ตอนที่ 641 พลังดนตรี
ตอนที่ 641 พลังดนตรี
ชื่อรหัสของน้ำยาปรับสภาพยีนตัวใหม่ที่เซี่ยเฟยได้ร่วมคิดค้นกับแฮร์ริสคือเซราฟิม ซึ่งมันเป็นน้ำยาปรับสภาพยีนที่มีโอกาสเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้เกือบจะ 100% ที่สำคัญคือมันเป็นน้ำยาที่ปราศจากผลข้างเคียงโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่าน้ำยาชนิดนี้ถูกนำไปผลิตเป็นจำนวนมากมันก็คงจะทำให้ทั่วทั้งพันธมิตรต้องสั่นสะเทือน
หลังจากการทดสอบกับมนุษย์เสร็จสิ้น ชาร์ลีก็ได้ทำการส่งน้ำยาเซราฟิมมาทั้งหมด 100 ขวด ซึ่งเซี่ยเฟยก็ได้เลือกน้ำยาขวดที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดให้กับแอวริล แล้วปล่อยขวดน้ำยาอีก 99 ขวดวางอยู่เฉย ๆ บนโต๊ะ
แม้ว่าผลการทดสอบกับมนุษย์จะแสดงให้เห็นว่าเซราฟิมไม่มีผลข้างเคียง และมีโอกาสที่จะเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้เกือบ 100% แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังคงรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย
แน่นอนว่าผู้ที่กำลังจะดื่มน้ำยาอย่างแอวริลก็กำลังรู้สึกกังวลอยู่เช่นกัน แต่เธอก็พยายามทำตัวสงบให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้เซี่ยเฟยรู้สึกกังวลไปมากกว่านี้
หลังจากดื่มน้ำยาเข้าไปแล้วแอวริลก็ค่อย ๆ นอนหลับไป ขณะที่น้ำยาเซราฟิมทำหน้าที่เปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเธอในระหว่างที่เธอไม่รู้ตัว
ผลของน้ำยาชนิดนี้แตกต่างจากน้ำยาหยกม่วงที่เซี่ยเฟยเคยดื่มในอดีตอย่างสิ้นเชิง เพราะถึงแม้ว่าน้ำยาชนิดนั้นจะสามารถทำให้ชายหนุ่มเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ออกมาได้ 100% แต่มันก็ทำให้พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเช่นเดียวกัน และการที่เขาเอาชีวิตรอดกลับมาได้มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปาฏิหาริย์มากแล้ว
ในทางกลับกันผลของน้ำยาเซราฟิมกลับค่อย ๆ เปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของแอวริลอย่างช้า ๆ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้กินเวลา 24 ชั่วโมงเต็ม ๆ โดยในระหว่างนั้นแอวริลยังคงนอนหลับอย่างสงบโดยไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ ภายใต้เครื่องวัดสัญญาณหลายสิบเครื่องที่คอยตรวจสอบร่างกายของเธออย่างใกล้ชิด
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ผลการทดสอบกับมนุษย์ก็ให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างดี นอกจากนี้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นี่ก็เป็นอุปกรณ์ที่ทันสมัยมาก มันไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรอก” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเงียบ ๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงรู้สึกกังวลเล็กน้อยอยู่ดี และเขาก็คอยยืนอยู่ข้าง ๆ แอวริลโดยไม่จากไปไหน
“นายเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าหากนายส่งน้ำยาเซราฟิมลงตลาด มันจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมากแค่ไหน?” อันธกล่าวถาม
“ฉันไม่คิดจะปล่อยเซราฟิมลงตลาดอยู่แล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวตอบพร้อมกับส่ายหัว
“ทำไมล่ะ? ยาตัวนี้มันสมบูรณ์แบบมากเลยนะ ไม่ว่าใคร ๆ ก็น่าจะรู้ว่ามันจะต้องสร้างผลกำไรให้กับนายได้อย่างมหาศาล”
“นายไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไมทุกเผ่าพันธุ์ที่พยายามเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 อย่างเต็มที่จึงถูกทำลายจนพังพินาศโดยไม่มีข้อยกเว้น เช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์ที่พยายามต่อสู้กับดินแดนของผู้ใช้กฎ เรื่องนี้มันจะไม่แปลกจนเกินไปหน่อยเหรอ?”
“ฉันคิดว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่มีตัวตนที่เราไม่รู้จักกำลังพยายามควบคุมจักรวาลแห่งนี้อยู่ ถ้าหากว่าเราปล่อยน้ำยาเซราฟิมออกสู่ตลาด เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คงจะพัฒนาอารยธรรมขึ้นไปจนถึงระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
“ซึ่งเรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ผู้ควบคุมจักรวาลไม่ต้องการ และเมื่อไหร่ก็ตามที่สมดุลย์เริ่มถูกทำลาย ตัวตนพวกนั้นก็คงจะเลือกกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้หายไป” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างจริงจัง
“เรื่องมันจะร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ? ก่อนหน้านี้ในพันธมิตรมันก็มีคนที่สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ตั้งเยอะ แต่ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไรตามมาเลย” อันธกล่าว
“ต่างสิ มันต่างกันมาก ๆ ด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวก่อนที่เขาจะเริ่มอธิบายต่อว่า
“สูตรน้ำยาปรับสภาพยีนที่มีอยู่ในพันธมิตรตอนนี้ยังไม่ใช่สูตรน้ำยาที่สมบูรณ์ และถึงแม้ว่ามันจะมีคนที่สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ขึ้นมาได้เป็นจำนวนมาก แต่ผู้ที่สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้เกินกว่า 70% กลับมีอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน”
“ตามสถิติคนที่สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้เพียงแค่ 1% มีอัตราส่วนถึง 1 ใน 1,000 ด้วยซ้ำ ซึ่งอย่างมากที่สุดผู้ที่สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้เพียงแค่ 1% ก็จะฉลาดขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยและมีอายุไขเพิ่มขึ้นอีกไม่กี่ปี ดังนั้นถึงแม้ว่าในพันธมิตรจะมีผู้ที่สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้อย่างมากมาย แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงถือว่าเป็นเพียงคนธรรมดา”
“หากเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ มนุษย์ยังถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอด้วยซ้ำ นายลองนึกถึงเผ่าพันธุ์ไลอ้อนฮาร์ทเป็นตัวอย่างสิ พวกเขามีทั้งร่างกายที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งตั้งแต่กำเนิด แล้วมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่มีระดับพลังงานเท่ากันจะเอาอะไรไปสู้กับนักรบโดยกำเนิดพวกนั้น”
“แต่ถ้าหากว่าเราปล่อยน้ำยาเซราฟิมลงสู่ตลาด มันก็จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีอัตราการเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 โดยเฉลี่ยเกินกว่า 49% ซึ่งมันเกินกว่าค่าเฉลี่ยเดิมขึ้นมาเยอะมาก และฉันก็คิดว่าแม้แต่ภายในดินแดนกฎก็คงจะมีอัตราการเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ไม่ถึง 49% ด้วยซ้ำ”
“โดยในกระบวนการนั้นมันก็คงจะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีนักรบที่สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ 100% ถือกำเนิดขึ้นมาอีกหลายคน”
“ผลจากการปล่อยน้ำยาเซราฟิมคงจะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายร้อยเท่า และมันก็อาจจะทำให้พันธมิตรมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับดินแดนของผู้ใช้กฎ”
“นายคิดว่าพวกคนในดินแดนกฎจะยอมให้พันธมิตรแข็งแกร่งเทียบเท่ากับพวกเขาไหมล่ะ? พวกเผ่าพันธุ์อื่นในดินแดนกฎจะยอมให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาลจริง ๆ เหรอ?”
อันธถึงกับพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เพราะหลังจากที่เซี่ยเฟยเดินทางเข้าไปในดินแดนกฎด้วยตัวเอง พวกเขาก็ได้รู้แล้วว่าคนในดินแดนนั้นต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่คอยแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง และจะไม่มีวันยอมให้ใครเติบโตเกินหน้าเกินตาของพวกเขาอย่างเด็ดขาด
“นั่นสินะ ถ้าฉันเป็นผู้นำของดินแดนกฎ ฉันก็คงจะไม่รอดูพันธมิตรเติบโตขึ้นมาโดยไม่ทำอะไร น้ำยาเซราฟิมไม่เพียงแต่จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์พัฒนาขึ้นมาจากเดิมเท่านั้น แต่มันก็น่าจะนำพาหายนะมาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วย” อันธกล่าว
โชคดีที่ชาร์ลีกับลุงพอตเตอร์ฉลาดมากพอ เพราะหลังจากที่พวกเขาส่งน้ำยามาที่ดินแดนลับแล้ว น้ำยากับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวยานี้ต่างก็ถูกทำลายหลักฐานทิ้งไปทั้งหมด ทำให้ไม่มีใครสามารถผลิตน้ำยาสูตรนี้ขึ้นมาได้อีกต่อไป
“บางทีในอนาคตฉันก็อาจจะเตรียมน้ำยาปรับสภาพยีนที่เหมาะสมเอาไว้ใช้อย่างลับ ๆ แต่ในตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องคิดถึงเรื่องนั้น”
จักรวาลอันกว้างใหญ่แห่งนี้อันตรายมากจนเกินไป และมันก็มีกับดักที่มองไม่เห็นถูกวางเอาไว้อยู่ทั่วทุกที่ ยกตัวอย่างเช่น เผ่าพันธุ์จักรกลที่เคยรุ่งเรืองก็ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ จนหลงเหลือผู้รอดชีวิตจากเผ่าพันธุ์มาเพียงแค่ 3 คน ส่วนผู้นำของพวกเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ยังไม่มีใครรู้
—
24 ชั่วโมงต่อมาแอวริลก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่งอย่างช้า ๆ ก่อนที่เธอจะขยี้ตาราวกับว่าเธอกำลังตื่นขึ้นมาจากความฝัน
“เธอรู้สึกยังไงบ้าง?” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยความเป็นห่วงขณะที่ช่วยพยุงให้แอวริลลุกขึ้นนั่ง
“ฉันแค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย ตอนแรกฉันคิดว่าการดื่มน้ำยาปรับสภาพยีนจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดซะอีก แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกไม่เป็นอะไรไม่เหมือนกับที่ฉันเคยคิดเอาไว้เลย”
“เธอนอนหลับไป 24 ชั่วโมงเต็ม ๆ เลยนะ เธอจะรู้สึกเวียนหัวบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เดี๋ยวเธอนั่งรอตรงนี้ก่อนนะฉันจะรีบกลับมาโดยเร็วที่สุด” เซี่ยเฟยกล่าว
ใกล้ ๆ กับห้องของแอวริลมีห้องตรวจสอบซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งในปัจจุบันมอร์โรว์ก็กำลังตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียด
“ยินดีด้วย! พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของแอวริลถูกเปิดออกได้ 81.37% ซึ่งมันเป็นความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์มาก” มอร์โรว์กล่าวด้วยรอยยิ้มขณะใช้นิ้วแตะหน้าจอเพื่อแสดงข้อมูลโดยสรุปให้กับเซี่ยเฟย
“โดยรวมแล้วร่างกายของเธอไม่มีอะไรผิดปกติ แค่พักผ่อนสัก 2 วันก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้แล้ว” มอร์โรว์กล่าวเสริม
“ว่าแต่พลังพิเศษของแอวริลคืออะไรงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถาม
“น่าเสียดายที่เธอไม่ได้มีพลังเกี่ยวกับการต่อสู้ แต่มันเป็นพลังพิเศษที่เกี่ยวกับดนตรี” มอร์โรว์กล่าวอย่างผิดหวังเล็กน้อย
“ดนตรีงั้นเหรอ?!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“ทำไมคุณถึงไม่รู้สึกผิดหวังเลย ไม่ใช่ว่าคุณคาดหวังให้แอวริลได้รับพลังเกี่ยวกับการต่อสู้มางั้นเหรอ?” มอร์โรว์ถามอย่างสงสัย
“ฉันอยากให้แอวริลได้พลังต่อสู้มาตอนไหน? การต่อสู้มันเป็นเรื่องของผู้ชายปล่อยให้เธอใช้ชีวิตสบาย ๆ ที่บ้านไปนั่นแหละดีแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สิ่งที่คุณพูดมันดูเหมือนจะสมเหตุสมผล แต่ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี” มอร์โรว์กล่าวอย่างสับสน เพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นหุ่นยนต์ตรรกะความคิดของเขาจึงยังคงตามมนุษย์อย่างชายหนุ่มไม่ทัน
เซี่ยเฟยส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ก่อนที่เขาจะรีบเดินกลับไปหาแอวริล
แต่ไหนแต่ไรแอวริลก็ไม่ใช่คนที่เหมาะสมสำหรับการต่อสู้อยู่แล้ว และเซี่ยเฟยก็ไม่อยากให้หญิงสาวที่ตัวเองรักต้องไปเผชิญหน้ากับการฆ่าฟันเหมือนกับเขาเช่นเดียวกัน
ในความเป็นจริงเขาแค่หวังว่าแอวริลจะได้รับพลังที่เอาไว้ใช้สำหรับการป้องกันตัวเอาไว้บ้าง แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังคงวางแผนที่จะปกป้องผู้หญิงที่เขารักเอาไว้อยู่ดี
ความคิดของเซี่ยเฟยค่อนข้างที่จะคร่ำครึอยู่บ้าง เพราะเขาค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกับสังคมที่ผู้ชายออกไปทำงานนอกบ้าน โดยปล่อยเรื่องภายในบ้านเอาไว้ให้เป็นงานของผู้หญิง
หลังจากรับประทานอาหารกระป๋องก็นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเพื่อแสดงความยินดีกับแอวริล ที่หญิงสาวสามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ ซึ่งความสำเร็จในวันนี้มันก็จะช่วยเพิ่มอายุขัยให้กับเธอได้เป็นอย่างมาก
เมื่อเซี่ยเฟยบอกว่าแอวริลได้รับพลังพิเศษเกี่ยวกับดนตรี หญิงสาวก็รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย เพราะตอนแรกเธอหวังจะได้รับพลังในการต่อสู้เช่นเดียวกับเซี่ยเฟย เธอจะได้มีพลังที่เอาไว้ป้องกันตัวเองได้และชายหนุ่มจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเธอมากเกินไป
แต่เซี่ยเฟยก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่าเขามีความสุขมากที่แอวริลจะได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ก่อนที่เขาจะเริ่มเล่าเรื่องสนุกให้เธอฟัง ท้ายที่สุดหลังจากที่หญิงสาวได้ผ่านประสบการณ์อันโหดร้ายในสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มาแล้ว เซี่ยเฟยก็ไม่อยากให้เธอต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีก
—
2 วันต่อมาเซี่ยเฟยก็ถูกมอร์โรว์ลากเข้าไปภายในห้องที่มืดมิด
“นั่นนายกำลังจะทำอะไร?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย
“อย่าพึ่งถาม เดี๋ยวคุณก็รู้” มอร์โรว์กล่าวอย่างตื่นเต้น
ภายในห้องอันมืดมิดไม่มีแสงสว่างอยู่เลยแม้แต่น้อย เซี่ยเฟยจึงเดินเข้าไปภายในห้องด้วยความสงสัย
“ฉันกำลังยุ่งอยู่มาก หวังว่านายจะมีเหตุผลดี ๆ ที่เอาไว้อธิบายให้ฉันฟังนะ” เซี่ยเฟยกล่าว
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้จะต้องทำให้คุณตื่นเต้นได้แน่นอน”
พรึบ!
ทันใดนั้นไฟในห้องก็เปิดออกเผยให้เห็นเวทีคอนเสิร์ตที่มีหุ่นยนต์เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังนั่งอยู่เคียงข้างกัน และภายในดวงตาของพวกมันก็กำลังเต็มไปด้วยความคาดหวัง
กระป๋องกับขนอุยนั่งอยู่แถวหน้าสุดใกล้กับเวที กระป๋องจึงรีบลุกขึ้นเรียกเซี่ยเฟยเข้ามาเผยให้เห็นว่าขนอุยถูกจับมัดเอาไว้กับเก้าอี้จนทำให้มันแสดงสีหน้าออกมาอย่างสิ้นหวัง
“เจ้านาย คอนเสิร์ตกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!” กระป๋องกล่าวอย่างตื่นเต้น
“คอนเสิร์ต?! คอนเสิร์ตอะไร?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย
พริบตาต่อมาพื้นเวทีก็ค่อย ๆ ยกสูงขึ้นเผยให้เห็นแอวริลที่สวมใส่ชุดกระโปรงสั้นสีชมพูที่กำลังมีท่าทางเขินอายอยู่เล็กน้อย
เมื่อเสียงเพลงอันไพเราะเริ่มดังขึ้นเสียงเชียร์ภายในงานก็ดังขึ้นทันที โดยหุ่นยนต์ทุกตัวต่างก็ล้วนแล้วแต่ลุกขึ้นยืนส่งเสียงเชียร์ไปยังแอวริลอย่างชื่นชม
เซี่ยเฟยค่อย ๆ เปลี่ยนจากความรู้สึกตกใจไปเป็นประหลาดใจ ก่อนที่จะกลายเป็นความประหลาดใจจนถึงขีดสุด
เขาแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองว่าแอวริลจะสามารถส่งผ่านท่วงทำนองของบทเพลงได้จนถึงหัวใจของเขาแบบนี้ จนทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นนกน้อยที่กำลังส่งเสียงร้องอย่างร่าเริงตามคำร้องที่เธอเปล่งออกมา
“นี่มันพลังวิเศษแบบไหนกันเนี่ย!?”
***************
แล้วทุกคนล่ะ? ถ้าเป็นพี่เฟยอยากให้แอวริลได้พลังพิเศษแบบไหน…