บทที่ 92 โบราณคดีทำลายชีวิตคน
ทันทีที่เขาเห็นสัญลักษณ์พิเศษนี้ ซืออวี๋ก็ทำการเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ความรู้สึกของเขาซับซ้อนมากเป็นพิเศษ
ในขณะนี้ เขาเริ่มสงสัยว่าการข้ามโลกของเขาไม่ใช่อุบัติเหตุแล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ซืออวี๋รู้สึกซับซ้อนที่สุดไม่ใช่เรื่องยุ่งเหยิงเหล่านี้
แต่กลับเป็นความจริงที่ไม่ว่าชีวิตก่อนหรือชีวิตในปัจจุบันของเขา เขาก็ไม่รู้ว่าสัญลักษณ์นี้หมายถึงอะไร…
ซืออวี๋คิดกับตัวเองว่านี่เป็นกับดัก หากสัญลักษณ์นี้เปลี่ยนเป็นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่นได้ นั่นคงเป็นระเบิดอันรุนแรง น่าเสียดายที่ทำไม่ได้
ดังนั้นในตอนนี้ซืออวี๋จึงไม่รู้สึกโหยหาหรือคุ้นเคยเลย
นอกจากนี้ เขายังไม่รู้แน่ชัดว่าสัญลักษณ์นี้มาจาก ‘โลก’ หรือโลกใบนี้
ซืออวี๋พยายามใช้พรสวรรค์กระแสจิต [เสียงแห่งประวัติศาสตร์] ของเขาเพื่อลองดูว่าเขาสามารถค้นพบอะไรได้หรือไม่
น่าเสียดาย โอกาสมาไม่ถึง
“เจ้าพบอะไรไหม?”
หลินซิ่วจูเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นซืออวี๋จ้องมองเศษโลหะด้วยความงุนงง
“ใช่แล้ว”
ซืออวี๋มองไปทางอื่นและระเบิดข่าวใหญ่ออกมา
“นี่อาจเป็นเศษชิ้นส่วนจากอสูรกินเหล็ก”
“อะไรนะ?” ทุกคนสับสน
พวกเขามองไปที่ซืออวี๋ด้วยความสับสน ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเศษเกราะเกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็กได้ยังไงกัน
“เนื่องจากรูปแบบการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กอาจเป็นการสวมชุดเกราะ”
“ไม่สิ ไม่ใช่แค่เกราะชั้นเดียว ทว่าเป็นเกราะสองชั้น” ซืออวี๋กล่าวออกมา
เขาไม่สามารถกล่าวได้ว่าเขาเคยเห็นสัญลักษณ์นี้มาก่อน แม้ว่าเขาจะกล่าวไปเช่นนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าสัญลักษณ์นี้หมายถึงอะไร นั่นเป็นการกระทำอันไร้ความหมายมาก
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการค้นพบนี้แล้ว ซืออวี๋ก็ยังค้นพบสิ่งอื่นด้วยเช่นกัน นั่นคือสีวัสดุของเศษโลหะ มันให้ความรู้สึกคล้ายกับร่องรอยวิวัฒนาการในสายเลือดของอสูรกินเหล็กมาก
“เจ้าจริงจังไหม?” หลินซิ่วจูมองไปที่ซืออวี๋ด้วยสีหน้าตกตะลึง
“อสูรกินเหล็กวิวัฒนาการเป็นชุดเกราะต่อสู้??”
“นั่นควรเป็นเช่นนั้น…” ซืออวี๋มองไปที่นักศึกษาโบราณคดีและกล่าวว่า “องค์ประกอบของเศษโลหะนี้ถูกทดสอบไหม?”
“ไม่…” นักศึกษาโบราณคดีคนหนึ่งกล่าวเสริมว่า “เรื่องนี้อาจต้องใช้ห้องทดลองของมหาวิทยาลัย และการตรวจสอบค่อนข้างลำบาก นั่นใช้เวลานานมาก”
โลหะผสมนี้ที่ประกอบด้วยทรัพยากรโลหะพิเศษตรวจสอบได้ยากยิ่งกว่าโลหะผสมบน ‘โลก’ มาก ในขณะนี้ การวิจัยยังไม่ถึงจุดนั้น
“ไม่เป็นไร ต่อไป โปรดทดสอบองค์ประกอบเฉพาะของมัน”
“หากองค์ประกอบโลหะที่อยู่ข้างในถูกตรวจสอบเสร็จ นั่นอาจเป็นส่วนสำคัญในการไขปริศนาการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็ก”
ซืออวี๋มองไปที่เศษโลหะ บางทีอสูรกินเหล็กจำเป็นต้องกินวัสดุโลหะที่คล้ายกันเพื่อให้การวิวัฒนาการของมันเสร็จสมบูรณ์เหรอ?
เศษโลหะนี้เป็นการค้นพบครั้งใหญ่
“หลินน้อย ติดต่อทางมหาวิทยาลัย” หลินซิ่วจูมองไปที่หญิงสาวผมสั้นในชุดนักโบราณคดีสีน้ำตาล
“ตกลง” หลินน้อยพยักหน้า
หลินซิ่วจูเข้าใจความหมายของซืออวี๋อย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุด นางก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสูรกินเหล็กเช่นกัน
“เจ้าต้องการใช้องค์ประกอบของเศษโลหะนี้เพื่อสรุปวัสดุการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กงั้นเหรอ?” นางเอ่ยถามออกมา
“ใช่แล้ว ทว่าเรื่องนี้ไม่ควรจะง่ายดายนัก” ซืออวี๋พยักหน้า
“ข้าไม่คิดว่ามันจะวิวัฒนาการเสร็จสมบูรณ์โดยเพียงแค่กินเท่านั้น… ข้าไม่แน่ใจว่าสัญลักษณ์นั่นหมายถึงอะไร”
ในขณะนี้ เมื่อมันได้ยินคำว่า ‘กิน’ อีเลฟเว่นก็ตื่ยขึ้นมาด้วยความงุนงงและมองดูเศษโลหะในภาชนะแก้วด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
“หือ?”
อาหารเหรอ?
“ไม่!” ซืออวี๋ปฏิเสธ
“โปรดพาข้าไปดูวัตถุโบราณอื่นและซากปรักหักพังข้างนอก” ซืออวี๋กล่าวเสริมออกมา
“ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่น” นักโบราณคดีที่อธิบายข้อมูลพื้นฐานของซากปรักหักพังกับซืออวี๋ในตอนแรกกล่าวออกมา
ในชั่วพริบตา หลังจากที่ซืออวี๋มอบภารกิจให้แก่ทุกคน เขาก็รีบไปยังสถานที่ต่อไป
ในเต็นท์
นักศึกษาโบราณคดีคนอื่นมองไปที่เศษโลหะในภาชนะแก้วและครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
เดี๋ยวก่อน ทำไมนี่ถึงให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขาถูกนำโดยมือใหม่ที่เพิ่งมาถึงเช่นซืออวี๋ล่ะ?
ไม่ใช่ว่าซืออวี๋ควรจะให้ข้อมูลแก่พวกเขาเพื่อให้พวกเขาสามารถดำเนินการตรวจสอบต่อเหรอ?
ทำไมถึงรู้สึกราวกับว่าซืออวี๋กังวลยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก!
“ข้าจะติดต่อมหาวิทยาลัยก่อน” หลินน้อยกล่าวออกมา ลืมไปเถอะ ลองทำตามสิ่งที่ซืออวี๋กล่าวก่อน เศษโลหะถูกสงสัยว่าเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็ก มันเป็นการคาดเดาที่กล้าหาญซึ่งพวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยอย่างแท้จริง
…..
ซากปรักหักพังอสูรกินเหล็กนี้เป็นซากปรักหักพังใต้ดิน และความสมบูรณ์ของมันก็ไม่มากนัก
ซืออวี๋จึงทำได้เพียงแค่ตรวจสอบอย่างเรียบง่ายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การที่คนเหล่านี้ได้ฟื้นฟูและจัดระเบียบข้อมูลบางอย่างแล้วก็สะดวกสบายมาก
“มีเพียงแค่ภาพของอสูรกินเหล็กธรรมดาบนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ทว่าไม่มีภาพอสูรกินเหล็กในชุดเกราะต่อสู้เลยงั้นเหรอ??”
ซืออวี๋ตกตะลึงเล็กน้อยหลังจากพลิกข้อมูลที่ได้รับการจัดระเบียบ
ทำไมกัน?
ซืออวี๋ตัดสินใจที่จะไม่คิดเกี่ยวกับข้อมูลที่เขาไม่สามารถยืนยันได้ในตอนนี้
จากนั้นเขาก็เริ่มค้นหาสัญลักษณ์พิเศษที่ถูกบันทึกไว้ในซากปรักหักพังเหล่านั้น
เมื่อรวมกับสัญลักษณ์บนเศษโลหะแล้ว มีเพียงเก้าสัญลักษณ์พิเศษเท่านั้น
หกในเก้าสัญลักษณ์ดูคุ้นเคย เขาเคยเห็นพวกมันบน ‘โลก’ อย่างแน่นอน
สำหรับอีกสามสัญลักษณ์ที่เหลือ พวกเขาไม่คุ้นเคยเลย แต่จากรูปแบบ สัญลักษณ์ทั้งเก้าเหล่านี้เป็นการผสมผสานกันที่ลงตัวอย่างแน่นอน
หากเศษโลหะนั่นเป็นส่วนหนึ่งของการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กจริง สัญลักษณืดังกล่าวที่ถูกลสักไว้บนชุดเกราะนั้นมีความหมายพิเศษไหม?
“รุ่นพี่…”
ซืออวี๋ศึกษามันอย่างลึกซึ้งและพยายามใช้พรสวรรค์ของเขาเพื่อดูว่าเขาสามารถเห็นฉากอะไรในหัวของเขาได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เห็นฉากนั้นเลย แต่เขากลับมองเห็นรุ่นพี่แพนด้าอย่างคลุมเครือ
หลินซิ่วจูได้มายังด้านข้างของซืออวี๋ได้สักพักหนึ่งแล้ว
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะสนใจซากปรักหักพังนี้มากเช่นนี้” หลินซิ่วจูมองไปที่ซืออวี๋ที่มีสมาธิและอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ก่อนหน้านี้ ทุกคนคิดว่าซืออวี๋มาที่นี่เพื่อให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ใครจะรู้ว่าหลังจากที่ซืออวี๋มาถึง เขาจะกระตือรือร้นในการวิจัยซากปรักหักพังมากกว่านักศึกษาโบราณคดีเหล่านี้เสียอีก
“เจ้าต้องการที่จะเข้าใจเส้นทางการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กงั้นเหรอ?” รุ่นพี่แพนด้าเอ่ยถามออกมา
“ข้า…” ซืออวี๋กล่าวว่า “แบบว่า”
อันที่จริง เขาไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กมากนัก เหตุผลที่เขากังวลมากในตอนนี้เป็นเพราะเขาสงสัยก็เท่านั้น
เขาสงสัยว่าซากปรักหักพังนี้สื่อถึงอะไรและทำไมถึงมีสัญลักษณ์ที่คล้ายกับสัญลักษณ์ในระบบเทพนิยายบน ‘โลก’
หากเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้ ซืออวี๋รู้สึกว่าเขาคงนอนไม่หลับ
“รุ่นพี่ เจ้าเองก็ต้องการรู้เช่นกันใช่ไหม?” ซืออวี๋เอ่ยถาม คนหนึ่งคือปรมจารย์หลินฮงเหนียน ในขณะที่อีกคนหนึ่งคือหลินซิ่วจู เขารู้สึกว่าไม่มีใครในเขตผิงเฉิงที่ต้องการรู้เกี่ยวกับเส้นทางการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กมากยิ่งกว่าสองคนนี้อีกแล้ว
หลินซิ่วจูมีสีหน้าขัดแย้ง
“อันที่จริง หลังจากได้ยินเจ้ากล่าวว่าการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กอาจเกิดขึ้นหลังจากสวมชุดเกราะต่อสู้แล้ว ข้า…”
“ข้ารู้สึกว่าหากเป็นเช่นนั้น ข้าคงไม่สามารถนอนบนเตียงแพนด้าได้อีกต่อไปในอนาคต… น่าเสียดายมาก”
ซืออวี๋ : “?”
เขารู้สึกขัดแย้งกับเหตุผลของนางมาก!
ตามคาดไว้ อสูรกินเหล็กคนละตัวกัน การใช้งานก็ต่างกัน
“อู๋!” อีเลฟเว่นส่งเสียงประท้อวงที่ต้นขาของซืออวี๋
นี่ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่การฝึกฝนครั้งล่าสุด มันรู้สึกอึดอัดไปทั่งตัวแล้ว
มันได้นอนมาหลายชั่วโมงติดต่อกันเพื่อสะสมพละกำลัง และตอนนี้มันก็ต้องการการฝึกฝนอันเข้มข้นอย่างเร่งรีบเพื่อปลดปล่อยพวกมันออกมา
ไม่สิ หากเป็นการต่อสู้คงจะดีที่สุด!
“มีอะไรเหรอ? อีเลฟเว่นอดไม่ได้ที่จะฝึกอีกครั้งใช่ไหม?” หลินซิ่วจูยิ้มออกมา นางรู้จักอีเลฟเว่นเป็นอย่างดี
อีเลฟเว่น : QAQ
“ข้ามาเพื่อบอกว่านี่เย็นแล้ว ขอบคุณข้อมูลของเจ้ามกา ทุกคนมีทิศทางการวิจัยใหม่แล้ว พวกเขาต้องการเชิญเจ้าไปกินข้าวด้วยกัน” หลินซิ่วจูกล่าวออกมา
กินเหรอ?
“เอ่อ” ซืออวี๋เหลือบมองไปที่เวลา ดูเหมือนว่าจะเริ่มเย็นแล้ว
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าถึงเวลาข้าวเย็นแล้ว
“แน่นอน…” ซืออวี๋ลูบท้องของเขา
อืมม เขาไม่สามารถวิจัยต่อไปได้หากเขาหิว อาหารมีความสำคัญมาก
จากนั้นซืออวี๋ก็หยุดคิดและจับอีเลฟเว่นไปในเวลาเดียวกัน “ไปกินข้าวกันเถอะ หลังจากกินข้าว ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปฝึก”
อันที่จริง เขาต้องการให้อีเลฟเว่นฝึกฝนมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ทว่านี่คือซากปรักหักพังของอสูรกินเหล็ก เขารู้สึกว่าหากเขาพาอีเลฟเว่นมากับเขา อาจมีบัฟพิเศษ
ทว่าในตอนนี้ ดูเหมือนว่าอีเลฟเว่นขนาดพกพาตัวนี้จะอ่อนแอเล็กน้อยในด่านนั้น…
อีเลฟเว่น : (σ`・д・)σ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะตามเจ้าไปต่ออีกสักพัก”
ด้านนอก เมื่อซืออวี๋ตามหลินซิ่วจูออกไป อีกเจ็ดคนก็มารออยู่แล้ว
ทุกคนเตรียมกินข้าวที่โรงแรมที่ตีนเขา สำหรับสถานที่แห่งนี้ พวกเขาจะปล่อยสัตว์อสูรเฝ้าระวังที่นั่น
หากการทำสัญญาสัตว์อสูรไม่ใช่เพื่อความสะดวกสบาย นั่นคงไร้ความหมายมาก
…
งานเลี้ยงอาหารเย็นเป็นวิธีที่ดีมากในการพูดคุยกัน ในตอนแรก ซืออวี๋ไม่คุ้นเคยกกับทุกคนมากนัก ทว่าเมื่อเขามาถึงโต๊ะอาหาร เขาก็เริ่มพูดคุยในทันที
“อะไรนะ เจ้าวางแผนที่จะสมัครเข้าสาขาโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณในอนาคตเหรอ?”
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน พวกเขาก็กล่าวถึงซืออวี๋ และในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าทำไมซืออวี๋ถึงมีสมาธิมากในตอนบ่าย
ดังนั้นเขาจึงเป็นเพื่อนร่วมสาขาในอนาคต เป็นรุ่นน้องที่มีเป้าหมายอันชัดเจน
“สาขานี้เป็นหลุมขนาดใหญ่ โบราณคดีทำลายชีวิตคน เจ้าเคยได้ยินประโยคนี้ไหม?”
เจิ้งอิ๋งเจีย นักโบราณคดีที่มักริเริ่มตอบคำถามของซืออวี๋กล่าวด้วยความเศร้า เขาเป็นหัวหน้าทีมโบราณคดีนี้
นักศึกษาโบราณคดีคนอื่นก็พยักหน้าเช่นกัน หลินซิ่วจูอยากหัวเราะ ทว่าไม่กล้า
“อ่าา? น่าเศร้าเหรอ?”
“หากเจ้าไม่ชอบมัน เจ้ามาเข้าร่วมสาขานี้ทำไมกัน…”
ซืออวี๋ดื่มซุปเต็มปากเพื่อสงบสติอารมณ์ เขาต้องการฟังคะแนะนำของรุ่นพี่เหล่านี้
หลินหยูเอ้อซึ่งมีนามสกุลเดียวกับรุ่นพี่แพนด้ากล่าวว่า “อาจจะเป็นไปได้ว่าข้าคิดผิดเหรอ?”
อันที่จริง แม้ว่าเป้าหมายสูงสุดของโบราณคดีก็คือการฟื้นฟูความจริงของประวัติศาสตร์ แต่จะมีคนรุ่นใหม่กี่คนกันที่มีความคิดสูงส่งเช่นนี้กัน?
โบราณคดีได้รับความนิยมในโลกนี้เพราะมีความลับมากมายซ่อนอยู่ในซากปรักหักพังโบราณ และแม้กระทั่งโอกาสจากยุคเทพนิยาย
เนื่องจากผู้โชคดีบางคนได้รับโอกาสจากซากปรักหักพังเหล่านี้และเติบโตอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมนี้จึงดึงดูดผู้คนมากมายที่คิดว่าพวกเขาเป็นบุตรแห่งโชคชะตา
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ต้องการจะฟื้นฟูประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง
คนส่วนใหญ่เข้าสู่อัตสาหกรรมนี้โดยหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์จากซากปรักหักพังโบราณ
นอกจากนี้ สาขาโบราณคดียังเป็นไผ่ลับของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณเช่นกัน ทรัพยากรที่ถูกจัดสรรนั้นสูงยิ่งกว่าสาขาต่อสู้เสียอีก ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงสมัครเข้าร่วมกับมันในทันที
อย่างไรก็ตาม หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับสาขานี้ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามันยากมากเพียงใด ซากปรักหักพังที่มีโอกาสจะหาได้ง่ายดายนักได้ยังไงกัน?
ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาทำได้เพียงแค่จ้องมองกองโบราณวัตถุด้วยความงุนงงและเรียนรู้ทักษะและความรู้บางอย่างที่ไร้ประโยชน์ในการต่อสู้…
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจะมีผู้สมัครจำนวนมากเข้าสู่สาขาโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณทุกปี แต่จำนวนการย้ายไปยังสาขาอื่นในภายหลังก็มีจำนวนมากเช่นกัน…
“สาขาการเพาะพันธุ์นั้นดีมากอย่างแท้จริง มันยังผ่อนคลายและสบายมาก สาขาการแพทย์ก็ไม่เลวเลยเช่นกัน มีสาวสวยอยู่เยอะมาก แม้ว่าสาขาต่อสู้จะเหนื่อยเล็กน้อยและเราต้องฝึกทุกวัน แต่ความแข็งแกร่งก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของนักฝึกสัตว์อสูร ในอนาคต หากเราสามารถเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยไปแข่งลีกมหาวิทยาลัย นั่นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ท้ายที่สุด มันเป็นการแข่งขันที่เป็นจุดสนใจของทุกคนในประเทศ… ไม่ว่ายังไง สาขาการต่อสู้ก็ดียิ่งกว่าสาขาโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับวัตถุโบราณและสุสานโบราณ” นักศึกษาอ้วนถอนหายใจออกมา
คนอื่นก็แสดงความคิดเห็นของพวกเขาเช่นกัน โดยระบุว่าพวกเขารู้สึกเสียใจที่สมัครเข้าสาขาโบราณคดี
สหำรับคนไม่กี่คนเหล่านี้ที่ประสบความสำเร็จในการเข้าร่วมสาขาที่ดีที่สุดของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ พวกเขาจึงต้องมีพรสวรรค์มาก พวกเขาทุกคนน่าจะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรมืออาชีพก่อนอายุ 20 ปี อย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มอัจฉริยะเท่าั้น ในขณะนี้ ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ เสียใจอย่างสุดซึ้ง!
เมื่อซืออวี๋ได้ยินเช่นนั้น เขาก็ตกตะลึงในทันที พวกเขาล้วนเป็นคนที่ไม่มีความสุขกับอาชีพของพวกเขา
สาขาโบราณคดีดีจริงเหรอ?
“ทว่าในประสบการณ์ของข้า…” หลินซิ่วจูกล่าวออกมาอย่างเงียบสงบ “สถานะนี้ของเจ้าธรรมดามากเกินไป อันที่จริง นักศึกษาจากสาขาต่อสู้ สาขาการเพาะพันธุ์ และสาขาการแพทย์ก็รู้สึกว่าสาขาของพวกเขาไม่ดีเช่นกัน…”
กล่าวตามตรง นี่ก็แค่การที่ชอบของใหม่และเกลียดของเก่า
หลินซิ่วจูสาปแช่งในใจของเขา หากพวกเจ้าจริงจังมากยิ่งกว่านี้ในการสำรวจซากปรักหักพัง ความคืบหน้าของการวิจัยคงไม่ช้าเช่นนี้!
ในระหว่างการสำรวจซากปรักหักพัง คนกลุ่มนี้ต้องใช้เวลาครึ่งหนึ่งไปกกับการฝึกฝนสัตว์อสูรของพวกเขา ความเป็นมืออาชีพของพวกเขานั้นไม่มีเลย!
หลินซิ่วจูรู้สึกว่าหากนางเป็นอาจารย์ นางจะให้พวกเขาตกวิชานี้อย่างแน่นอน
“ไม่ว่ายังไง หากข้าได้รับโอกาสอีกครั้ง ข้าจะเลอกสาขาต่อสู้ที่เหมาะสมกกับข้าอย่างแน่นอน!” เจิ้งอิ๋งเจียถอนหายใจและกล่าวเสริมว่า “มาดูกันว่ามีโอกาสเปลี่ยนสาขาในอนาคนไหม”
ซืออวี๋ :“…”
นักโบราณคดีเป็นอาชีพที่ลำบากมาก
หากเขาไม่ชอบมัน นั่นก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ทนอีกต่อไป
“ทว่าข้ารู้สึกว่าหากเราพบบางอย่างจาการตรวจสอบซากปรักหักพังนี้ บางทีเราอาจจะอยู่ในสาขาโบราณคดีต่อไปก็ได้?” รุ่นพี่หน้ายาววิเคราะห์ออกมา
“มาฟังความคิดของรุ่นน้องซืออวี๋ก่อนดีกว่า บางทีเราอาจได้รับบางสิ่ง” หลินหยูเอ้อกล่าวออกมา
เจิ้งอิ๋งเจียพยักหน้า “หากเราสามารถร่วมมือกับรุ่นพี่หลินเพื่อวิจัยการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กได้จริง ข้ารู้สึกว่าตำแหน่งในมหาวิทยาลัยของเราจะมั่นคง เรายังสามารถใช้เรื่องนี้เพื่อการวิจัยจบการศึกษาของเราได้”
เมื่อฟังการถกเถียงกันของฝูงชน ซืออวี๋ก็ล้มล้างความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับสาขาโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณทันที
เขาตั้งชื่อทีมนักโบราณคดีที่นำโดยเจิ้งอิ๋งเจียว่า ‘เจ็ดยอดนักโบราณคดี’
“สรุปแล้ว ข้าต้องการขอบคุณรุ่นน้องซืออวี๋ในคราวนี้ ฮ่าๆๆ” เจิ้งอิ๋งเจียยิ้มและกล่าวออกมาว่า “เมื่อเจ้ามายังมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณในอนาคต เราจะดูแลเจ้าเอง”
หากไม่มีข้อมูลวิวัฒนาการที่ได้รับจากซืออวี๋ นั่นก็คงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะทำการวิจัยในภายหลัง
“ขอบคุณ…” ซืออวี๋รู้สึกว่าคำกล่าวนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย
เขารู้สึกว่าแม้คนกลุ่มนี้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลผลิตในหลายสิบเมืองชั้นสองรอบเมืองหลวงโบราณ แต่พวกเขาก็ยังเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่
ทว่าในมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ พวกเขาแต่ละคนน่าจะเป็นนักศึกษาที่มีผลการเรียนแย่…
เขารู้สึกว่าการที่เขาไปพบกับพวกเขาในอนาคตหลังเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณคงไม่มีอนาคต ดังนั้นเขาจึงควรทำตัวสนิทสนมกับสาวหูสัตว์
เห็นได้ชัดว่ารองประธานชมรมต่อสู้เป็นผู้มีอิทธิพลในมหาวิทยาลัย
“รุ่นน้อง เจ้าวางแผนที่จะสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเมือหลวงโบราณปีหน้างั้นเหรอ?” รุ่นพี่ร่างทท้วมเอ่ยถามออก
“ข้าได้ยินมาจากรุ่นพี่หลินว่าอสูรกินเหล็กตัวนั่นเป็นสัตว์อสูรตัวแรกของเจ้า ทว่าข้าคิดว่าระดับการเติบโตของมันยังไม่ถึงระดับเหนือธรรมชาติใช่ไหม?”
ไม่ ข้าวางแผนที่จะเข้าร่วมการประเมินมืออาชีพในปีนี้”
“ยังมีเวลาเหลืออีกสี่เดือน นั่นควรจะพอ แม้ว่าระดับการเติบโตจะต่ำไปเล็กน้อย แต่พลังต่อสู้ของมันก็เพียงพอแล้ว” ซืออวี๋อธิบายออกมา
รุ่นพี่อ้วนตกตะลึง “เจ้ามั่นใจ ดีมาก! เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ อะไรคือความแตกต่างระหว่างอสูรกินเหล็กที่ปลุกสายเลือดโบราณกับอสูรกินเหล็กธรรมดาเหรอ? ความแตกต่างอยู่ที่ทักษะการทวีคูณเหรอ??”
“ข้าสงสัยอย่างมากก เอาเช่นนี้ไหม? เจ้าต้องการต่อสู้กระชับมิตรหลังข้าวเย็นไหม? ข้ายังมีสัตว์อสูณตัวใหม่ที่ยังไม่ถึงระดับเหนือธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน ให้เราเข้าใจข้อมูลของอสูรกินเหล็กที่มีสายเลือดโบราณ ด้วยวิธีนี้ เราสามารถเขียนข้อมูลเพิ่มเติมในกการบ้านของเราได้…”
“หือ…” คำกล่าวของเจ้าอ้วนทำให้นักศึกษาโบราณคดีที่อยู่รอบข้างตกตะลึง ใช่แล้ว เจ้าอ้วนผู้นี้ฉลาดอย่างแท้จริง เขาไม่ยอมปล่อยให้การบ้านของมหาวิทยาลัยว่างเปล่า
อสูรกินเหล็กน้อยของซืออวี๋ที่ปลุกสายเลือดโบราณเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการวิจัยที่สนับสนุนซากปรักหักพัง การเข้าใจมันไม่ใช่เรื่องที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน
“ต่อสู้เหรอ?” หลินซิ่วจูโค้งริมฝีปากของนางและกล่าวเสริมว่า “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าต้องการรังแกรุ่นร้องของข้ากันล่ะ?”
สัตว์อสูรตัวใหม่ที่ถูกบ่มเพาะโดยนักฝึกสัตว์อสูรมืออาชีพและสัตว์อสูรของนักฝึกสัตว์อสูรฝึกหัด แม้ว่าพวกมันจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่พลังต่อสู้ก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
รุ่นพี่อ้วนมีสีหน้าไร้เดียงสาและกล่าวว่า “ไม่ ข้าแค่ต้องการทำการบ้านให้เสร็จ หากการบ้านของข้าไม่เสร็จ ข้าคงสอบตกในปีนี้… ข้าจะแนะนำรุ่นน้องของข้าด้วยเช่นกัน การประเมินมืออาชีพเป็นเรื่องยากมากในตอนนี้ ข้าเคยผ่านมันมาแล้ว”
“หือ?” ก่อนที่ซืออวี๋จะทันได้กล่าวอะไร อีเลฟเว่นก็โผล่หัวออกมาจากกระเป๋าของซืออวี๋
มันรับรู้ถึงกลิ่นอายแห่งการต่อสู้
ซืออวี๋มองลงไปและไร้คำกล่าวในทันที
“ไม่เป็นไร” ซืออวี๋กล่าวได้เพียงแค่ว่า “อสูรกินเหล็กของข้านอนมาทั้งวันแล้วเช่นกัน ข้าแค่อยากยืดเส้นยืดสาย ไม่มีปัญหาที่จะต่อสู้กับรุ่นพี่”
Fanpage : ผีเสื้อกลางคืน