บทที่ 91 จารึกโบราณ
“ฮัชชิ้ว!”
บนภูเขานอกชานเมืองของเมืองหลวงโบราณ
หญิงสาวในชุดสำรวจสีขาวดำจามออกมาโดยไม่รู้ตัว นางรู้สึกว่ามีคนกล่าวลับหลังนาง
“พี่สาวซิ่วจู เจ้าไม่สบายหรือเปล่า?”
“เราทำสำรวจมานานแล้ว ทำไมเจ้าไม่พักก่อนละ?”
ไม่ไกลจากหญิงสาวผู้นั้น หญิงสาวผมสั้นในชุดนักโบราณคดีสีน้ำตาลได้กล่าวอยู่ข้างกำแพงของซากปรักหักพัง
“ทำไมข้าต้องพักล่ะ? ข้าชอบเล่นสกีบนภูเขาหิมะที่บ้านเกิดของข้า ไม่มีปัญหาหรอก” หลินซิ่วจูตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“นั่นก็จริง”
หญิงสาวผมสั้นลูบหัวของนาง ทุกคนเป็นนักฝึกสัตว์อสูรมืออาชีพ แม้ว่าที่นี่จะหนาวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรจะส่งผลกระทบต่อพวกเขาเลย
นี่เป็นซากปรักหักพังของอสูรกินเหล็ก
ในปัจจุบัน มีทีมนักโบราณคดีแปดคนที่สำรวจซากปรักหักพังนี้
มีชายห้าคนและหญิงสามคน เจ็ดคนเป็นนักศึกกษษจากสาขาโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ สำหรับหลินซิ่วจู นางเป็นนักวิจัยอสูรกินเหล็กและได้รับเชิญให้มาที่นี่เพื่อช่วยในการตรวจสอบ
ทุกคนได้สำรวจซากปรักหักพังนี้มาช่วงหนึ่งแล้ว การรวบรวมและการคัดแยกเครื่องมือโบราณ หินแกะสลัก และวัตถุโบราณอื่นเสร็จแล้ว ทว่าก็ยังมีข้อมูลพิเศษอีกเยอะที่ไม่สามารถตีความได้
เป้าหมายสูงสุดของโบราณคดีก็คือการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของช่วงเวลานั่น ในขณะนี้ เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ยังไม่ได้ตรวจสอบความหมายเบื้องหลังซากปรักหักพังนี้
หลินซิ่วจูมองไปที่นักศึกษาโบราณคดีที่กำลังตรวจสอบและตกปลาในเวลาเดียวกัน จากนั้นนางก็ถอนหายใจออกมา
ข้อมูลเดียวที่รู้ก็คือที่นี่เป็นซากปรักหักพังของชนเผ่าที่บูชาอสูรกินเหล็กในสมัยโบราณ ที่นี่ไม่มีอะไรเลย
ในตอนแรก นางคิดว่านางสามารถค้นพบสิ่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็ก ทว่าดูเหมือนว่านางจะคิดมากเกินไป…
“อึด?”
ในขณะที่หลินซิ่วจูรู้สึกหมดหนทาง โทรศัพท์ของนางก็ดังขึ้น
หลังจากที่ได้เห็นผู้ที่โทรมา สีหน้าของนางก็ผ่อนคลานลง
พ่อของนางกลับมาจากภูเขาหิมะแล้วเหรอ?
ฮึ่ม ตาแก่ผู้นี้ต้องโทรหาทันทีเมื่อเขารู้ว่านางยังไม่กลับบ้านเพราะเขาคงคิดถึงนางมากเกินไป!
“สวัสดี…”
หลินซิ่วจูออกจากซากปรักหักพังและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เสียงของหลินฮงเหนียนดังมาจากอีกด้านหนึ่งในทันที
“ซิ่วจู เจ้ายังตรวจสอบซากปรักหักพังของอสูรกินเหล็กกับรุ่นน้องพวกนั้นอยู่ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
“ความคืบหน้าเป็นยังไงบ้าง?”
“ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก ทว่าข้าได้ยินมาว่าอจารย์จากสาขาโบราณคดีจะมาแนะนำในอีกสองวัน ตอนนั้นอาจมีความคืบหน้า”
“ท่านพ่อ ท่านไม่สนใจซากปรักหักพังนี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมท่านถึงถามขึ้นมาอย่างกะทันหันล่ะ?” หลินซิ่วจูม้วนริ้มฝีปากของนาง
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เมื่ออาจารย์ของนางแจ้งให้นางรู้ว่ามีซากปรักหักพังของอสูรกินเหล็กปรากฎออกมาในเมืองหลวงโบราณและเชิญนางให้ช่วยในการวิจัย หลินฮงเหนียนไม่สนใจเลย
มีอะไรให้วิจัยเกี่ยวกับซากปรักหักพังกัน? การใช้ชีวิตในอดีตเหรอ? การฝึกสัตว์อสูรและวิจัยความก้าวหน้าใหม่นั้นเป็นเรื่องดีกว่าเสียอีก
ความเข้าใจของคนโบราณเกี่ยวกับอสูรกินเหล็กอาจไม่จำเป็นต้องดียิ่งกว่านักฝึกอสูรกินเหล็กในปัจจุบัน
“ฮ่าๆๆๆ…” หลินฮงเหนียนหัวเราะออกมาอย่างเคอะเขิน อย่างไรก็ตาม เขาจะรู้ได้ยังไงกันว่าอสูรกินเหล็กจะสิ่งที่เรียกว่าสายเลือดโบราณจริง? มีร่องรอยของการววิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กในสมัยโบราณ นี่เป้นการตอบหน้าเขาอย่างแท้จริง
“สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วซิ่วจู ซืออวี๋ก็อยู่ในเมืองหลวงโบราณเช่นกัน ข้าติดต่อเขาไปแล้ว ต่อจากนี้ ติดต่อเขาอีกครั้งและขอให้เขาช่วยเจ้าตรวจสอบซากปรักหักพังนี้”
“อ่า ทำไมเหรอ?” หลินซิ่วจูตกตะลึง ซืออวี๋เหรอ?
ซืออวี๋เกี่ยวข้งกับซากปรักหักพังอสูรกินเหล็กนี้เหรอ?
“ในช่วงที่เจ้าไม่ได้อยู่ในเขตผิงเฉิง ซืออวี๋ได้ถอดรหัสซากปรักหักพังเขตผิงเฉิงแล้ว เนื่องจากโอกาสบางอย่าง อสูรกินเหล็กของเขาจึงปลุกสายเลือดโบราณผ่านน้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการในเมืองทุ่งน้ำแข็งและมีร่องรอยของการวิวัฒนาการ”
“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงเห็นคุณค่าซากปรักหักพังอสูรกินเหล็กที่เจ้ากล่าวถึงก่อนหน้านี้อย่างกะทันหัน สรุปแล้ว หากเจ้ายังไม่มีความคืบหน้า บางทีเจ้าอาจเชิญซืออวี๋มาลองดูก็ได้”
“อะไรนะ!!!”
เมื่อหลินฮงเหนียนกล่าวจบ หลินซิ่วจูก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
เสียงตะโกนนี้ทำให้คนอื่นในทีมโบราณคดีมองนางด้วยความสับสนในทันที
เกิดอะไรขึ้นกับรุ่นพี่แพนด้ากัน?
เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาไม่มีความคืบหน้ามากนักทำให้รุ่นพี่แพนด้ายอมแพ้อย่างกะทันหัน?
“ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะติดต่อเขาเดี๋ยวนี้เลย!”
หลังจากหลินฮงเหนียนอธิบายอย่างชัดเจน ดวงตาของหลินซิ่วจูก็เปล่งประกาย และร่างกายของนางก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ทุกคน มีความคืบหน้าใหม่”
“ข้าเพิ่งได้รับข้อมูลจากพ่อของข้าว่าอสูรกินเหล็กมีรูปแบบการวิวัฒนาการในสมัยโบราณ ต่อไป เราอาจตรวจสอบในทิศทางนี้ได้”
“เขาจ้างคนมาช่วยเราในการวิจัยของเรา”
“จริงเหรอ?!” เมื่อหลินซิ่วจูกล่าวจบ กลุ่มนักศึกษาโบราณคดีก็ตกตะลึง จกานั้นพวกเขาก็แสดงสีหน้ามีความสุขออกมา
พวกเขารู้ว่าพ่อของหลินซิ่วจูคือใคร ท้ายที่สุด เขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูรปรมจารย์ที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง
เนื่องจากมันเป็นข้อมูลจากปรมจารย์หลิน มันจึงต้องมีมูลอย่างแน่นอน
“รุ่นพี่ ผู้เชี่ยวชาญที่เจ้าบอกจะมาถึงตอนไหน? เจ้าต้องการให้เราไปเจอเขาไหม?”
ทุกคนรอคอย แม้ว่านี่จะเป็นเพียงซากปรักหักพังขนาดเล็กและดูเหมือนจะไม่มีข้อมูลสำคัญ หากพวกเขาสามารถถอดรหัสรูปแบบการวิวัฒนาการโบราณของสัตว์เลี้ยงได้ นั่นก็จะเป็นการเก็บเกี่ยวที่ดี พวกเขาประเมินว่าพวกเขาสามารถได้รับหน่วยกิตมหาศาล
“รอสักพักหนึ่ง ข้าจะโทรหาเขาก่อน”
“นอกจากนี้ ข้าไม่แน่ใจว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญไหม…”
…
หลังจากกล่าวกับปรมจารย์หลิน ซืออวี๋ก็ไม่ง่วงนอนอีกต่อไป
เขานอนไม่หลับเลย เมื่อคิดถึงสิ่งที่เรียกว่าซากปรักหักพังของอสูรกินเหล็กโบราณ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาก็ได้รับการโทรมาจากหลินซิ่วจู
“ไม่จำเป็น บอกตำแหน่งมาก็พอแล้ว ข้าจะนั่งแท็กซี่ไปที่นั่น”
ซืออวี๋อดไม่ได้ที่จะพบว่านี่น่าขันเล็กน้ยเมื่อเขาได้ยินความคาดหวัง ความกังวลใจ และความวิตกในน้ำเสียงของนาง
เขานึกถาพรุ่นพี่แพนด้าที่ทำอะไรไม่ถูกซึ่งยืนอยู่นอกซากปรักหักพัง
ซืออวี๋ยืนยันตำแหน่งของซากปรักหักพังอสูรกินเหล็ฏโบราณอย่างรวดเร็วและเริ่มเก็บของ
ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดเช่นกัน…
“อีเลฟเว่น!”
ซืออวี๋หัวเราะออกมาและดึงอีเลฟเว่นออกจากมิติซากปรักหักพัง
อีเลฟเว่น : o(≧口≦)o
ดูเหมือนว่ามันจะบอกว่า “อะไรอีก?”
“เอ่อ ข้าจะบอกว่ายังไงดี? ขุด… ไม่สิ ไปดูซากปรักหักพังของบรรพบุรุษของเจ้าไหม? ไปด้วยกันไหม?!”
อีเลฟเว่น :???
อีเลฟเว่นตกตะลึงก่อนที่จะถูกซืออวี๋หลอก
ซากปรักหักพังอยู่ไม่ไกลมากนัก
ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ซืออวี๋ก็มาถึงนอกแนวภูเขาในเขตซานเมืองของเมืองหลวงโบราณ
หลังจากซืออวี๋มาถึงจุดหมายของเขา กลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณก็ได้ออกมาต้อนรับซืออวี๋ภายใต้การนำของหลินซิ่วจูที่ทางเข้าภูเขาแล้ว
“เขามาแล้ว!”
เมื่อหลินซิ่วจูเห็นร่างของซืออวี๋ นางก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมกา กลุ่มนักศึกษาโบราณคดีก็ประเมินซืออวี๋
ตอนนี้ พวกเขาได้รับข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับซืออวี๋จากหลินซิ่วจูแล้ว
เขามาจากเมืองเดียวกับหลินซิ่วจู เขามีอสูรกินเหล็กที่ปลุกสายเลือดโบราณ เขายังมีส่วนร่วมในการถอดรหัสซากปรักหักพังเช่นกัน!
อย่างไรก็ตาม เขายังเป็นนักฝึกสัตว์อสูรอายุน้อยและไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ
“ขอโทษที่ให้รอ” ซืออวี๋ก้าวไปสองสามก้าวและมาตรงหน้าฝูงชน
ในขณะเดียวกัน เขาก็ประเมินคนอื่นนอกเหนือจากรุ่นพี่แพนด้าและรู้สึกใกล้ชิดทันที
คนกลุ่มนี้ได้แสดงสัมพัสที่เขาคุ้นเคยออกมาจากจิตวิญญาณของพวกเขา พวกเขาไม่ดูมีพลังชีวิตเลย พวกเขารู้สึกแก่มาก
“ไม่เป็นไร” นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณกล่าวออกมา
“ลำบากเจ้าแล้ว” รุ่นพี่แพนด้ากล่าวออกมา จากนั้นนางก็ตกตะลึงอย่างรวดเร็ว
อีเลฟเว่นที่สังเกตเห็นสีหน้าอันไร้ความหวังบนไหล่ของซืออวี๋ก็ได้ตกตะลึงอย่างกะทันหัน
“นี่…???”
“อู๋!” อีเลฟเว่นทักทายพี่สาวใหญ่ซิ่วจู
“อีเลฟเว่น???” หลินซิ่วจูตกตะลึง เกิดอะไรขึ้น ทำไมอีเลฟเว่นถึงตัวเล็กมาก!!
“อ่อ นั่นอสูณกินเหล็กเหรอ?”
คนอื่นมองไปที่อสูรกินเหล็กน้อยบนไหล่ของซืออวี๋และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย
นี่…
มันดูไม่เหมือนกับลูกสัตว์อสูร แต่ดูคล้ายกับตุ๊กตา เกิดอะไรขึ้น?
“ไม่มีอะไร ข้าสอนทักษะการทวีคูณให้แก่มัน ในตอนนี้มันอยู่ในสถานะหดตัว” ซืออวี๋กล่าวออกมา
“อสูรกินเหล็กสามารถเรียนรู้การทวีคูณได้งั้นเหรอ?” เมื่อซืออวี๋กล่าวจบ นักโบราณคดีคนอื่นก็ประหลาดใจในทันที
ในปัจจุบัน เนื่องจากพวกเขากำลังวิจัยซากปรักหักพังอสูรกินเหล็ก พวกเขาจึงทำการบ้านเกี่ยวกับอสูรกินเหล็กอย่างหนัก
นอกเหนือจากข้อมูลพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับอสูรกินเหล็กแล้ว พวกเขายังเข้าใจทักษะทั้งหมดของเผ่าพันธุ์อื่นที่อสูรกินเหล้กสามารถเรียนรู้ได้
ตัวอย่างเช่น อสูรกินเหล็กของศูนย์ฝึกศิลาไผ่มีชื่อเสียงอย่างมากในทักษะ ‘ฝ่ามือสายฟ้า’ และ ‘หมัดปืนใหญ่’
ตัวอย่างเช่น อสูรกินเหล็กของปรมาจารย์คนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในทักษะ ‘คลื่นเหล็ก’ นี่เป็นทักษะคลื่นเสียงของธาตุโลหะที่สามารถทำให้ร่างกายส่งเสียงโลหะออกมาได้ตลอดเวลา
นอกเหนือจากนั้น ยังมีวิธีการฝึกฝนนอกรีตอื่นอีก
กล่าวโดยย่อแล้ว การตรวจสอบอสูรกินเหล็กของพวกเขาควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับอสูรกินเหล็กที่สามารถใช้การทวีคูณได้
“เป็นเพราะมันได้ปลุกสายเลือดโบราณเหรอ??” หลินซิ่วจูเอ่ยถาม
“นั่นเป็นไปได้อย่างแท้จริง ขนาดของอสูรกินเหล็กโบราณนั้นตัวใหญ่กว่าในปัจจุบันมาก” ซืออวี๋พยักหน้า
อีเลฟเว่นหลับตาลงและตกอยู่ในห้วงความคิด ซืออวี๋ไม่ได้สอนวิธีการทวีคูณให้แก่มันด้วยสูตรโกงของเขาเหรอ?
อย่างไรก็ตาม ซืออวี๋ไม่ปล่อยให้มันกล่าวถึงเรื่องไร้สาระนี้ ดังนั้นอีเลฟเว่นจึงปิดปากอย่างเชื่อฟังและแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
แพนด้ากำลังแกล้งเป็นใบ้
“เจ้าพาข้าไปดูซากปรักหักพังก่อนได้ไหม?” ซืออวี๋เอ่ยถามออกมา
“ตกลง” หลินซิ่วจูพยักหน้า คนอื่นก็พยักหน้าเช่นกัน
จากนั้นทุกคนก็เริ่มเดินไปที่ซากปรักหักพังบนภูเขา
ในระหว่างนี้ ซืออวี๋ก็คอยเอ่ยถามพวกเขาเกี่ยวกับซากปรักหักพัง
“ยุคของซากปรักหักพังถูกยืนยันแล้วงั้นเหรอ?”
“ประมาณ 4,400 ถึง 4,500 ปีก่อน” นักโบราณคดีกล่าวออกมา
ซืออวี๋พยักหน้า คราวนี้ละเอียดอ่อนมาก มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตณ์ของโลกนี้
“เป้าหมายหลักของการตรวจอบในปัจจุบันคืออะไร?”
“มีสิ่งของจำนวนมาก ทว่าพวกมันเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น”
“นอกจากนั้น ข้ายังพบชิ้นส่วนโลหะที่ถูกเก็บไว้อย่างดี หลังจากตรวจสอบแล้ว ข้าสงสัยว่ามันจะเป็นเศษเกราะต่อสู้จากการต่อสู้ในสมัยโบราณ”
“ข้อมูลที่มีค่าที่สุดก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังบนกำแพงหินของซากปรักหักพังและสัญลักษณ์ประหลาดบางอย่าง อย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์พวกนี้ไม่เหมือนกับอักษรโบราณไหนเลยในปัจจุบัน พวกมันไม่ใช่คำยอดนิยมเมื่อประมาณ 4,500 ปีก่อนเลย แต่ไม่ว่ายังไงก็มีสัญลักษณ์ที่คล้ายกกันบนเศษโลหะนั่น”
เมื่ออีกฝ่ายกล่าวจบ ซืออวี๋ก็ตกตะลึงเล็กน้อย เขากล่าวด้วยสีหน้าคาดหวังเล็กน้อย
“โปรดพาข้าไปดูเศษเกราะนั่นก่อน”
“อ่า ตกลง”
บางคนมองไปที่ซืออวี๋ผู้ที่เพิ่งมาถึงอย่างแปลกประหลาด น้องชายน้อยผู้นี้ค่อนข้างเข้ากับพวกเขา? ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจซากปรักหักพังอสูรกินเหล็กมากยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก!
ในไม่ช้า ซืออวี๋ก็เดินตามพวกเขาไปที่ค่ายโบราณคดีที่ตั้งขึ้นนอกซากปรักหักพัง
ในขณะที่พวกเขาเข้าไปในเต็นท์ ซืออวี๋ก็เห็นว่าเศษเกราะที่พวกเขากำลังกล่าวถึงนั้นเป็นเศษโลหะขนาดเท่าฝ่ามืออย่างแท้จริง
ในภาชนะแก้ว เศษโลหะวางอยู่อย่างเงียบสงบ
มีสัญลักษณ์ประหลาดบนเศษโลหะ
“สัญลักษณ์นี้…”
ภายใต้การจ้องมองของทุกคน ซืออวี๋จ้องไปที่สัญลักษณ์อย่างตั้งใจ
จากนั้นราวกับว่าเขาได้กระตุ้นความทรงจำบางอย่าง คลื่นลูกใหญ่ได้พวยพุ่งออกมาในใจของเขา
บัดซ*
ซืออวี๋ตกตะลึงและมึนงงในทันที เขาจำได้หมดแล้ว
เพราะเขาเคยเห็นสัญลักษณ์นี้มาก่อน
บน ‘โลก’ สัญลักษณ์เดียวกันนี้ถูกบันทึกไว้ในระบบเทพนิยายที่ไม่เป็นที่นิยมซึ่งเขาและอาจารย์เคยศึกษาพวกมัน!
Fanpage : ผีเสื้อกลางคืน