ยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 706 หุบเขาหว่านเจียง(ฟรี)
ซู่เสี่ยวไป่เองก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็นนี้เหมือนกัน
สิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นช่องมิติขนาดใหญ่ที่ภายในนั้นมองเห็นแต่แสงของดวงดาวมากมาย ไม่เพียงว่าช่องมิตินี้มีเพียงปฐมตำนานขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าไปได้ แต่การเปิดช่องมิตินี้ยังต้องใช้พลังของจ้าวภัยพิบัติระดับสูงอีกด้วย
แต่ถึงอย่างงั้นดูเหมือนว่าจ้าวภัยพิบัติคนนี้จะต้องจ่ายในราคาที่สูงเหมือนกันเพื่อเปิดช่องมิติ ตั้งแต่เริ่มจนจบซู่เสี่ยวไป่สัมผัสได้เลยว่ามีผลึกต้นกำเนิดถูกใช้ไปจำนวนมาก
หมู่เมฆและหมอกค่อยๆ จางหายไป พร้อมกับช่องมิติที่ย่อขนาดลงจนเหลือแค่พอดีกับคนหนึ่งคนเดินเข้าไปได้
เฉียนฉี ยกเงาของซู่เสี่ยวไป่ที่ถูกผนึกเอาไว้ขึ้นมาแล้วโยนผ่านช่องมิตินี้ไปทันที ก่อนที่เขาจะเดินตามเข้าไป
แล้วภาพต่อจากนั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างหมุนไปหมด ท้องฟ้า อวกาศ มิติ เวลามันหมุนวนเละเทะไม่ต่างจากเอาช้อนมากวนโจ๊ก ทุกอย่างดูโกลาหลไปหมด เฉียดฉีเพียงบ่นหรือสวดอะไรสักอย่าง แล้วร่างของเขาก็เปล่งแสง และปกคลุมไปถึงร่างเงาก่อนที่เขาจะเดินทางผ่านออกจากช่องมิตินี้อย่างปลอดภัย
เมื่อก้าวข้ามผ่านช่องมิติออกมาได้แล้ว ที่ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นก็คือจักรวรรดิระดับสูงที่แปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ยินดีต้อนรับสู่หุบเขาหว่านเจียง ท่านเฉียนฉี”
มีกลุ่มของมหาจ้าวภัยพิบัติออกมาต้อนรับทันที และดูจากที่พวกเขาพูดสถานที่แห่งนี้น่าจะชื่อหุบเขาหว่านเจียง เป็นภูเขาที่ดูเก่าแก่ และมีรูปร่างเหมือนกับกลุ่มดาวที่รายล้อมดวงจันทร์ ซึ่งใจกลางของสถานที่แห่งนี้เป็นวิหารขนาดใหญ่
ที่รอบนอกนั้นนอกจากขุนเขาแล้วก็มีแม่น้ำนับหมื่นสายไหลผ่านอย่างเชี่ยวกราก อีกทั้งยังมีหมอกที่เกิดจากสายธารแห่งการเวลาอยู่เต็มไปหมด เป็นเหมือนปราการทางธรรมชาติ ที่หากไม่ผ่านช่องมิติเข้ามาคงไม่มีทางมาถึงที่นี่ได้
เฉียนฉี เป็นคนใกล้ชิดของตัวตนที่สูงส่งของดินแดนแห่งนี้ทั้งหมด ทำให้จักรวรรดิหว่านเจียงเองก็ยังต้องให้ความเคารพต่อเขา
เฉียนฉีแสดงตราประจำตัวเอง และพูดอย่างไม่เป็นพิธีมากนัก
“ฉันมีสิ่งที่สำคัญมากๆ นำมาให้ท่านจือ ตอนนี้ท่านอยู่ที่วิหารสูงสุดหรือไม่?”
“ท่านเฉียนฉี ตอนนี้ท่านหมิงตงได้มาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียน ท่านผู้สุงส่งทั้งสองกำลังพูดคุยและเล่นหมากรุกกันอยู่ในวิหารสูงสุด”
เฉียนฉีถึงกับตกใจ
“ท่านฑูตหมิงตงมายังงั้นหรอ? เขาเป็นศัตรูเก่าแก่ของท่านจือหยิงไม่ใช่รึ”
ซู่เสี่ยวไป่ที่ได้ยินก็รู้สึกสงสัยไปหมด
“ไหนบอกว่าเป็นศัตรูกัน ทำไมถึงมานั่งโขกหมากรุกด้วยกันแบบนี้ได้ล่ะ? นี้มันศัตรูบ้านไหนกัน?”
เขาได้แต่บ่นอย่างสงสัยอยู่ในใจและฟังทุกอย่างผ่านเงาต่อ
แล้วเฉียนฉีก็เปลี่ยนหัวข้อพูดทันที
“จ้าวปกครองซิจาง ท่านเตรียมเตาหลอมให้ท่านจือหยิงแล้วรึยัง?”
จ้าวปกครองซิจางรีบตอบทันที
“ท่านเฉียน เผ่าพันธ์ทั้งร้อยสามสิบเผ่าในจักรวรรดิแห่งนี้ได้ฟูมฟักเมล็ดพันธ์ที่ยอดเยี่ยมเอาไว้แล้ว ส่วนการหลอมก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
เฉียนฉีพยักหน้า ก่อนที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แต่นั้นยังไม่พอ นายท่านต้องการแหล่งพลังงานให้มากกว่านี้ เพื่อสะสมพลัง”
แม้ว่าหนึ่งในจ้าวภัยพิบัติที่ออกมาต้อนรับจะเป็นถึงจ้าวปกครอง แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะโต้เถียงแต่อย่างใด ได้แต่พยักหัวงกๆ เหมือนไก่จิกข้าวเปลือก
และยังได้นำตัวเมล็ดที่หล่อหลอมมาให้เฉียนฉีดูอีกด้วย
ทั้งหมดต้องการทำดีต่อเฉียนฉีเพื่อรักษาสายสัมพันธ์อันดีกับเจ้านายของเฉียนฉี
แม้ว่าซู่เสี่ยวไป่จะเคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าเมล็ดเหล่านี้มาแล้วก็ตาม แต่เมื่อมองและคิดย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิดของพวกมันก็ทำให้ท้องใส้เขาปั่นป่วน
หลังจากที่เฉียนฉีเห็นเมล็ดที่ผ่านการหลอมมาแล้ว ก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจอย่างมาก เขาสร้างช่องมิติเดินทางต่อไปยังวิหารสูงสุดทันที
“ช่องมิตินี้สะดวกเหมือนกันแฮะ”
ซู่เสี่ยวไป่อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความชื่นชม
เพราะปกติแล้วเงาจะเดินทางระหว่างดวงดาวหรือระหว่างดินแดนต้องใช้เวลานานพอสมควร
อย่างเช่นเงาที่จะเดินทางจากอาณาจักรหนึ่งปฐพีมายังจักรวรรดิฉีเย่นั้นต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม
เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการนี้แล้ว ความเร็วของช่องมิตินี้เร็วกว่าอย่างน่าเหลือเชื่อเพียงไม่กี่อึดใจการเดินทางข้ามระหว่างดินแดน หรือข้ามระหว่างพื้นที่ หรือจากสุดขอบดวงดาวทางเหนือไปอีกสุดขอบได้ในเวลาอันสั้น
ซู่เสี่ยวไป่จึงแอบจดจำรูปแบบการสร้างช่องมิตินี้มาด้วย และจะจัดสร้างอาคมแบบนี้ขึ้นที่อาณาจักรของเขา
วิหารหว่านเจียงนั้นตั้งอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงที่สุดของใจกลางดินแดน
รายล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่อีกนับร้อยลูก แต่ละลูกเปรียบเสมือนบริวารของจักรวรรดิแห่งนี้
มันได้รายล้อมวิหารเหมือนกับดวงดววที่รายล้อมดวงจันทร์ และเป็นที่อยู่อาศัยของจ้าวภัยพิบัติจำนวนมาก
จ้าวปกครองแห่งหว่านเจียงยืนอยู่ที่ด้านนอกของวิหารสูงสุด เขายืนหลับตาเหมือนกับรออะไรสักอย่างและปล่อยรัศมีที่ดูน่าเกรงขามออกมา
เมื่อได้ยินถึงการเคลื่อนไหวที่ด้านหลังของเขา เขาจึงหันกลับไปมอง และเห็นว่าเฉียนฉีมาถึงแล้ว พร้อมกับเห็นร่างเงาที่เฉียนฉีจับมาด้วย จากสัมผัสของเขาบอกว่าเงานี้มีเขตแดนภัยพิบัติขั้น 10
เมื่อรู้แบบนั้นเขาจึงยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหัว
“ท่านเฉียนฉี หากท่านคิดจะมอบสิ่งนี้ให้ท่านผู้อาวุโสดูละก็ ท่านคงไม่มีทางสนใจมันอย่างแน่นอน ยกเว้นแต่ว่ามันจะกลั่นเป็นเมล็ดพันธ์ได้ และมีพลังมากพอที่จะหล่อเลี้ยงท่านผู้อาวุโส ไม่งั้นสิ่งมีชีวิตจากดินแดนเบื้องล่างแบบนี้ ท่านคงไม่ชายตามอง”
เฉียนฉีได้ยินเช่นนั้นก็จึงพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
“เจ้านี้มีประโยชน์มากกว่าที่คิด แต่ข้าจะบอกความลับหนึ่งของมันให้ท่านฟัง เพราะสิ่งนี้ทำให้จักรวรรดิฉีเย่ถึงกับต้องพังพินาศ แม้แต่จ้าวปกครองฉีเย่เองก็ยังจนปัญญาที่จะจัดการมัน”
“เรื่องนี้จริงงั้นรึ”
จ้าวแห่งหว่างเจียงอุทานขึ้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แต่จักรวรรดิของเขาเองก็บาดหมางกับจักรวรรดิฉีเย่อยู่แล้ว ทำให้รู้ว่าสิ่งนี้ทำให้จักรวรดิฉีเย่พินาศเขาก็รู้สึกพึงพอใจมากกว่า
“เป็นความจริงแท้แน่นอน ก็ข้าอยู่ที่นั้นด้วย เลยจับมันมาเพื่อมอบให้ท่านจือหยิงศึกษามัน หากว่าสร้างสิ่งมีชีวิตแบบนี้ออกมาได้หรือเข้าใจหลักการของมัน ความเป็นอมตะนั้นก็อยู่ไม่ไกล”
เฉียนฉีพูดอย่างดีใจ ในช่วงเวลาเดียวกันซู่เสี่ยวไป่ก็ได้ใช้พลังของเขาตรวจสอบทุกอย่างอยู่เงียบๆ เพื่อที่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดพวกนี้ เขาส่งเงาไปที่หุบเขาหว่านเจียงด้วย และกระจัดกระจายไปสืบหาข้อมูลอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันจ้าวปกครองหว่านเจียงเองก็พูดเตือนขึ้น
“แต่ตอนนี้ท่านผู้อาวุโสกำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ พวกเราคงเข้าไปรบกวนไม่ได้ แต่หากว่าท่านบอกล่วงหน้าแล้ว ท่านเฉียนฉีคงเข้าไปพบได้ไม่มีปัญหา”