ตอนที่ 30 ขอบเขตชำระปราณขั้นสอง
เสี่ยวเฉินเงยหน้าและเห็นชายหนุ่มว่าเป็นศิษย์พี่ที่มีพลังติดอยู่ในขอบเขตชำระกายขั้นเก้ามานานแล้ว
ความกระตือรือร้นขององค์ชายจ้าวกลับมาอีกครั้ง เขาหยิบหม้อที่โยนทิ้งไปและเริ่มเคาะอีก
“หึหึ! ยอดเยี่ยมพี่ชาย! นี่คือโอสถชำระปราณจากห้องโอสถแห่งยอดเขามังกรดำ! พวกข้าเป็นผู้จัดส่งโอสถเอง ยิ่งไปกว่านั้นมันจะรู้สึกเหมือนได้เป็นชายชาตรี…”
ชายหนุ่มกังขา
“ข้าขอดูก่อนได้หรือไม่?”
องค์ชายจ้าววางหม้อไปและแสดงโอสถชำระปราณแก่เขา
“ดูให้ดี! นี่คือการหลอมอันยิ่งใหญ่ของห้องโอสถ! มีตราห้องโอสถประทับไว้ด้วย!”
ชายหนุ่มถือโอสถมาใกล้จมูกและดม เขามิอาจยืนยันได้ว่ามันเป็นของแท้หรือไม่ แต่นี่ทำให้ศิษย์หลายคนต่างเข้ามาดูสินค้าที่น่าจะมาจากห้องโอสถ
“เจ้าบอกว่ามันมาจากห้องโอสถรึ? มันไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงหรอก โอสถจากห้องโอสถจะมาขายที่นี่ได้อย่างไร?”
องค์ชายจ้าวยังคงเคาะหม้อและตะโกนสุดเสียง
“ถามได้ดีพี่ชาย! เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนได้แตะต้องสินค้าคุณภาพจากห้องโอสถ! แต่พวกข้ามีเส้นสายของตัวเองน่ะรู้ไหม…”
จากนั้นเขาก็หรี่ตา
“เอ่อ รู้ไหมว่า เอ่อ…”
องค์ชายจ้าวกลับมาเคาะหม้อต่อและตะโกนต่อไป
“เฮ้ เฮ้เฮ้! เร่เข้ามา! เข้ามาดูกันเร็ว! ซาลาเปาสด ๆ ร้อน ๆ จากห้องโอสถ…โอ๊ะ ไม่ใช่นะ! โอสถต่างหาก!”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“ขายราคาเท่าไหร่รึ?”
องค์ชายจ้าวหยุดตะโกนและตอบ
“พี่ชายไม่ต้องห่วง สินค้าเราคุณภาพสูงสุด แค่สามศิลาจิตเท่านั้น! แล้วก็วันนี้เป็นวันเปิดขายวันแรก พี่ชายจะได้โอสถเสริมพลังหนึ่งเม็ดกับโอสถพลังสามเม็ดเป็นรางวัลที่สนับสนุนด้วย!”
“สามศิลาจิตรึ? นั่นมันแพงไปนะ เจ้าไม่คิดแบบนั้นรึ? ก๊กเขาใต้ขายโอสถสามขวดด้วยศิลาจิตเดียวเท่านั้น”
ทุกคนที่มาล้อมรอบพวกเขาเริ่มพูดคุยกัน พวกเขาต่างกังขาว่าโอสถนั้นเป็นสินค้าจริงจากห้องโอสถหรือไม่ มิเช่นนั้นพวกเขาคงยอมจ่ายได้แม้กระทั่งสิบศิลาจิต
เสี่ยวเฉินยกเท้าเดินและยิ้มให้ชายหนุ่ม
“ศิษย์พี่เอาไปสิ คิดว่าเป็นของขวัญวันเปิดขายของเรา”
องค์ชายจ้าวรีบพูดใส่หูเสี่ยวเฉิน
“นั่นมันสามศิลาจิตเลยนะศิษย์พี่เสี่ยว! เราน่าจะคิดซักหนึ่งศิลาจิตสิ! ไม่จำเป็นต้องให้เปล่าไม่ใช่รึ?”
เสี่ยวเฉินเพียงแค่ยิ้มชอบ ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“เจ้าจะไม่คิดราคากับข้าจริงรึ?”
“แน่นอน เอาไปลองก่อนหนึ่งเม็ดสิ”
เสี่ยวเฉินทำท่าทางต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“ดีจริง ๆ ขอบคุณนะศิษย์น้อง”
ชายหนุ่มเดินไปพร้อมกับโอสถ เขาอยากจะทดลองโอสถที่เขาได้มาโดยไม่เสียอะไรเลย คนอื่น ๆ เองก็เริ่มสลายตัวกันไป
องค์ชายจ้าวขมวดคิ้ว
“เยี่ยมไปเลยศิษย์พี่ นอกจากเราจะขายอะไรไม่ได้ทั้งช่วงเช้าแล้วแต่ศิษย์พี่ยังให้ของเขาไปอีก พอได้แล้วล่ะมั้ง ข้าว่าศิษย์พี่คงไม่เหมาะกับการค้าขายหรอก”
เสี่ยวเฉินทำเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
ในเวลาเที่ยง ทุกคนกินอาหารที่ซื้อมาและเริ่มดื่มกินเพียงแค่น้ำเปล่า จากระยะทางที่นี่ถึงโรงอาหารและเวลาจำกัดในหุบเขาชมนภานั้น หลายคนเลือกที่จะใช้เวลาในหุบเขามากกว่าเดินไปไหนมาไหน
เสียงสดใสดังมาแต่ไกลราวกับเสียงกระดิ่ง มันเป็นเสียงของคนที่ดีอกดีใจ
“หึหึ นายน้อย!”
หลิวรั่วมาพร้อมกับอาหารของเขา
เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วเมื่อเขาเห็นทุกคนมองด้วยความอิจฉา เขากระซิบกับนาง
“ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ล่ะ?”
หลิวรั่วสวมชุดขาวทำให้นางดูโดดเด่น นางรีบวิ่งเหยาะ ๆ อย่างสง่างามมาหาเขา นางยิ้มพูด
“ข้าขออนุญาตผู้เฒ่าอู๋มาแล้ว เขาบอกว่าให้ข้ามาส่งอาหารให้นายน้อยได้”
“งั้นรึ”
เสี่ยวเฉินพยักหน้า หลิวรั่วให้อาหารกับเขา องค์ชายจ้าวมองดูอาหารและน้ำลายสอด้วยความหิวโหย องค์ชายฉีและองค์ชายหยานเองก็กระแอมและท่องอะไรบางอย่างเรียกซาลาเปาที่พวกเขาเก็บไว้ออกมา
คนอื่น ๆ ที่เป็นศิษย์ใหม่รอบตัวพวกเขาเบิกตากว้างด้วยความทึ่ง
“ว้าว! พวกเจ้ารู้วิธีใช้วิชาสายเทพแล้ว!”
องค์ชายจ้าวยินดีกับตัวเอง
“หึ มันก็แค่เรื่องธรรมดา!”
เขาขยับมือและพบว่าตัวเองติดอยู่กลางทาง เขาร้องออกมาด้วยความกลัว
“ตายแล้ว! ข้าติด! เจ้าสองคน! มาช่วยข้าหน่อย!”
“เฮ่อ เจ้าโง่ ให้ข้ากินดี ๆ กันไม่ได้รึ”
พวกเขายัดซาลาเปาเข้าปาก องค์ชายฉีและองค์ชายหยานมาวางฝ่ามือบนหลังของเขาและอัดพลังปราณส่งผ่านไปให้ สุดท้ายองค์ชายจ้าวก็เอาซาลาเปาของเขาออกมาจากสายเทพได้
เหล่าองค์ชายมองดูซาลาเปาแห้งเฉาที่ไร้ความนุ่มสด องค์ชายจ้าวได้แต่มองมื้อกลางวันของเสี่ยวเฉินที่น่าอร่อยพลางกลืนน้ำลาย เขาหัวเราะเบา ๆ
“เอ่อ ศิษย์พี่เสี่ยว…ซาลาเปาข้าเย็นแข็งขนาดนี้ มันกินยากน่ะ ข้ายืมของพี่มาอุ่นหน่อยได้ไหม?”
เสี่ยวเฉินส่ายหน้าเบา ๆ เขาหยิบน่องไก่สามน่องจากรถเข็นและยิ้มยื่นให้ทั้งสามคน
ยามบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสี่ยวเฉินไม่ได้บอกให้สามองค์ชายเร่ขายโอสถไปหลังจากมื้อกลางวัน ที่บ้านเขาตอนกลางคืน เขาได้หลอมโอสถต่ออีกรอบ เช้าวันต่อมาเมื่อกลับมายังหุบเขาชมนภาแล้วพวกเขาก็พบว่าทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย
“ในที่สุดข้าก็เป็นขอบเขตชำระปราณขั้นหนึ่งแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ชายหนุ่มคนที่ได้รับโอสถไปเมื่อวานโดยไม่คิดเงินจากเสี่ยวเฉินนั้นเต้นไปมาด้วยความร่าเริงท่ามกลางสีหน้าสงสัยใคร่รู้ของคนโดยรอบ
เมื่อเห็นเสี่ยวเฉินมาถึง คนมากกว่าสิบคนก็รีบมาล้อมเขา
“เจ้ายังมีโอสถชำระปราณเมื่อวานอีกไหม? ข้าอยากได้สิบเม็ด!”
“ข้าด้วย! ข้าเอาสิบเม็ดเหมือนกัน!”
“สิบเรอะ! คิดว่าเจ้าซื้อผักในตลาดรึไง!”
องค์ชายจ้าวหายใจเข้าลึกและเริ่มตะโกน
“เข้ามา เข้ามา เร่เข้ามา! โอสถใหม่จากเตาห้องโอสถ! เม็ดละห้าศิลาจิต!”
“ห้าเรอะ? ข้าคิดว่าเจ้าขายสามศิลาจิตซะอีก?”
“เมื่อวานรึ? เมื่อวานมันลดราคาเปิดร้าน ตอนนี้มันราคาห้าศิลาจิตแล้ว เรามีมาขายแค่สามเม็ด ใครมาก่อนได้ก่อน!”
องค์ชายจ้าวตะโกนต่อไปสุดเสียง
“ข้าอยากได้!”
“ข้าเหมา! ไม่มีใครจะได้ไปหรอก!”
“จริงรึที่เจ้ามีสามเม็ด? ขอข้าเม็ดนึงสิ! ข้าซื้อสิบศิลาจิตเลยนะ!”
ถ้าเป็นเช่นนี้เสี่ยวเฉินจะกลับบ้านมาพร้อมกับศิลาจิตหลายสิบก้อน เขาถือขวดหยกอีกสองขวด องค์ชายจ้าวตะโกนต่อไป
“เรามีโอสถเสริมพลังกับโอสถพลังด้วย! มาจากห้องโอสถเหมือนกัน! เร่เข้ามาเร็ว! พวกเราลดราคาแค่วันนี้! อีกสามวันจะไม่มีแล้ว!”
เป็นเช่นนี้เอง ในสองสามวันต่อมา เสี่ยวเฉินได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในยอดเขาตะวันลับ หลายสิบคนมารอที่ทางเข้าหุบเขาชมนภาในตอนเช้าเพื่อรอโอสถชำระปราณ แม้ว่าเอาจะมีโอสถเสริมพลังและโอสถพลังมาขายด้วย แต่การขายโอสถสองอย่างหลังนี้เทียบไม่ได้เลยกับการขายโอสถชำระปราณ
ไม่นานทุกคนในยอดเขาตะวันลับรวมถึงก๊กเขาใต้และก๊กเขาเหนือก็ได้รู้ว่ามีศิษย์ใหม่กำลังขายโอสถจากห้องโอสถ เสี่ยวเฉินเองก็ให้โอสถพลังกับโอสถเสริมพลังกับศิษย์ใหม่ร่วมนิกาย ทำให้เขาได้นับการนับถือและมิตรภาพกับหลายคนที่เริ่มมองเขาเป็นผู้นำ
ทุกวันหลิวรั่วจะมาส่งอาหารไม่เคยขาย
ณ สถานที่แห่งหนึ่งในอาณาเขตของก๊กเขาใต้ ชายหนุ่มสองสามคนกำลังสาปแช่ง
“บัดซบ! โอสถแหล่งใหม่โผล่มาจากไหนกัน? โอสถของพวกเราขายไม่ได้เลย! เราจะบอกพี่เย่ยังไงล่ะ!”
“แล้วเราจะทำอะไรได้? ไม่มีกฎห้ามขายโอสถนี่! แบบนี้แย่แน่! พวกมันขายถูกจนทุกคนไปหามันหมด!”
ยามพลบค่ำ เสี่ยวเฉินกับสามองค์ชายเริ่มกลับ แต่ในตอนนี้มีศิลาจิตมากพอที่จะเพิ่มพลังแล้ว เขาจะต้องหาทางเพิ่มพลังเป็นขอบเขตชำระปราณขั้นสองโดยเร็วทีสุด
สามองค์ชายที่เดินตามหลังเขานั้นพูดคุยกันอย่างมีความสุข องค์ชายจ้าวเรียกเขาอย่างร่าเริง
“พวกข้าขอโสอถชำระปราณเม็ดนึงได้ไหมศิษย์พี่? พวกข้าเองก็อยากจะเป็นขอบเขตชำระปราณเร็ว ๆ เหมือนกัน!”
“ไม่ได้”
เสี่ยวเฉินตอบไปแบบนั้น เขาทำหน้าจริงจังและพูดกับพวกเขา
“เจ้าจะกินโอสถเสริมพลังหรือโอสถพลังก็ได้ กินได้มากเท่าที่เจ้าต้องการ แต่อย่ากินโอสถชำระปราณ แม้จะสักเม็ดเดียว”
องค์ชายจ้าวตอบด้วยความเศร้า
“อย่าขี้เหนียวไปเลยศิษย์พี่ เรารู้นะว่าโอสถชำระปราณมันไม่ถูก เอาแบบนี้ไหม…”
“ไม่”
เสี่ยวเฉินส่ายหน้า
“มีพลังที่เจ้าควรจะต้องสำเร็จโดยการฝึกฝนบ่มเพาะด้วยตัวเอง จะดีที่สุดถ้าเจ้าไม่ใช้สิ่งภายนอกมาช่วยตั้งแต่แรกเริ่ม เจ้าจะเสียใจในวันหนึ่งถ้าเจ้าเพิ่มพลังของตัวเองโดยใช้โอสถ”
องค์ชายจ้าวตั้งใจฟังและพยักหน้า
“โอ้…ศิษย์พี่มีเหตุผล แต่ข้าก็อยากจะลองซักเม็ดอยู่ดี…”
นี่คือปริศนาที่ผู้บ่มเพาะพลังทุกคนต้องเจอ หลายคนนั้นรู้ดีถึงผลที่ตามมาของการใช้โอสถอย่างโอสถชำระปราณในการเพิ่มพลัง แต่มีไม่กี่คนนักที่จะอดทนต่อความยั่วยวนของการไต่พลังอย่างรวดเร็วได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ไปถึงระดับสูงได้ด้วยตัวเองในวิถีเซียน ดังนั้นโอสถที่จะมอบพลังได้ในทันทีจึงมักจะถูกขายได้อย่างรวดเร็วท่ามกลางโอสถทั้งหมด
เสี่ยวเฉินส่ายหน้าอีกครั้ง
“เอาเถอะ ข้าให้โอสถชำระปราณกับพวกเจ้าก็ได้ แต่ข้าขอเตือน เจ้าควรจะไปถึงขอบเขตชำระปราณด้วยพลังของตัวเอง ไม่ใช่ความช่วยเหลือจากสิ่งอื่น โดยเฉพาะเมื่อเจ้าทำด้วยตัวเองได้ จงจำเอาไว้”
เขามองโอสถชำระปราณสามเม็ดที่บังเอิญเป็นโอสถที่ดีที่สุดที่เขาหลอมมาและยื่นให้พวกเขา
“อีกหนึ่งเรื่อง ข้าจะลองบรรลุขอบเขตชำระปราณขั้นสองในอีกไม่ช้า ข้าจะไม่ไปที่หุบเขาชมนภากับเจ้าในวันพรุ่งนี้”
เขาพูดจบและเดินกลับบ้านทันที
แม้ว่าเขาในตอนนี้จะมีศิลาจิตเป็นจำนวนมาก เขาก็ยังต้องสะสมพลังด้วยตัวเขาเองอยู่ดี ในคืนนั้น เขาใช้ศิลาจิตไปเกือบสามสิบก้อน
จากนั้นเขาจึงทำสมาธิต่อไปในสวน เขานั่งนอกบ้านและเปิดเส้นปราณทั้งหมดในร่างกาย เมื่อถึงเวลาเที่ยง มีแสงขาวสองแสงสว่างเหนือไหล่ทั้งซ้ายและขวาของเขา แสงนั้นกระจายไปถึงท้องฟ้า
ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงพลังที่เอ่อล้นในร่างกาย แม้จะเป็นขอบเขตชำระปราณขั้นหนึ่งที่อีกก้าวเดียวจะเป็นขั้นสอง แต่ความต่างระหว่างสองขั้นนั้นถือว่ามาก
เขาซัดหินก้อนใหญ่ยักษ์ด้วยฝ่ามือ ฝ่ามือเขาซัดหินไกลออกไปนับร้อยศอกก่อนจะระเบิดที่กลางอากาศกลายเป็นผุยผง
“ในที่สุด…ขอบเขตชำระปราณขั้นสอง…”
หลิวรั่วมิได้รบกวนเขาเมื่อเห็นว่าเขากำลังใช้สมาธิอย่างลึกล้ำ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาแล้วนางจึงรีบออกมาพูดด้วยความสุข
“ยินดีด้วยนะนายน้อย!”
เสี่ยวเฉินยิ้มเบา ๆ ให้นาง เขารู้สึกถึงฝีเท้าที่รัวมาจากด้านนอก สองคนมาที่บ้านของเขา หนึ่งในนั้นคือหวังเยี่ยที่เคยนั่งโต๊ะเดียวกับเขาระหว่างเรียน ส่วนอีกคนที่สาวน้อยที่อายุพอกัน
เสี่ยวเฉินเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อสังเกตเห็นความรีบร้อนของพวกนาง
“มีอะไรให้ข้าช่วยรึศิษย์น้อง?”
“ยะ แย่…แย่แล้ว!”
หวังเยี่ยหอบอย่างหนักจนแทบพูดไม่เป็นภาษา สาวน้อยที่มากับนางพูดขึ้นมาด้วย
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ที่หุบเขาชมนภา!”