ตอนที่ 26 สายเทพ
“ข้ารึ?”
สาวน้อยถามอย่างไม่เชื่อหูพลางชี้ตัวเอง นางรีบส่ายหน้า
“ไม่นะ…ข้าทำไม่ได้…”
นางมองเสี่ยวเฉินที่อยู่ข้างนาง
“ทำไมไม่เป็นศิษย์พี่เสี่ยวล่ะ? ข้าไม่รู้เลยว่าทำยังไง ข้าทำให้ของมันลอยแล้วก็ควบคุมพลังไม่เป็นด้วย…”
แต่เสี่ยวเฉินเพียงแค่ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้นาง
“ไม่ต้องกลัว เจ้าไปเลย”
เมื่อไม่เหลือทางเลือก สาวน้อยเดินไปอย่างลังเล นางก้มหน้าจนถึงไหล่แต่ก็ไม่กล้าก้มมากเกินไป ผู้เฒ่าหลิวหัวเราะเบา ๆ
“เจ้าไม่ต้องเครียดหรอกนะ ข้ามียันต์ควบคุมไฟให้ เจ้าไม่ต้องใช้พลัง”
เขาขยับข้อมือและเรียกยันต์สีแดงออกมา
“โอ้…แบบนี้นี่เอง…”
สาวน้อยยังคงก้มหน้ามองของจำนวนมากบนโต๊ะ นางรู้สึกเวียนหัวคลื่นไส้เพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
“แร่ไมกาสี่กรัม กำมะถันสองกรัม แร่เหลวสองกรัม…”
เสี่ยวเฉินท่องวัตถุดิบที่เขาจำได้และปริมาณ ทั้งผู้เฒ่าซงและหลิวเงยหน้าจ้องมองเขา
สาวน้อยทำตามที่เขาพูดและใส่วัตถุดิบทีละอย่างในเตาหลอม จากนั้นนางจึงตบยันต์ควบคุมไฟไว้บนเตาหลอม มันระเบิดเปลวเพลิงอย่างรวดเร็วและมีไฟติดอยู่ด้านล่าง
ดูเหมือนว่ามันจะดีในทีแรกจนกระทั่งมีเสียงแตกมาจากเตาหลอม สาวน้อยเริ่มหวาดกลัวว่าเตาหลอมอาจจะระเบิด นางเริ่มขยับตัวห่างจากเตาหลอมมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
“ใจเย็น ๆ เบาไฟลงมาสามในสิบส่วน เพิ่มแร่ดับไฟอีกสองกรัมกับเกล็ดเงินอีกสี่กรัม”
เสี่ยวเฉินพูดจากด้านล่าง
สาวน้อยทำตามที่เขาบอกในทันทีและใส่วัตถุดิบลงในเตาหลอม แต่ด้วยความรีบร้อนของนางนั้นนางจึงได้ทำพลาด เสี่ยวเฉินสั่งอย่างใจเย็น
“ใส่ต้นกระดุมไปอีกแปดกรัม ใส่มณีศิลาสี่กรัม”
สาวน้อยพยายามทำตามสุดความสามารถ ในไม่กี่วินาทีเตาหลอมก็กลับเป็นปกติ แต่ด้วยความตื่นตระหนกของนางนั้นทำให้นางสร้างความผิดพลาดมากกว่าเดิมและแปะยันต์ผิด เสี่ยวเฉินส่ายหน้า
“มันพังแล้วล่ะ เจ้าไม่ต้องทำต่อแล้ว”
“อ๊ะ…”
สาวน้อยวางยันต์ในมือด้วยความผิดหวัง
ผู้เฒ่าหลิวเปิดฝาเตาหลอมด้วยพลัง มีควันดำสนิทลอยออกมาจากเตาหลอม มันเป็นกลิ่นเหม็นไหม้ที่คลุ้งไปทั่ว ทำให้หลายคนต้องบีบจมูกและเบือนหน้าหนี
สาวน้อยมองในเตาหลอมและเห็นเขม่าดำที่ก้นเตา น้ำตานางกำลังจะไหลออกมา
“ขะ ข้าขอโทษ ท่านผู้เฒ่า…ข้าโง่เกินไป…”
ผู้เฒ่าหลิววางมือบนไหล่นางและยิ้มบอก
“ไม่เป็นไร ข้ามั่นใจว่าเจ้าทำดีที่สุดแล้ว เจ้าไปได้แล้ว”
เขาเหลือบมองเสี่ยวเฉินเล็กน้อย
สาวน้อยกลับมานั่งด้วยตารื้นแดง นางมองเสี่ยวเฉิน
“ขอบคุณนะศิษย์พี่เฉิน ข้าชื่อหวังเยี่ย ข้าเห็นศิษย์พี่ตอนที่สอบ…”
เสี่ยวเฉินพยักหน้าและยิ้มให้กำลังใจนางแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร
ผู้เฒ่าหลิวให้เด็กสองคนมาเก็บกวาดโต๊ะ เขาพูดกับศิษย์ด้านล่าง
“อย่าได้รีบร้อนในการหลอมโอสถ พวกเจ้ามีคำถามหรือไม่?”
เหล่าศิษย์มองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย พวกเขาจึงไม่ถามอะไร
เสียงของเสี่ยวเฉินทำลายความเงียบ
“ข้ามีคำถาม ท่านผู้เฒ่า”
“เจ้ามีคำถามรึ?”
ผู้เฒ่าหลิวถามด้วยความแปลกใจ เขากลับมาสุขุมอีกครั้งและกระแอม
“ถามมาสิ คำถามเจ้าอาจทำให้ทุกคนได้ประโยชน์ก็ได้”
เสี่ยวเฉินถาม
“ข้าอยากจะรู้ว่าท่านผู้เฒ่าเรียกวัตถุดิบมาจากไหน?”
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่ศิษย์ การที่ผู้เฒ่าเรียกของออกมาจากความว่างเปล่านั้นน่าทึ่ง และยังทำโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือหรือสมบัติวิเศษด้วย
ผู้เฒ่าหลิวยิ้มอย่างพอใจ
“เรื่องนั้นน่ะรึ นี่ควรจะเป็นวิชาในวันพรุ่งนี้ แต่ถ้าเจ้าถาม ข้าก็ควรจะบอกเจ้าสักเล็กน้อย ผู้บ่มเพาะพลังนั้นสามารถสร้างมิติเก็บของภายในตัวเองได้ มันเรียกว่าสายเทพ”
เขาใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วยามในการอธิบายถึงความซับซ้อนของเคล็ดวิชา กว่าจะจบก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว และทุกคนยังคงสับสนและงุนงงกับคำอธิบายของเขา
โดยรวมแล้ว สายเทพนั้นเป็นพื้นที่มิติที่สร้างโดยผู้บ่มเพาะพลังในร่างกายตัวเองเพื่อเก็บของ วิชานั้นแตกต่างจากวิญญาณตำหนักม่วงเล็กน้อยที่สามารถเก็บสิ่งมีชีวิตได้
การเก็บสิ่งของในสายเทพนั้นจะใช้พลังปราณอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเก็บของไว้มากเพียงใดก็จะยิ่งใช้พลังมากเท่านั้น ดังนั้นผู้บ่มเพาะพลังจึงต้องทิ้งของบางอย่างขณะที่หนีเอาชีวิตรอดจากศัตรู นั่นก็เพื่อการลดการใช้พลังปราณและเพิ่งสมาธิในพลังการหนีได้มากขึ้น
เสี่ยวเฉินได้ตั้งใจฟังอย่างใกล้ชิด เขาพยักหน้าเมื่อสะท้อนได้ถึงความแตกต่างระหว่างเคล็ดวิชาบ่มเพาะหลังจากผ่านมาหลายพันปีจากชาติที่แล้ว วิชาสายเทพนั้นไม่เคยมีมาก่อนในยุคนั้น ผู้บ่มเพาะพลังในยุคนั้นจะต้องอดทนอย่างยากลำบากในการไปให้ถึงขอบเขตก่อวิญญาณเพื่อที่จะมีพลังในการเก็บของตามใจนึก มิเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องหวังพึ่งพาอุปกรณ์หรือสมบัติวิเศษ
เมื่อเลยเที่ยงแล้ว ผู้เฒ่าซงยกมือประกาศ
“จบการเรียนเช้าวันนี้ เจ้าจะต้องเรียนต่อตอนบ่ายหลังกินข้าวที่โรงอาหาร จะเริ่มเรียนในอีกครึ่งชั่วยาม อย่ามาสายล่ะ”
“ชั่วโมงเดียวมันไม่พอนะ…ข้าอยากกลับไปงีบจัง…”
องค์ชายจ้าวบ่น
ผู้เฒ่าซงตำหนิกลับ
“มีแต่เจ้าที่มีปัญหานะ!”
องค์ชายจ้าวโบกมือไม่ใส่ใจ
“ก็ได้…ก็ได้…”
เสี่ยวเฉินมองท้องฟ้า มีเวลาไม่พอที่เขาจะกลับไปที่สวน เขาทำได้แค่ตรงไปที่โรงอาหาร เขาคิดถึงปี่แปะทอดที่พวกเขากินกันเมื่อวานและรู้สึกขนลุก
“มาเถอะศิษย์พี่เสี่ยว ข้าว่าปี่แปะทอดคงเสร็จแล้ว”
องค์ชายจ้าวเดินมาหาเขา
เสี่ยวเฉินคกตก
“คนพวกนั้นไปเอาปี่แปะมาจากไหนนักในฤดูนี้?”
ในตอนนั้นเอง เสียงร่าเริงอ่อนหวานดังมาจากนอกหน้าต่าง
“ฮิฮิ! ข้ามาแล้วนายน้อย!”
เสี่ยวเฉินหันไปมองและเห็นหลิวรั่ว นางสวมชุดเขียวมรกตสดใสและมีรถเข็นอาหารสีม่วงมาด้วย
“ว้าว! สาวน้อยน่ารัก!”
ศิษย์คนอื่นนั้นอดอุทานออกมาไม่ได้
หลิวรั่วนั้นไม่เคยถูกให้ทำหน้าที่ทำงานบ้านไม่เหมือนกับสาวใช้คนอื่นในตระกูลเสี่ยว นางได้สวมเสื้อผ้าที่สะอาดงดงามพร้อมเครื่องประดับ ด้วยใบหน้างดงามของนางยิ่งทำให้นางไม่ต่างจากลูกสาวตระกูลที่มั่งคั่ง
“น้องหลิวรั่วใจดีนัก เอาอาหารมาให้พวกข้าด้วย”
เมื่อเห็นว่านางมากับรถเข็นอาหารทั้งสามองค์ชายก็รีบวิ่งเข้ามา
หลิวรั่วรีบยืนขวางหน้ารถเข็น
“นี่มันของนายน้อยต่างหาก…”
“อา…แบบนั้นเองสินะ ไปกันเถอะ ปี่แปะทอดคงพร้อมขายแล้ว…”
องค์ชายจ้าวโบกมือและเดินไปที่โรงอาหารกับอีกสองคน
เสี่ยวเฉินเดินออกมายิ้มให้นาง
“ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ล่ะ?”
“ข้ารู้ว่านายน้อยจะต้องเรียนจนยุ่ง พอเห็นว่านายน้อยไม่กลับมาน่ะ ฮิฮิฮิ”
ขณะที่พวกเขาคุยกันพวกขเาก็ค่อย ๆ เดินไปทางต้นไม้และนั่งใต้ต้นไม้ร่มเย็น หลิวรั่วเปิดรถเข็นอาหาร กลิ่นอาหารหอมอร่อยฟุ้งขึ้น มีทั้งปลา ไก่ และเป็ด ไม่ไกลจากตรงนั้นจะมีศิษย์คนอื่นที่มองพวกเขาด้วยความอิจฉา ส่วนพวกเขาได้แต่กัดซาลาเปาที่เหี่ยวแห้ง
“ข้าเองก็น่าจะพาสาวใช้มาบ้าง…”
เสี่ยวเฉินถามด้วยความแปลกใจ
“เจ้าไปหาวัตถุดิบทั้งหมดนี่มาจากไหน?”
“ฮิฮิ…ข้าให้ศิษย์ของผู้เฒ่าอู๋ช่วยหามาจากเมืองใกล้ ๆ น่ะ”
“แล้วเจ้าไม่กินรึ?”
เสี่ยวเฉินถามเมื่อยกตะเกียบ
“ข้ากินแล้วล่ะนายน้อย นายน้อยกินได้เลย ช่วงนี้นายน้อยเหนื่อยนะ ต้องบำรุงเยอะ ๆ”
เสี่ยวเฉินถามขณะที่กิน
“ตอนนี้เราเหลือเงินอยู่เท่าไหร่รึหลิวรั่ว?”
“เอ่อ…ข้าว่าเรายังเหลืออยู่ร้อยตำลึงเงินนะ…”
หลิวรั่วตอบอย่างถ่อมตัว
“งั้นรึ…”
เสี่ยวเฉินวางน่องไก่ในมือกลับรถเข็นอาหาร
“ทำไมล่ะ นายน้อยไม่กินรึ? ข้าทำไม่อร่อยหรือ?”
เสี่ยวเฉินหัวเราะเบา ๆ
“ไม่หรอก ข้าอิ่มแล้วน่ะ”
ถ้าหากมีเหลือแค่ร้อยตำลึงเงินและราคาของที่แพงในเมืองหลิงไถ พวกเขาจะหมดเงินในหนึ่งเดือน…
หลิวรั่วยิ้ม
“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาหรอกนายน้อย เดือนหน้าข้าจะเขียนจดหมาย ลุงยี่ฟานจะต้องส่งคนมาพร้อมกับเงินแน่”
“งั้นรึ…”
เสี่ยวเฉินพยักหน้ายิ้ม แต่เขาอายุ 16 ปีแล้ว เป็นอายุที่การพึ่งพาครอบครัวนั้นดูไม่เหมาะสม เขาต้องหาทางหาเงินด้วยตัวเอง…
“เจ้าหนู เจ้าชื่อเสี่ยวเฉินใช่ไหม?”
ผู้เฒ่าหลิวเข้ามาทักเขา
เสี่ยวเฉินรีบเช็ดมือและรีบยืนขึ้น
“ใช่แล้วท่านผู้เฒ่า มีอะไรให้ข้าช่วยรึ?”
ผู้เฒ่าหลิวยิ้มตอบและพูดอย่างร่าเริง
“ข้าแค่สงสัยเท่านั้น เจ้าเรียนการหลอมโอสถมาก่อนรึ?”
“เอ่อ…ที่จริงแล้ว…”
แต่เขาแทบจะไม่ได้ตอบ หลิวลั่วนั้นลุกขึ้นหัวเราะ
“แน่นอน! ไม่มีอะไรที่นายท่านของข้าไม่รู้หรอกนะ…”
เสี่ยวเฉินพยักหน้าอย่างเขินอาย เขายังคงยิ้ม
“ข้ารู้เพียงเล็กน้อย มีตำราในห้องตำราตระกูลข้าไม่กี่เล่มที่ข้าเคยอ่านมาก่อน”
“งั้นรึ”
ผู้เฒ่าหลิวพยักหน้า เขายิ้มอีกครั้ง
“ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่า”
เสี่ยวเฉินยิ้มตอบอย่างนับถือ
ศิษย์รอบตัวเขาเริ่มพูดคุยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เจ้าเห็นหรือไม่? ผู้เฒ่าเดินไปพูดกับเขาด้วยตัวเองใช่ไหม? พวกเขารู้จักกันรึ? พวกเขาไม่ได้เป็นญาติกันใช่ไหม?”
สามองค์ชายกลับมาเพื่อเรียนช่วงบ่าย พวกเขาอิ่มเต็มที่
“ปี่แปะทอดกับก๋วยเตี๋ยว มันอร่อยสุดยอดเลย…”