MDB ตอนที่ 359 สมมุติฐานต่าง ๆ
หลินจินจำป้ายไม้นี้ได้ หรือเขาควรจะพูดว่า เขาเห็นป้ายไม้ที่คล้ายกับป้ายไม้อันนี้จากเหล่าผู้เยี่ยมชมของเขา
ไม่ว่าจะเป็นเหอฉิง อีกาทมิฬ หรือแม้แต่เฟิงจือเฉียนและจ้าวจิงหยานที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกเขาแต่ละคนมีป้ายไม้ซึ่งมีหมายเลขแกะสลักเอาไว้ ซึ่งตรงกับประตูที่พวกเขาผ่านเข้ามาห้องโถงเยี่ยมชม
นี่ควรจะเป็นกุญแจในการเข้าห้องโถงเยี่ยมชม
ที่แกะสลักไว้บนป้ายไม้นี้มีเลข 'สาม' มันบังเอิญว่าประตูหมายเลขหนึ่งถึงสามไม่เคยถูกเปิดมาก่อน ผู้มาเยือนคนแรกที่เข้าไปในห้องโถงคือเหอฉิงซึ่งเข้ามาทางประตูหมายเลขสี่
ตอนแรกหลินจินพบว่ามันแปลก แต่ตอนนี้เขาสามารถหาคำอธิบายได้แล้ว
เหอฉิงเข้ามาทางประตูหมายเลขสี่ เพราะป้ายไม้ของสามประตูแรกได้ถูกใช้ไปก่อนหน้านี้แล้ว
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อื่น ๆ นอกเหนือจากการถูกใช้ไป เขาจำเป็นต้องมีการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียด
ใช่แล้ว ป้ายไม้นี้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลเฉียว จากสิ่งที่เฉียวเฟยกงบอกเขา บรรพบุรุษของเขาเคยครอบครองสัตว์วิเศษระดับสี่ และทิ้งข้อความไว้ว่าสมบัติชิ้นนี้มีความสำคัญต่อความก้าวหน้าของสัตว์วิเศษ ดูเหมือนเขาจะพูดความจริง
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์นี้ บรรพบุรุษของตระกูลเฉียวก็ต้องเป็นผู้เยี่ยมชมเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีป้ายไม้ของผู้เยี่ยมชมมาอยู่ในความครอบครอง แต่หากเป็นเช่นนั้น ก็มีคำถามมากมายเข้ามามากมายที่เขาอยากรู้
หลินจินไม่ได้อยู่ในโลกนี้เมื่อร้อยปีก่อน แล้วจะมีห้องโถงเยี่ยมชมได้อย่างไร?
เรื่องนี้มันทำให้เขาคิดไม่ตก
นอกจากนี้ ยิ่งเขาไตร่ตรองมากเท่าไร คำอธิบายที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจิตใจของหลินจินจะกล้าแกร่งแค่ไหน เขาก็อดไม่ได้ที่จะจมอยู่กับความคิดในตอนนี้
ขณะที่หลินจินแสดงสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เฉียวเฟยกงและเฉี่ยวซิงก็ไม่กล้ารบกวนเขา เฉียวซิงไม่ได้คิดมาก แต่ไม่ใช่กับเฉียวเฟยกง เขามีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในใจ
'หรือว่าผู้ประเมินหลินจะเข้าใจความลับเบื้องหลังสมบัตินี้?’
เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้น เฉียวเฟยกงก็เริ่มกังวล ในตอนแรกเขาคิดว่าสมบัตินั้นไร้ประโยชน์ดังนั้นเขาจึงไม่คิดมาก แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันมีค่ามากจริง ๆ ล่ะ?
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงความคิดและเฉียวเฟยกงไม่ได้แสดงมันออกมาบนใบหน้าของเขา เขามีความคิดอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน เนื่องจากผู้ประเมินหลินมีความรู้และความสามารถมาก หากชายคนนั้นรู้อะไรบางอย่างจริง ๆ เฉียวเฟยกงก็สามารถขอคำปรึกษาเกี่ยวกับป้ายไม้นี้ได้
ด้วยเหตุนี้ เฉียวเฟยกงจึงรอสักครู่ก่อนที่จะถามเบา ๆ ว่า
“ผู้ประเมินหลิน ท่านเคยเห็นป้ายไม้นี้หรือ?”
“ใช่ ข้าเคยเห็นมาก่อน!” หลินจินตอบอย่างตรงไปตรงมา เขาได้ผลักสมมติฐานทั้งหมดของเขากลับไปในใจแล้ว
จากนั้นเขาก็ส่งป้ายไม้คืนให้กับเฉียวเฟยกง
เฉียวเฟยกงยอมรับด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเขาได้ประสานมือพร้อมกับโค้งคำนับ
“ข้าจะกล่าวกับท่านตามตรง ผู้ประเมินหลิน ไม่มีใครในตระกูลเฉียวของเรารู้ว่าป้ายไม้นี้มีไว้ทำอะไร และทำไมพวกหัวขโมยถึงหมายตาป้ายไม้นี้?
ถึงแม้ป้ายไม้นี้อาจไม่เป็นประโยชน์กับตระกูลของเรา แต่มันก็ยังคงเป็นสมบัติของบรรพบุรุษของเรา ดังนั้นเราจึงปล่อยให้คนอื่นเอาไปไม่ได้
เราแค่ต้องการคำอธิบายว่ามันคืออะไร หากผู้ประเมินหลินรู้สิ่งใด ทางตระกูลของเราคงจะขอบคุณท่านมาก”
เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาก็โค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉียวซิงก็ตอยสนองทันทีด้วยการคุกเข่าลงบนพื้น และหมอบกราบลงต่อหน้าหลินจิน
หลินจินหัวเราะเบา ๆ
“พวกท่านไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้หรอก หากข้าไม่ได้ตั้งใจจะบอกอะไรพวกท่าน ข้าก็คงจะบอกว่าข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อนไปแล้ว”
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้เฉียวเฟยกงและเฉียวซิงก็รีบขอบคุณเขาและลุกขึ้น
เห็นได้ชัดว่าทั้งพ่อและลูกต่างตื่นเต้นกันมาก โดยเฉพาะเฉียวเฟยกง
ตระกูลของพวกเขาต่างคลางแคลงใจกับสมบัตินี้มาเป็นเวลาสามชั่วอายุคนแล้ว พ่อของเฉียวเฟยกงทำการค้นคว้ามานานหลายทศวรรษ แต่ก็ยังไม่สามารถเปิดเผยความลับของป้ายไม้นี้ได้ ท้ายที่สุด เขาก็จากโลกนี้ไปพร้อมเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในใจของเขา
ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ความปรารถนาสูงสุดของเขาก็คือการค้นพบว่าความลับที่แท้จริงของป้ายไม้คืออะไร
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเฉียวเฟยกงจะเข้าสู่วัยชราแล้วก็ยังไม่สามารถเข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงของป้ายไม้ได้ เขาเกือบจะสิ้นหวังและตั้งใจจะล้มเลิกการค้นหาที่ไร้ประโยชน์ไปเสียตอนนี้ดีหรือไม่?
แต่วันนี้เขามองเห็นแสงแห่งความหวังอันริบหรี่
เขาได้เห็นความสามารถของผู้ประเมินหลินซึ่งตรงกับที่ผู้คุมจางกล่าวไว้ว่าชายคนนี้เป็นยอดฝีมือ และด้วยเหตุนี้เฉียวเฟยกงจึงแสดงสมบัติของพวกเขาให้หลินจินดู
ยอดฝีมือที่มีวิทยายุทธ์ขั้นสูงเช่นนี้จะไม่มีวันชายตาสมบัติที่ไม่ค่าในสายตาของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงทำสิ่งนี้ด้วยความซาบซึ้งและแสดงให้เห็นว่าเขาใจกว้างเพียงใด
เมื่อความหวังปรากฏ เขาจึงต้องคว้ามันไว้
ถึงหลินจินจะไม่ได้พูดอ้อมค้อม แต่เขาก็ไม่บอกความจริงทั้งหมด เขาไม่ได้เปิดเผยให้พวกเขาทราบถึงการมีอยู่ของห้องโถงเยี่ยมชม แต่เขาก็ยืนยันว่าบรรพบุรุษของพวกเขาสามารถพุ่งทะยานจากคนธรรมดามาเป็นผู้อิทธิพลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจได้นั้น ทั้งหมดมันเป็นเพราะป้ายไม้ชิ้นนี้
นี่คือขอบเขตที่เขาพอจะพูดได้
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ร่างกายของเฉียวเฟยกงก็สั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าบรรพบุรุษของเขาจะกล่าวไว้เช่นนั้น แต่พวกเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อความดังกล่าวเป็นความจริงมากแค่ไหน แต่เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่หลินจินบอกพวกเขา เฉียวเฟยกงก็รู้ว่ามันถูกต้องอย่างแน่นอน
“ป้ายไม้ชิ้นนี้เป็นกุญแจที่จะพาท่านไปยังสถานที่ลึกลับที่ยอดฝีมือจะให้คำแนะนำบางอย่างแก่ท่าน ดูเหมือนว่าบรรพบุรุษของท่านได้รับโอกาสเช่นนี้ในสมัยนั้น และนั่นคือความสำเร็จของเขาได้รับ และวิธีที่เขาสร้างธุรกิจของตระกูลเฉียวขึ้นมา”
นั่นคือทั้งหมดที่หลินจินสามารถพูดได้
ท้ายที่สุดเขายังคงมีข้อสงสัยในตัวเขาเอง ถ้าบรรพบุรุษของตระกูลเฉียวมีป้ายไม้ และเข้าไปในห้องโถงเยี่ยมชมเมื่อร้อยปีก่อน ใครคือ 'ภัณฑารักษ์' ของห้องโถงในตอนนั้น?
แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่ตัวเขาแน่ ๆ
นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่หลินจินก็ยังไม่เข้าใจ และยิ่งเขาคิดถึงมันมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกขนลุกมากขึ้นเท่านั้น
เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับห้องโถงเยี่ยมชม และต้นกำเนิดของพิพิธภัณฑ์ หลินจินจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อมันได้
เขาไม่ได้คาดเดาอย่างไร้เหตุผล มันเป็นความจริงที่ว่าประตูหมายเลขหนึ่งถึงสามยังไม่เปิดจนถึงตอนนี้ เขารู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร
หลินจินคิดว่าคงเป็นเพราะป้ายไม้พวกนั้นต้องอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ส่วนเรื่องที่พวกมันอยู่ข้างนอกได้อย่างไรนั้น หลินจินเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
ในตอนแรกหลินจินคิดว่าจะนำป้ายไม้นี้กลับไปที่ห้องโถงเยี่ยมชมเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาก็มีความเสี่ยงเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้นถ้ามีอะไรผิดพลาด?
ดังนั้นควรเคลื่อนไหวอย่างรัดกุมจะดีกว่า
ก่อนอื่นเขาจะเข้าใจกลไกของทั้งห้องโถงเยี่ยมชม และป้ายไม้ของผู้มาเยือน ก่อนที่จะวางแผนขั้นต่อไป นั่นเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเฉียวนี้ยังมีคุณธรรมและใจกว้างมากพอที่จะไว้วางใจเขาและแสดงสมบัติของบรรพบุรุษให้เขาเห็น มันจะไม่มีเหตุผลสำหรับหลินจินที่จะขอมันหรือแม้แต่แสดงความตั้งใจที่จะเอามันไปจากพวกเขา
ในขณะเดียวกันเฉียวเฟยกงและเฉียวซิงก็สับสน
สถานที่ลึกลับ?
กุญแจ?
ขณะที่พวกเขากำลังมืดแปดด้าน พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามหลินจินว่า
"ผู้ประเมินหลิน เราจะใช้สิ่งนี้ได้อย่างไร?"
พูดตามตรงหลินจินก็ไม่รู้เหมือนกัน
เขามองไปที่เฉียวเฟยกงแล้วพูดว่า
“ข้าพอจะรู้จักคนที่อาจจะรู้เรื่องนี้ แต่ท่านจะต้องมอบป้ายไม้นี้ให้ข้า”
แน่นอนว่าคำพูดของเขาทำให้เฉียวเฟยกงลังเล
หลินจินยิ้ม
“พวกท่านไม่ต้องรีบร้อน เมื่อพวกท่านตัดสินใจได้เมื่อไหร่ ให้ท่านเขียนจดหมายถึงข้าหรือมาพบข้าโดยตรงที่สมาคมประเมินสัตว์วิเศษแห่งเมืองเมเปิ้ล ข้ารอต้อนรับพวกท่านอยู่เสมอ”