายคนจำหน้าและระบุชื่อของเขาได้ในเวลาที่ไม่นานนัก สิ่งที่พวกเขาทุกคนสงสัยอยู่ในใจก็คือ เดวิดไปทำอะไรมา ทำไมถึงได้โดนตามล่าได้
กลุ่มของนักเรียน 7 คนที่ยืนอยู่ชายป่าใกล้ ๆ กับจุดลงจอด คือผู้ที่มีความสนใจในเรื่องนี้มากที่สุด พวกเขาแทบจะสรุปได้แล้วด้วยซ้ำว่าเดวิดไปทำอะไรมา และกำลังสุมหัวปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ไม่ได้สนใจที่จะเดินทางไปทำภารกิจเลยแม้แต่นิดเดียว
“หัวหน้า! ถ้าดูจากการที่จ้าวแห่งสัตว์ร้ายตั้งใจจะกำจัดพวกเราทั้งเรือเหาะไปในคราวเดียวกัน ถ้าเขาไม่ได้ตัวเจ้าหมอนั่น มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ในตัวของเจ้านั่นต้องมีสิ่งมีค่ามากพอที่จะทำให้ยอมเป็นศัตรูกับทั้งสถาบันได้ ผมคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะเสียเวลาอยู่นะ” เด็กหนุ่มร่างท้วมคนหนึ่งหันไปกล่าวกับเด็กหนุ่มผิวดำรูปร่างผอมอีกคน ดูหมือนว่าเด็กผิวดำคนนี้จะเป็นหัวหน้ากลุ่มของนักเรียนทั้ง 7 คนในที่นี้
ทันทีที่เสียงของหนุ่มร่างท้วมจบลง สีหน้าของสมาชิกคนอื่นก็เริ่มครุ่นคิดตามคำพูดของเขา และในที่สุด เด็กหนุ่มที่มีผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลก็มีความเห็นแย้งออกมา
“ถ้าของนั่นยังอยู่ที่ตัวเขา นายคิดว่าพวกเราจะเดินทางมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัยอย่างนั้นหรือ? จ้าวแห่งสัตว์ร้ายของสถาบันเราลงจากเรือเหาะไปแล้วนายก็รู้”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสริมออกมาต่อ “ฉันว่านะ ตาแก่คนนั้นต้องยึดของมีค่าไปไว้กับตัวแล้วแน่ ๆ ถึงได้รีบเดินทางกลับไปเร็วขนาดนั้น นายไม่เห็นตอนที่เจ้าเด็กนั่นออกมาจากห้องควบคุมหรือยังไง? สีหน้าของมันดูสิ้นหวังจะตาย!”
หนุ่มร่างท้วมโกรธจนแก้มยุ้ย ๆ นั้นสั่นกระเพื่อม มือถูกยกขึ้นมาเพื่อชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างเกรี้ยวกราด “นายตั้งใจจะขัดจะจับผิดฉันให้ได้ทุกเรื่องใช่มั้ย อีริค! บอกมาเลยดีกว่า! จะเอายังไง? ตัวต่อตัวเลยมั้ย?”
บรรยากาศในกลุ่มกลายเป็นตึงเครียดในพริบตา หนุ่มผมบลอนด์ก็ตัวสั่นด้วยความโกรธแล้วเช่นกัน
“เจ้าอ้วนหน้าโง่! คิดว่าฉันกลัวแกอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้เลยก็ได้!” อีริคตวาดออกมาสุดเสียงเช่นกัน แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ทำอะไรโง่ ๆ ออกไป เสียงอันราบเรียบก็ดังออกมาเบา ๆ ขัดจังหวะไว้เสียก่อน
“เงียบไปเลย! พวกนายทั้งคู่นั้นแหละ!” เสียงนั้นหยุดพวกเขาทั้ง 2 คนไม่ให้ขยับตัวได้ แม้ว่าต่างจะยังโกรธหน้าดำหน้าแดงอยู่ แต่ไม่มีใครกล้าเริ่มก่อนเลย
“เธอคิดว่ายังไง? ‘เฟลิซิตี้’” ชายผิวดำ หัวหน้ากลุ่มที่เพิ่งกล่าวห้ามออกมา หันหน้าไปถามผู้หญิงคนเดียวที่ยืนอยู่ในกลุ่ม เด็กสาวผมแดงผู้กำลังยืนใช้ความคิดอยู่เงียบ ๆ เงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง
“เขาต้องมีอะไรที่มีค่าติดตัวอยู่แน่ ๆ มันถึงได้ทำให้ยอดฝีมือระดับจ้าวแห่งสัตว์ร้ายลดตัวลงมาไล่ล่าเฟสเซอร์ธรรมดาได้ แต่ถ้าดูจากการที่ไม่มีการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่คุณเคนไม่อยู่แล้ว แสดงว่าของชิ้นนั้นน่าจะถูกคุณเคนนำไปด้วย
แต่ในใจฉันคิดว่า เจ้าคนที่ชื่อเดวิดนี่ไม่น่าจะมีของมีค่าแค่ชิ้นเดียวแน่ ๆ คุณเคนน่าจะนำชิ้นที่มีค่าพอสำหรับจ้าวแห่งสัตว์ร้ายติดตัวไป ส่วนชิ้นรอง ๆ ลงมาน่าจะยังอยู่ที่เขานั่นแหละ และถึงมันจะไม่มีค่าสำหรับจ้าวแห่งสัตว์ร้าย แต่มันต้องมีค่าพอสำหรับเฟสเซอร์อย่างพวกเราแน่ ถ้าจะให้ดีที่สุด ลงมือ! แล้วต้องรีบลงมือให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นกลุ่มอื่นจะลงมือตัดหน้าพวกเราแน่” หลังจากพูดจบ สายตาของเธอก็กวาดมองไปรอบบริเวณ และพบว่ายังมีนักเรียนกลุ่มอื่นที่รีรอไม่ยอมออกไปปฏิบัติภารกิจอยู่เหมือนกัน
สายตาของสมาชิกคนอื่นมองตามไป ก่อนที่จะประสานสายตาเข้ากับนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร หัวหน้าของนักเรียนกลุ่มนั้นส่งเสียงคำรามออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับลูกทีม และเริ่มเคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกันกับที่เดวิดมุ่งไปทันที
“หัวหน้า! จะเอายังไงดีครับ? พวกเราต้องรีบตัดสินใจแล้ว!”
หนุ่มร่างท้วมเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน มีคนตัดสินใจได้เร็วกว่าพวกเขาแล้ว
เด็กหนุ่มผิวดำยังไม่ตอบอะไรออกมา สีหน้าของเขานั้นแสดงให้เห็นว่ากำลังครุ่นคิดอยู่อย่างรอบคอบ ไม่มีสมาชิกในกลุ่มคนไหนกล้าส่งเสียงรบกวนขึ้นมาอีก เพราะเด็กหนุ่มเริ่มหลับตาลงอย่างช้า ๆ และร่างเริ่มสั่นไหวอย่างคนที่กำลังใช้ทักษะพิเศษออกมา หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ดวงตาของเด็กหนุ่มผิวดำก็เปิดขึ้น ก่อนจะกล่าวออกมาสั้น ๆ
“ตามมา!”
ทิศทางที่เขามุ่งไป ไม่ใช่ทิศทางเดียวกับที่เดวิดใช้ แต่ไม่มีลูกทีมคนไหนทักท้วงเลย ความสามารถตรวจจับด้วยคลื่นเสียงของหัวหน้าคนนี้พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่ามีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง
..............
เดวิดกำลังวางมืออยู่บนพื้นดิน ดวงตาของเขาปิดสนิท ตั้งสมาธิอย่างหนักเพื่อกระตุ้นใช้ทักษะพิเศษ ‘แหวกธรณี’ แต่ผลที่ได้คือเส้นเลือดนั้นปริแตกออกมา มันใช้ไม่ได้ผล
นี่ทำให้เดวิดได้แต่ถอนหายใจ จุดกระตุ้นของทักษะพิเศษนั้นหาเจอได้ยากว่าทักษะธรรมดาหลายเท่าตัวนัก ตราบใดที่เขายังเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงของร่างกายปัจจุบันกับร่างกายดั้งเดิมจนสมบูรณ์ไม่ได้ โอกาสที่จะกระตุ้นใช้ทักษะแทบจะเป็นศูนย์เลย
เมื่อทักษะพิเศษใช้ไม่ได้ เดวิดก็เริ่มขุดดินด้วยดาบนาโนเล่มหนึ่ง เมื่อมันมีขนาดและความลึกที่มากพอแล้ว เขาก็เริ่มนำทรัพย์สินของตัวเองบรรจุลงไปในหลุมอย่างระมัดระวัง เลือกเก็บเฉพาะของที่จำเป็นติดตัวเอาไว้ พยายามจัดการให้กระเป๋าเป้นั้นมีที่ว่างเหลืออยู่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หลังจากฝังทุกอย่างลงไป และกลบเกลื่อนร่องรอยอย่างระมัดระวังจนเรียบร้อย เขาก็ลุกขึ้นยืน ตอนนี้เดวิดพร้อมแล้วที่จะไปทำภารกิจทดสอบตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก
ก่อนที่จะจากไป หูของเขากระดิกขึ้นมาเล็กน้อยเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง มันทำให้ต้องหันกลับไปมองยังตำแหน่งที่เพิ่งฝังทรัพย์สินเอาไว้อีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่ามันจะไม่ถูกค้นพบง่าย ๆ อย่างแน่นอน เดวิดก็กระตุ้นใช้ทักษะลูกเตะพายุหมุนเพื่อออกจากที่นี่ไปอย่างไร้ร่องรอย และปรากฏตัวหยุดยืนห่างจากจุดเดิมออกไปประมาณ 500 เมตร สายตากวาดมองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังรออะไรอยู่
ภายในเวลาไม่ถึง 1 นาทีต่อจากนั้น พุ่มไม้ก็ไหวตัวเบา ๆ ราวกับถูกสายลมพัดเข้าใส่ ร่างของคน 7 คนเริ่มปรากฏกายออกมาให้เห็น พวกเขากำลังเคลื่อนที่อย่างเงียบกริบด้วยความเร็วสูง ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะต้องชะงักตัวลงอย่างฉับพลัน เพราะเห็นใครคนหนึ่งยืนพิงต้นไม้อยู่ตรงหน้าอย่างสบายใจ
และนั่นคือเป้าหมายที่พวกเข้ากำลังไล่ตาม เด็กหนุ่มที่ชื่อเดวิดคนนั้น…