ตอนที่แล้วตอนที่ 641 พลังดนตรี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 643 ตามหาบุชเชอร์

ตอนที่ 642 อีเธอเรียลวอยซ์


ตอนที่ 642 อีเธอเรียลวอยซ์

เซี่ยเฟยกลับมาที่ห้องทำงานด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ส่วนทางด้านโอโร่ที่นอนอยู่ในโลงศพน้ำแข็งก็กำลังจ้องมองไปยังชายหนุ่มด้วยความสงสัย

เมื่อกลับมายังดินแดนลับของหุ่นยนต์ เซี่ยเฟยก็ไม่จำเป็นจะต้องซ่อนตัวโอโร่อีกต่อไป เพราะพวกหุ่นยนต์ต่างก็ล้วนแล้วแต่ปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่เซี่ยเฟยสั่งห้ามไม่ให้พวกหุ่นยนต์เข้าไปในห้องทำงานของเขา มันก็ไม่มีหุ่นยนต์ตัวใดเข้ามาพบโอโร่อย่างแน่นอน

“อารมณ์ดีเรื่องอะไรมาล่ะ?” โอโร่กล่าวถาม

“เสียงของแอวริลเพราะมากจนทำให้แม้แต่พวกหุ่นยนต์ก็ยังหลงใหลดนตรี นี่มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่มีขอบเขตจริง ๆ ขนาดที่สิ่งมีชีวิตเทียมอย่างหุ่นยนต์ก็ยังไม่สามารถที่จะต้านทานความหลงใหลในดนตรีได้”

“ผมคิดว่าหลังจากนี้ถ้าผมได้ฟังเสียงของเธอทุกวัน ผมก็คงจะมีความสุขราวกับผมได้อยู่ในสวนสวรรค์ทุกวันแน่ ๆ เลย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม โดยในใจของเขายังคงจดจำภาพที่แอวริลร้องเพลงอย่างไพเราะไม่รู้ลืม

“พลังพิเศษของแอวริลคืออีเธอเรียลวอยซ์ ซึ่งเป็นพลังเกี่ยวกับเสียงที่แข็งแกร่งที่สุด แต่พวกนายให้เธอใช้พลังแบบนี้มาร้องเพลงเนี่ยนะ?!”

อีเธอเรียลวอยซ์เป็นพลังเสียงที่มีพลังอำนาจทะลุทะลวงมากที่สุดและลึกลับมากที่สุดในพลังเกี่ยวกับเสียงทั้งหมด ภายใต้เสียงที่ไพเราะนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้เป้าหมายหลงมัวเมาไปกับเสียงเท่านั้น แต่มันยังสามารถสร้างภาพลวงตาขึ้นมาให้กับคู่ต่อสู้ได้อีกด้วย

“นี่คือพลังพิเศษที่สามารถสังหารสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นได้โดยไร้ร่องรอย มันคือพลังพิเศษที่งดงามและร้ายกาจมากกว่าพลังความเร็วของนายมาก” โอโร่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

พลังเป็นดาบสองคมอยู่เสมอขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ของผู้ครอบครองพลังนั้น ยกตัวอย่างเช่น พลังความเร็วของเซี่ยเฟยที่ถ้าหากว่าเขาเป็นนักกีฬาแข่งขันกรีฑา พลังพิเศษของเขาก็จะไม่มีความอันตรายใด ๆ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาได้ใช้พลังพิเศษนี้ในการสังหาร มันก็จะทำให้เขาได้กลายเป็นนักฆ่าที่ศัตรูไม่สามารถติดตามความเร็วของเขาได้

การเลือกเส้นทางการพัฒนาที่แตกต่างกันย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และในฐานะที่โอโร่คืออดีตจอมมารที่มีชีวิตอยู่มานาน เขาจึงค้นพบความลับในพลังของแอวริลมาตั้งนานแล้ว แต่ถึงแม้ว่าเขาจะได้อธิบายพลังนี้ให้เซี่ยเฟยไป แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่คิดที่จะนำความลับเรื่องนี้ไปบอกแอวริลเลยแม้แต่นิดเดียว

ปัจจุบันมีเพียงเซี่ยเฟย, โอโร่และอันธเท่านั้นที่รู้ว่าพลังพิเศษที่แท้จริงของหญิงสาวคืออะไร ส่วนเจ้าของพลังอย่างแอวริลก็ได้แต่คิดว่าพลังพิเศษของเธอมีเอาไว้สำหรับการร้องเพลงเท่านั้น

“ฉันเคยบอกไปแล้วไงว่าฉันไม่อยากเห็นแอวริลต้องไปสู้รบปรบมือกับคนอื่น” เซี่ยเฟยกล่าว

“มันมีเรื่องหลาย ๆ เรื่องที่ต่อให้นายไม่อยากให้มันเกิดแต่มันก็จะเกิด วันหนึ่งอันตรายก็คงจะเข้ามาหาเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่านายมันคือแม่เหล็กดูดปัญหา”

“ทำไมนายถึงไม่สอนให้เธอมีพลังมากพอที่จะปกป้องตัวเอง ถึงยังไงพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเธอก็เปิดกว้างถึง 81% ซึ่งมันมากเพียงพอที่จะทำให้เธอกลายเป็นนักรบชั้นยอด”

“เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอคุ้นชินกับพลังของตัวเอง เธอก็จะกลายเป็นผู้ช่วยชั้นดีที่พร้อมจะติดตามนายไปทั่วทุกที่ในจักรวาล” โอโร่พยายามให้เหตุผลว่าเขาควรจะฝึกฝนพลังของแอวริลเอาไว้

“ไม่ว่าจะยังไงการสังหารก็เป็นเรื่องที่โหดร้ายเสมอ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ช่างมันเถอะ เรามารีบจัดการเรื่องการฝึกกฎแห่งชีวิตให้สมบูรณ์ดีกว่า” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ

ในความเป็นจริงความคิดของเซี่ยเฟยก็ค่อนข้างที่จะปกติ เพราะมันไม่มีใครอยากจะให้ผู้หญิงของตัวเองออกไปต่อสู้ในสนามรบหรอก เพียงแต่โอโร่มาจากเผ่าพันธุ์ไลอ้อนฮาร์ท ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์นักรบตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย, ผู้หญิง, เด็กหรือคนแก่ต่างก็ล้วนแล้วแต่จะต้องออกไปต่อสู้ในสนามรบด้วยกันทั้งหมด

เรื่องยุ่ง ๆ ยังคงดำเนินต่อไปโดยเซี่ยเฟยกับโอโร่ได้ใช้เวลาในห้องมากกว่า 2 วันในการช่วยกันคิดวิธีการฝึกกฎแห่งชีวิตให้เหมาะสมสำหรับแอวริล เพื่อที่เธอจะสามารถมีอายุขัยที่อยู่นานขึ้นกว่าเดิม

พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของแอวริลเพิ่งจะเปิดขึ้นมาเพียงแค่ไม่กี่วัน เซี่ยเฟยจึงพยายามคิดวิธีการฝึกฝนกฎให้เรียบง่ายมากที่สุด และแน่นอนว่าเรื่องนี้มันย่อมสร้างภาระหนักให้กับเขามากพอสมควร

ปัจจุบันชายหนุ่มมีระดับพลังที่ค่อนข้างจะสูงมากอยู่แล้ว ซึ่งถ้าหากว่าเขาไม่ถูกใครสังหารอายุขัยของเขาย่อมเกินกว่า 500 ปีอย่างแน่นอน แต่ในกรณีของแอวริลเป็นเรื่องที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะถ้าหากว่าเธอไม่ได้ฝึกฝนกฎแห่งชีวิต อย่างมากที่สุดเธอก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 200 ปี

เซี่ยเฟยรักแอวริลมาก แล้วถ้าหากว่าเขาต้องการจะอยู่กับเธอตลอดไป เขาก็จำเป็นจะต้องเพิ่มอายุขัยของเธอให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันกับเขา ชายหนุ่มจึงคิดถึงกฎแห่งชีวิตเป็นตัวเลือกแรก เพราะมันคือกฎที่สามารถเพิ่มอายุขัยให้กับสิ่งมีชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงวางแผนที่จะเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ให้กับหญิงสาว เพื่อให้เธอเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกฝนกฎแห่งชีวิตต่อไป

แม้ว่าโอโร่จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่เซี่ยเฟยพยายามดูแลแอวริลอย่างประคบประหงมแบบนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ เพราะท้ายที่สุดในปัจจุบันเขายังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเซี่ยเฟย เขาจึงทำได้เพียงแต่ทำตามความประสงค์ของชายหนุ่มไป แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียดายพรสวรรค์ของแอวริลมากแค่ไหนก็ตาม

“คุณแน่ใจนะว่าแบบฝึกนี้มันใช้การได้?” เซี่ยเฟยถาม

“นี่นายคิดว่าฉันเป็นใคร? ไม่ต้องห่วงแบบฝึกนี้เหมาะสมกับแอวริลแน่นอน อย่างไรก็ตามแบบฝึกนี้มันราบเรียบมากเกินไป มันไม่เหมาะสมกับนายที่มีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว” โอโร่กล่าว

“ฉันไม่คิดจะเรียนกฎแห่งชีวิตอยู่แล้ว” เซี่ยเฟยกล่าว

“ทำไม? นี่นายกำลังดูถูกกฎหลักของเผ่ามารงั้นเหรอ?!” โอโร่กล่าวถามอย่างหงุดหงิด

“ที่คุณกลายเป็นอมตะนั่นก็เพราะว่าคุณฝึกฝนกฎแห่งชีวิตใช่ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม

“ถ้าฉันใช้กฎแห่งชีวิตเพื่อเป็นอมตะแล้วมันจะทำไม?” โอโร่กล่าวอย่างเย็นชา

“ผมมาลอง ๆ คิดดูแล้ว ถึงแม้กฎแห่งชีวิตจะดีแต่ผมก็อยากจะพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อให้เป็นอมตะมากกว่า ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะไม่เรียนรู้กฎแห่งชีวิต” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

คำตอบของเซี่ยเฟยทำให้โอโร่ชะงักไปเล็กน้อย ซึ่งน้ำเสียงอันหนักแน่นที่ชายหนุ่มได้แสดงออกมา มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะกลายเป็นอมตะด้วยพลังของตัวเองมากแค่ไหน

ความกล้าหาญเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชื่นชม และสิ่งที่ทำให้โอโร่รู้สึกชื่นชมมากกว่านั้นคือทัศนคติที่สามารถต่อต้านต่อสิ่งล่อตาล่อใจ

กฎแห่งชีวิตเปรียบเสมือนกับทางลัดที่จะนำไปสู่ความเป็นอมตะ และมันก็ช่วยให้ผู้ฝึกสามารถก้าวข้ามความยากลำบากและอุปสรรคไปได้อย่างมากมาย แต่ถึงแม้ว่าถนนเส้นนี้จะเรียบง่ายแต่มันก็จะทำให้ผู้ฝึกพลาดชื่นชมวิวทิวทัศน์ข้างทางที่สวยงาม แต่มันก็ยังคงมีคนเป็นจำนวนมากยินดีที่จะเลือกใช้ทางลัดสายนี้อยู่ดี

ในทางกลับกันเซี่ยเฟยเต็มใจที่จะเลือกเส้นทางอันยากลำบาก และถึงแม้ว่าเส้นทางนั้นจะเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย แต่ในระหว่างทางมันก็มีวิวทิวทัศน์อันยอดเยี่ยมรอคอยเขาอยู่ทางด้านหน้า

แม้ว่าทางเลือกนี้ดูคล้ายจะเป็นทางเลือกของคนโง่ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกลับเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด เพราะไม่ว่ายังไงนักรบที่เติบโตในสงครามย่อมมีประสบการณ์มากกว่านักรบที่อาศัยอยู่เพียงแต่ในเมือง ดังนั้นถึงแม้เส้นทางสายนี้จะยากลำบากแต่จุดหมายปลายทางมันย่อมนำพาเซี่ยเฟยขึ้นไปยังจุดที่สูงกว่าเส้นทางลัดอย่างแน่นอน

เซี่ยเฟยทบทวนแผนการฝึกฝนของแอวริลอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะบันทึกแผนทั้งหมดลงในไมโครคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องไปด้วยความตื่นเต้น

“สักวันนายจะต้องขอบคุณฉันที่ฉันเลือกทำแบบนี้” โอโร่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ หลังจากที่เซี่ยเฟยเดินออกจากห้องไป

เมื่อเซี่ยเฟยนำแผนการฝึกฝนมาให้กับแอวริล หญิงสาวก็ไม่ได้ถามเขาด้วยซ้ำว่านี่คือการฝึกฝนไปเพื่ออะไร เพราะท้ายที่สุดเซี่ยเฟยก็คือคนที่เธอเชื่อใจมากที่สุด และถึงแม้ว่าคนทั้งโลกจะทอดทิ้งเธอแต่ชายหนุ่มคนนี้จะไม่มีวันทอดทิ้งเธออย่างเด็ดขาด

สุภาษิตโบราณเคยกล่าวเอาไว้ว่าความรักมักจะทำให้คนตาบอด แต่โชคดีที่คนที่แอวริลหลงรักคือเซี่ยเฟย และข้อเท็จจริงในอดีตก็เคยพิสูจน์มาเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ว่าการเลือกเซี่ยเฟยเป็นคู่ครองของเธอนั้นคือการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดในชีวิตของเธอแล้ว

การใช้ชีวิตภายในเมืองของหุ่นยนต์ค่อนข้างที่จะเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ และถึงแม้ว่าพวกหุ่นยนต์จะพยายามทำให้เซี่ยเฟยกับแอวริลรู้สึกเหมือนกับพวกเขากำลังอยู่บ้าน แต่สถานที่แห่งนี้มันก็ยังคงแตกต่างจากพันธมิตรที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอยู่ดี

ในทุก ๆ วันเซี่ยเฟยกับแอวริลจะเข้าไปในห้องฝึกพร้อมกัน แต่เวลาการฝึกของแอวริลถูกจำกัดเอาไว้เพียงแค่วันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดเธอก็เป็นเพียงแค่มือใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มต้นได้เพียงแค่ไม่นาน ชายหนุ่มจึงอยากจะให้หญิงสาวค่อย ๆ ฝึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

แต่ในกรณีของเซี่ยเฟยแล้วเขาเป็นเหมือนกับคนบ้าที่อยู่ในห้องฝึกถึงวันละ 16 ชั่วโมง ซึ่งในความเป็นจริงเขาก็สามารถที่จะฝึกฝนอย่างต่อเนื่องนานถึง 7 วัน 7 คืนได้โดยไม่มีปัญหาด้วยซ้ำ

“ใกล้แล้ว! ตราบใดก็ตามที่นายเพิ่มพลังของกฎแห่งความโกลาหลเป็นขั้นที่ 3 ได้ มันก็จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการต่อสู้ของนายได้เป็นอย่างมาก” อันธกล่าวอย่างตื่นเต้น

“ถึงแม้ว่ามันจะใกล้แต่ฉันก็ยังไม่สามารถถักทออักขระขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์อยู่ดี ดูเหมือนว่าครั้งนี้มันจะไม่ใช่ปัญหาเรื่องพลังงานแต่น่าจะเป็นปัญหาเรื่องความเข้าใจ” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างจริงจัง ขณะที่ทั่วทั้งร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ

“มันมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?” อันธถามด้วยความสงสัย

“มันเหมือนกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นฉันอยู่ ฉันว่าฉันค่อย ๆ ฝ่าฟันอุปสรรคนี้ไปอย่างช้า ๆ จะดีกว่า” เซี่ยเฟยกล่าว

“เอาล่ะตอนนี้ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ฉันขอออกไปหาอะไรกินกับแอวริลก่อน” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เขาตรวจสอบเวลา

แม้ว่าการดูดซับพลังงานจากคริสตัลต้นกำเนิดจะเพียงพอให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีปัญหา แต่เซี่ยเฟยกับแอวริลก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับการทานอาหารร่วมกัน ซึ่งในระหว่างมื้ออาหารนั้นพวกเขาก็จะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างวันต่อกันด้วย

ระหว่างมื้ออาหารทั้งเซี่ยเฟยกับแอวริลต่างก็พูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข กระป๋องที่คอยให้บริการมนุษย์ทั้งสองก็มีความสุขเช่นเดียวกัน แต่ในทันใดนั้นมอร์โรว์ก็เดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความกังวล

“ฉันถอดอุปกรณ์ติดตามบนชุดเกราะชาร์ปเลสออกไปแล้ว คุณสามารถใช้งานมันอีกครั้งได้เลย แต่ชุดเกราะซิลเวอร์เดสเซิร์ดได้รับความเสียหายมากจนเกินไป ฉันเลยกำลังคิดจะใช้โลหะเหลวพวกนี้เพื่อสร้างอย่างอื่นขึ้นมาใหม่แทน” มอร์โรว์กล่าว

เซี่ยเฟยพยักหน้ารับโดยไม่ได้รู้สึกเสียดายมากนัก เพราะในปัจจุบันชุดเกราะชาร์ปเลสคือชุดป้องกันที่ดีที่สุดของเขา แต่ในกรณีของชุดเกราะโลหะเหลวมันก็ไม่ค่อยจะมีประโยชน์ต่อเขาเท่าไหร่แล้ว การนำชิ้นส่วนของมันไปผลิตอุปกรณ์อย่างอื่นจึงน่าจะมีประโยชน์มากกว่า

“ว่าแต่นายกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่งั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม

“มันมีเรื่องบางอย่างที่ฉันไม่รู้ว่าควรจะบอกคุณดีหรือเปล่า” มอร์โรว์กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

“บอกมาเลย” เซี่ยเฟยกล่าว

“ทีมสำรวจของบุชเชอร์ได้ส่งข่าวมาอีกครั้ง แต่…”

***************

เอาแล้ว อยู่สงบนานเกินไปต้องมีเรื่องแน่ๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด