บทที่ 90 ซากปรักหักพังอสูรกินเหล็ก
ด้วยดาบในมือ ซืออวี๋จึงรู้สึกกล้าขึ้นมาในทันใด
เขารู้สึกว่านี่เป็นหนทางที่เหมาะสมกับผู้ถูกส่งข้ามโลก การเป็นนักดาบนั้นเท่ห์ยิ่งกว่านักฝึกสัตว์อสูรไม่ใช่เหรอ?
ในโลกภายนอก หลังจากการกระทำที่กะทันหันของซืออวี๋ หญิงชราที่เป็นผู้ดูแล สาวหูสัตว์ไป่ซี และราชาแพนด้าอีเลฟเว่นต่างก็ตกตะลึง
“หือ? Σ (° △ °lll)”
อีเลฟเว่นกำลังมองภาพนั้นด้วยความสับสน
มันกำลังคิดว่า “ซืออวี๋ เจ้ากำลังทำอะไร? ซืออวี๋ ใจเย็นก่อน!”
เจ้าทำไม่ได้หรอก!
“ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจแล้ว”
หลังจากเงียบไปสักพักหนึ่ง ไป่ซีก็กล่าวว่า “นักฝึกสัตว์อสูรที่แท้จริงต้องมีความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรด้วยตัวพวกเขาเอง”
“แม้ว่าข้าจะคาดว่าเขาจะถูกทุบตี แต่นี่ก็จะกลายเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าสำหรับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย…”
ในขณะที่มนุษย์และแพนด้าแสดงความคิดเห็น ร่างของซืออวี๋ก็ถูกกลุ่มสัตว์อสูรกลืนกินไปแล้ว มีเพียงดาบกระดูกที่หลงเหลืออยู่ที่นั่น…
…
“โอ้ยยย!”
“มันเจ็บมาก”
ปล่อยให้คนอื่นเป็นนักดาบไป ในอนาคต เขาจะเพิ่มแต้มอยู่ด้านหลังและเฝ้าดูการต่อสุ้ของสัตว์อสูรของเขา!
ในไม่ช้า ซืออวี๋ก็ถูกทุบตี
เมื่อซืออวี๋ออกมา สาวหูสัตว์ไป่ซีก็มองเขาด้วยรอยยิ้มอันบางเบา
“อู๋” อีเลฟเว่นปิดหน้าของมันและเอ่ยถามซืออวี๋ว่าเขาต้องการให้มันช่วยแก้แค้นไหม
ในปัจจุบัน ซืออวี๋เท่ห์ได้ไม่นานนัก เขาถูกกลุ่มสัตว์อสูรดุร้ายทุบตีโดยตรง เขายังต้องพึ่งพาการไร้ตัวตนของเขาในการหลบหนี
“ข้าไม่ได้เห็นชายหนุ่มที่กล้าหาญเช่นนี้มานานแล้ว”
ผู้ดูแลหญิงชรามีรอยยิ้มบนใบหน้าของนางเช่นกัน อารมณ์ด้านลบทั้งหมดจากความพ่ายแพ้เกมได้หายไปแล้ว และนางก็อารมณ์ดีมาก
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราจะได้เห็นว่าซืออวี๋จะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรที่นำพาความสุขมาสู่ผู้คน
“ข้านึกว่าข้าสู่ไหว” ซืออวี๋ดูผิดหวังมาก
เหตุผลหลักก็คือมีศัตรูมากเกินไป เขาถูกทุบตีก่อนที่เขาจะได้ใช้ทักษะดาบที่เขาได้เรียนรู้บน ‘โลก’ ด้วยซ้ำ…
แม้ว่าจะไม่มีอันตราย แต่ความเจ็บปวดก็ยังคงมีอยู่ ซืออวี๋รู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าที่จะบรรยายได้
เฮ้อ เมื่อไหร่เขาจะมีทักษะเท่ากับเฉินหลงกัน…
ไป่ซีกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ระดับพื้นฐานที่สุดของที่นี่ได้เตรียมไว้สำหรับนักฝึกสัตว์อสูรที่สูงกว่าระดับมืออาชีพ”
“การที่เจ้าตอบสนองไม่ทันเป็นเรื่องปกติ หากเจ้าไม่มีการไร้ตัวตน ด้วยร่างกายของนักฝึกสัตว์อสูรฝึกหัดและไม่พึ่งพาสัตว์อสูร การที่เจ้าสามารถยืนหยัดได้สักพักหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว”
ซืออวี๋ :“…”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาเพิ่งท้าทายการต่อสู้ที่สูงกว่าระดับของเขาเหรอ?
ทำไมนางไม่บอกกก่อนล่ะ? หากนางบอกให้เร็วกว่านี้ เขาคงเปลี่ยนวิธีการท้าทายของเขาและใช้การไร้ตัวตนต่อไป!
อาหารเสริม + การไร้ตัวตน เขาสามารถยืนหยัดได้โดยตรงจนกว่าพลังงานของที่นี่จะหมด!
แน่นอน นี่เป็นเรื่องเกินจริง…
ในขณะที่ไป่ซีกำลังจะกล่าวบางสิ่ง โทรศัพท์ของนางก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
นางหยิบโทรศัพท์ของนางออกมาและรับสาย จากนั้นนางก็พยักหน้าอย่างกะทันหันและกล่าวว่า “ตกลง อีกสักพัก ข้าจะไปที่นั่น”
หลังจากวางสาย นางก็มองไปที่ซืออวี๋ด้วยความขอโทษและกล่าวว่า “ข้ามีบางอย่างต้องทำอย่างกะทันหัน ข้าจะแสดงให้เจ้าดูในวันหลัง”
“คำแนะนำของข้าก็คือให้เจ้าใช้สถานที่ฝึกฝนที่นี่เพื่อฝึกฝนการไร้ตัวตนของเจ้าก่อน”
“หลังจากที่เจ้าเชี่ยวชาญการไร้ตัวตนมากพอ เจ้าสามารถใช้การไร้ตัวตนได้ในทันทีและไร้ตัวตนบางส่วนได้ ในสถานะนั้น เจ้าสามารถใช้พรสวรรค์ฝึกสัตว์อสูรอื่นเพื่อสั่งการ อัญเชิญ และดึงสัตว์อสูรของเจ้ากลับมาได้ นี่เร็วและสะดวกกว่าการซ่อนตัวอยู่ในซากปรักหักพังเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับอันตราย”
“ในการต่อสู้ของนักฝึกสัตว์อสูรตำนาน โดยพื้นฐานแล้ว นักฝึกสัตว์อสูรจะอยู่ในสถานะไร้ตัวตนตลอดเวลา มิฉะนั้น นักฝึกสัตว์อสูรจะไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ระดับนั้นได้เลย”
“เจ้ามีลูกปัดซากปรักหักพังและสามารถสัมผัสกับพลังนี้ได้ล่วงหน้า เจ้าจะไม่เสียเปรียบหากเจ้าฝึกฝนก่อน มันถือได้ว่าเป็นพื้นฐานสำหรับเจ้าในการเป็นนักฝึกสัตว์อสูรตำนานในอนาคต!”
“ตกลง” ซืออวี๋พยักหน้าและกล่าวเสริมว่า “ถ้าเช่นนั้น รุ่นพี่ไป่ เจ้าไปทำธุระของเจ้าก่อนได้เลย”
ทักษะการไร้ตัวตนนี้จำเป็นต้องฝึกฝนอย่างแท้จริง มันเป็นทักษะการรักษาชีวิตอย่างสมบูรณ์
“เอาล่ะ แต่ไม่ว่ายังไง สำหรับสถานที่ฝึกฝนอื่น หากเจ้าจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสัตว์อสูรของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าสามารถพักเรื่องนี้ไว้ก่อนได้ อย่างไรก็ตาม เจ้ามีลูกปัดซากปรักหักพัง ประสิทธิภาพการฝึกฝนของสัตว์อสูรในสถานที่ฝึกฝนอื่นอาจไม่ดีเท่ากับในมิติอาณาจักรลับของซากปรักหักพัง”
“ระดับของสถานที่ฝึกฝนที่มีผลชัดเจนนั้นเจ้าไม่สามารถเข้าไปได้ ส่วนสถานที่ฝึกฝนที่มีผลไม่ชัดเจนนั้นด้อยกว่าลูกปัดซากปรักหักพัง… นั่นเป็นการเสียเวลาเปล่า”
ไป่ซีปรบมือและกล่าวว่า “ทว่าทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของเจ้า ข้าไปก่อนนะ ข้าจะติดต่อเจ้าในภายหลังเพื่อพาเจ้าไปยังสาขาโบราณคดี”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น ไป่ซีก็ฝากซืออวี๋ไว้กับหญิงชราและจากไปอย่างเร่งรีบ
“ไป่ซีน้อยเป็นรองประธานชมรมต่อสู้ของมหาวิทยาลัย นางกำลังเตรียมตัวสำหรับลีกมหาวิทยาลัยที่ใกล้เข้ามา ดังนั้นนางจึงอาจจะยุ่งเล็กน้อย” ผู้ดูแลมองไปที่ร่างที่จากไปของไป่ซีและอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“เป็นยังไงบ้าง? เจ้าต้องการท้าทายต่อไหม?”
หญิงชราไม่ได้เอ่ยถามถึงตัวตนของซืออวี๋เช่นกัน ดูแลเขาโดยตรงราวกับเขาเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ
“ไม่ ข้าจะกลับไปศึกษามันอย่างละเอียดก่อน”
“ข้าจะมาอีกในภายหลัง ขอบคุณมาก” ซืออวี๋มองไปที่ผู้ดูแลหญิงชราและกล่าวออกมา
หากหญิงชราผู้นี้สามารถเป็นผู้ดูแลในสถานที่เช่นนี้ได้ อย่างน้อยนางก็น่าจะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรปรมจารย์
“ตกลง พวกเจ้าควรรีบจากไปได้แล้ว ข้าจะเล่นเกมต่อ” หญิงชรากล่าวออกมา
ซืออวี๋และอีเลฟเว่น :???
ทำไมซืออวี๋ถึงรู้สึกว่ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณไม่มีอนาคตอย่างกะทันหัน…
…
จากนั้นซืออวี๋ก็ออกจากสถานที่ฝึกฝนด้วยสีหน้าตกตะลึง
หลังจากออกมา ซืออวี๋ก็ส่ายหัวและถอนหายใจ
“ข้ารู้สึกว่าข้าต้องทำบางสิ่ง” เขาหยิบบัตรทดสอบจำกัดเวลาที่ไป่ซีมอบให้แก่เขาและรู้สึกหดหู่ใจ
ในช่วงเวลาครึ่งเดือน เขาสามารถใช้สถานที่ฝึกฝนนั่นเพื่อฝึกฝนการไร้ตัวตนของเขาได้
หากไม่ใช่จะเป็นการสูญเปล่ามาก
เขาควรจะใช้มัน เขาต้องไปและถูกทุบตีโดยสัตว์อสูรทุกวัน นี่ซับซ้อนมาก
“ลืมไปเถอะ การที่ข้าจะเหนือกว่าคนอื่นได้ ข้าต้องผ่านความทุกข์ยากก่อน!” ซืออวี๋กัดฟันแน่นและตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับมัน
แม้ว่าเขาจะสามารถฝึกฝนการไร้ตัวตนแบบส่วนตัวได้ แต่มันไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับการฝึกฝนในสภาพแวดล้อมดังกล่าวได้อย่างแน่นอน
“อู๋!”
บนไหล่ของซืออวี๋ อีเลฟเว่นรู้สึกว่านั่นสมเหตุสมผล เมื่อผ่านความทุกข์ยาก เราก็จะเหนือกว่าคนอื่น!
อีเลฟเว่น : o(一〈一+)o ถ้าเช่นนั้นซืออวี๋จะให้มันไปฝึกฝนตอนไหนกัน?
ซืออวี๋ฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก ทว่าเขาไม่ปล่อยให้มันฝึกฝนหนักเช่นเดียวกัน นั่นชั่วร้ายเกินไปแล้ว
ซืออวี๋ :“…”
การแข่งขันนี้คืออะไรกัน?
ดูเหมือนว่าอีเลฟเว่นจะไม่มีวันได้สัมผัสกับความสุขของการนอนเล่นอย่างขี้เกียจอีกต่อไปแล้ว
“นี่เที่ยงแล้ว”
ในขณะเดียวกัน ซืออวี๋ก็มองไปที่เวลาและลูบท้องของเขา เขาตัดสินใจแล้วว่าจะกินข้าวและงีบหลับสักพักหนึ่ง
การไร้ตัวตนนั้นเหนื่อยล้าเกินไป
หลังจากกินอาหารเสริมและงีบหลับไปสักพัก เขาก็จะตัดสินใจว่าจะไปที่ไหนในตอนบ่าย
…
ในโรงแรม
หลังจากที่ซืออวี๋อิ่มและอนุญาตให้อีเลฟเว่นกับบักกี้ทำตามความปรารถนาของพวกมันและเข้าไปในซากปรักหักพังเพื่อฝึกฝนพิเศษ เขาก็เริ่มกอดหมอนและเตรียมตัวนอน
อย่างไรก็ตาม ราวกับสวรรค์ไม่ต้องการให้ซืออวี๋พักผ่อน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาและทำให้ซืออวี๋ตื่นขึ้นมาทันที
“ใครกัน!”
มีคนไม่มากนักที่รู้เบอร์ของเขา
นอกเหนือจากคนส่งของแล้ว มีเพียงสามสาวที่ร่ำรวย ปรมจารย์หลิน และประธานเฟิงเท่านั้นที่รู้
เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สัดส่วนของหญิงสาวที่ร่ำรวยในรายชื่อผู้ติดต่อของเขาดูเหมือนจะสูงเกินไปเล็กน้ออย…
ซืออวี๋มองไปที่ชื่อผู้ที่โทรมาอย่างรู้สึกผิดและค้นพบอย่างน่าประหลาดใจว่าคือปรมจารย์หลิน
“เอ่อ…”
“ปรมจารย์หลินงั้นเหรอ?” ซืออวี๋หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ในอีกด้านหนึ่ง ปรมจารย์หลินเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปที่เมืองหลวงโบราณแล้วงั้นเหรอ?”
ซืออวี๋ : “ใช่แล้ว”
ก่อนที่เขาจะมายังเมืองหลวงโบราณ เขาได้พูดคุยกับสมาชิกของศูนย์ฝึกศิลาไผ่และประธานเฟิง
สำหรับปรมจารย์หลิน เมื่อซืออวี๋ออกเดินทาง ดูเหมือนว่าเขาจะยังคงอยู่บนภูเขาหิมะ
“แต่ไม่ว่ายังไง เจ้าเพิ่งไปภูเขาหิมะมาใช่ไหม? สถานการณ์ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง?”
“พวกมันเป็นเพียงแค่กลุ่มสัตว์อสูรป่า พวกมันไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง ผู้บัญชาการหวังเมิ่งและข้าได้กวาดล้างพื้นที่รอบนอกของภูเขาหิมะแล้ว สถานการณ์อยู่ในการควบคุมแล้วตอนนี้” หลินฮงเหนียนกล่าวเสริมว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถอดรหัสซากปรักหักพังทดสอบนั่นได้แล้วงั้นเหรอ?”
“หลังจากที่ข้าออกมา เฒ่าเฟิงได้บอกข้าทุกอย่างแล้ว”
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาแนะนำซืออวี๋ให้ไปฝึกฝนที่นั่น ทว่าเขาไม่คิดว่าซืออวี๋จะสามารถผ่านหกด่านและเติบโตได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
อีเลฟเว่นเพิ่งเริ่มเรียนรู้ฝ่ามือสายฟ้าในตอนที่เขาตัดสินไปไปภูเขาหิมะ…
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาออกจากภูเขาหิมะ เขาก็ได้ยินข้อมูลที่ไร้สาระจากประธานเฟิง
ทักษะผสานของฝ่ามือสายฟ้าขั้นชำนาญและการเคลือบแข็งขั้นชำนาญ?
อสูรกินเหล็กน้อยที่เชี่ยวชาญการปราบปรามขั้นชำนาญ?
อสูรกินเหล้กที่ถูกสงสัยว่าได้ปลุกสายเลือดโบราณหลังจากออกมาจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์?
ด่านที่หกของซากปรักหักพังคือมังกรน้ำแข็งมายางั้นเหรอ? ซืออวี๋ยังเอาชนะมันได้อีก?
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หลินฮงเหนียนก็สงสัยว่าเขายังคงอยู่บนภูเขาหิมะและไม่ได้ออกมา สัตว์อสูรบนภูเขาหิมะได้ใช้ภาพมายาใส่เขา
กล่าวโดยย่อแล้ว เรื่องเล่าของประธานเฟิงนั้นไร้สาระมาก
ราวกับว่าเขาได้ออกเดินทางมาหลายปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ท้ายที่สุด ซืออวี๋ได้รับคำแนะนำโดยหลู่ชิงอี้ซึ่งเป็นอัจฉริยะที่อยู่ระดับปรมจารย์ในวัยยี่สิบปี
ด้วยความช่วยเหลือของหลู่ชิงอี้ การที่ซืออวี๋จะไร้สาระเล็กน้อยจึงเป็นเรื่องปกติ
หลินฮงเหนียนกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับน้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการและสายเลือดโบราณของอสูรกินเหล็ก
เดิมทีแล้วเขาต้องการไปหาซืออวี๋เป็นการส่วนตัวเพื่อสอบถาม ทว่าซืออวี๋ไม่ได้อยู่ในเขตผิงเฉิงแล้ว ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่โทรหาซืออวี๋
“ข้าได้ยินมาว่าอสูรกินเหล็กของเจ้าได้รับบางอย่างมาจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการ ดูเหมือนว่ามันจะได้ปลุกสายเลือดโบราณบางอย่างขึ้นมางั้นเหรอ?” หลินฮงเหนียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
“เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้ไหม?”
อีกด้านหนึ่งของสาย ซืออวี๋เงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่จะกล่าวว่า “ข้าคิดว่านั่นน่าจะเป็นสายเลือดโบราณ มันอาจจะเป็นอสูรกินเหล็กเมื่อหลายพันหรือหลายหมื่นปีก่อน”
“อันที่จริง รูปแบบก็ไม่ต่างจากในตอนนี้มากนัก มันเหมือนกับอสูรกินเหล็กที่สวมชุดเกราะ ทว่ามันไม่ได้เรียบง่ายเช่นเดียวกับทักษะการเคลือบแข็งขั้นเหนือธรรมชาติเลย”
สัญลักษณ์การเคลือบแข็งขั้นเหนือธรรมชาติก็คือสามารถปลดปล่อยสารเคลือบแข็งเพื่อสร้างอาวุธและอุปกรณ์ได้ นอกจากนี้ มันยังสามารถแนบสารเคลือบแข็งเข้ากับวัตถุอื่นได้เช่นกัน
ในขณะนี้ มีเพียงอสูรกินเหล็กของหลินฮงเหนียนในเมืองทุ่งน้ำแข็งเท่านั้นที่มาถึงความเชี่ยวชาญนี้
กล่ามตามหลักเหตุผลแล้ว เราสามารถสร้างชุดเกราะด้วยกาารเคลือบแข็งขั้นสมบูรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกที่สายเลือดโบราณของอีเลฟเว่นได้มอบให้แก่เขาในตอนนั้นไม่ได้เรียบง่ายเช่นเดียวกับการเคลือบแข็ง มันเป็นรูปแบบชีวิตใหม่อย่างสิ้นเชิง
“ชุดเกราะต่อสู้…” หลินฮงเหนียนตกอยู่ในห้วงความคิดลึก
“เป็นไปได้ที่จะสร้างชุดเกราะต่อสู้ด้วยการเคลือบแข็งขั้นเหนือธรรมชาติ ทว่าหากเจ้าไม่คิดเช่นนั้น… ถ้าเช่นนั้น เป็นไปได้ว่าการเคลือบแข็งขั้นเหนือธรรมชาติเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กงั้นเหรอ?” ปรมจารย์หลินคาดเดา
“นั่นหมายความว่าการใช้การเคลือบแข็งขั้นเหนือธรรมชาติเพื่อสร้างอาวุธที่คล้ายกันและทำให้รูปแบบนี้มั่นคง… เป็นวิธีการวิวัฒนากรของอสูรกินเหล็กใช่ไหม?” ซืออวี๋กล่าวเสริมว่า “มันไม่เกินจริงไปเหรอ…”
หากเป็นเช่นนี้ แม้ว่าทักษะการเคลือบแข็งที่พัฒนาขึ้นจะยังคงสามารถเพิ่มชุดเกราะและกลายเป็นการเคลือบแข็งสองชั้นได้ แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามันมีอนาคต
ระดับผู้บัญชการคือขีดจำกัดในสถานการณ์นี้
“มันเป็นเพียงการคาดเดา” หลินฮงเหนียนรู้สึกว่านี่เรียบง่ายเกินไป เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“อย่างไรก็ตาม สรุกได้ว่ามันเป็นทิศทางการทดลอง”
“แต่ไม่ว่ายังไง มีการเปลี่ยนแปลงอื่นเกิดขึ้นหลังจากที่อสูรกินเหล็กของเจ้าปลุกสายเลือดโบราณของมันไหม?”
“นอกจากการมีร่างกายที่ดีขึ้นและการเติบโตที่ช้าลงก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นอีก”
อสูรกินเหล็กธรรมดาที่อยู่ระดับปลุกตื่นขั้นเก้าควรจะสูงกว่าอีเลฟเว่นเล็กน้อย ทว่าอีเลฟเว่นก็เตี้ยเกินไปเล็กน้อยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสายเลือดโบราณแล้ว ซืออวี๋ก็รู้สึกว่านั่นควรจะเป็นเพราะน้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการได้ทำให้พลังชีวิตของอีเลฟเว่นแข็งแกร่งขึ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว…” หลินฮงเหนียนเงียบลง น่าเสียดาย อสูรกินเหล็กของซืออวี๋ได้ปลุกสายเลือดโบราณที่อ่อนแอเท่านั้น หากมันวิวัฒนาการโดยตรงล่ะก็…
ด้วยวิธีนี้ เขาอาจจะสามารถศึกษาเส้นทางการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ในเวลานี้ ปรมจารย์หลินกล่าวอีกครั้งว่า “เจ้าไปเมืองหลวงโบราณในครั้งนี้ อาจจะไปดูมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
“เจ้าว่างตอนไหนเหรอ? ข้าจะให้ซิ่วจูไปหาเจ้า นางก็อยู่ที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณเช่นกัน”
“หือ??” ซืออวี๋ตกตะลึงและตอบสนองไม่ทัน
“ซิ่วจูเป็นนักศึกษาจากสาขาการเพาะพันธุ์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ นางอยู่ที่นั่นด้วยในเดือนก่อน เจ้าจะสนใจโครงการวิจัยที่นางกำลังวิจัยอยู่อย่างแน่นอน”
“อะไรเหรอ?”
“ซากปรักหักพังที่เกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็กถูกค้นะบในเมืองหลวงโบราณ ในปัจจุบันนักศึกษาจากสาขาโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณกำลังวิจัยมัน”
“เนื่องจากหัวข้อการวิจัยหลักของนางคืออสูรกินเหล็ก นางจึงได้ถูกเชิญจากอาจารย์เพื่อเป็นที่ปรึกษา”
“ในตอนแรก ข้าไม่ได้สนใจข่าวนี้มากนัก ท้ายที่สุด มันเป็นเพียงซากปรักหักพังที่เกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็กเท่านั้น ทว่าหลังจากได้ยินว่าอสูรกินเหล็กมีสายเลือดโบราณ ความคิดของข้าก็เปลี่ยนไป บางทีอสูรกินเหล็กโบราณอาจจะพิเศาอย่างแท้จริง”
“ข้าคิดว่าเจ้าจำเป็นต้องไป”
ซากปรักหักพังอสูรกินเหล็กปรากฎขึ้นในเมืองหลวงโบราณ และสงสัยว่าเป็นร่องรอยของอสูรกินเหล็กโบราณ
ในตอนแรก หลินฮงเหนียนไม่สนใจ ทว่าหลังจากที่ซืออวี๋ค้นพบเส้นทางการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็ก ข้อมูลของอสูรกินเหล็กโบราณจึงมีค่าสำหรับการอ้างอิงในทันที
นอกจากนี้ ซืออวี๋ได้ถอดรหัสซากปรักหักพังเขตผิงเฉิงและเกี่ยวข้องกับดาวเด่นดวงใหม่ของโลกโบราณคดี หลู่ชิงอี้ ยิ่งกว่านั้น อสูรกินเหล็กของเขายังได้ปลุกสายเลือดโบราณของมันขึ้นมา ดังนั้นไม่ว่าจะมองยังไง ปรมจารย์หลินก็รู้สึกว่าซืออวี๋ต้องไปตรวจสอบซากปรักหักพังอสูรกินเหล็กนี้อย่างแน่นอน
“เจเ้าว่างตอนไหนเหรอ? ข้าจะให้ซิ่วจูไปรับเจ้า”
“น่าเสียดายที่ข้ายังคงมีสิ่งที่ต้องทำ มิฉะนั้น ข้าจะไปด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”
อารมณ์ของหลินฮงเหนียนนั้นดีมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าใกล้จะค้นพบการวิวัฒนากรของอสูรกินเหล็ก!
ความฝันของพ่อลูกคู่นี้ก็คือการค้นพบความเป็นไปได้ของการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็ก
ทุกคนในเขตผิงเฉิงรู้เรื่องนี้ และซืออวี๋ก็เช่นกัน
“นั่นน่าจะไม่มีปัญหา” ซืออวี๋พยักหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ทิศทางการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กเหรอ? เขาก็รู้สึกสับสนเช่นกัน เมื่อซากปรักหักพังที่เกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็กได้ปรากฎขึ้นมา มันก็คุ้มค่าแก่การไปวิจัย ยิ่งกว่านั้น มันยังบังเอิญอยู่ในเมืองหลวงโบราณ เขาจะพลาดได้ยังไงกัน?
“เจ้าเพิ่งบอกว่าสาขาโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณรับผิดชอบซากปรักหักพังนี้งั้นเหรอ?” ซืออวี๋มีสีหน้าแปลกประหลาด
หากเขาได้เข้าสาขาโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณในอนาคต คนเหล่านี้จะถือว่าเป็นรุ่นพี่ของเขาใช่ไหม?
หลินฮงเหนียนกล่าวว่า “พวกเขาควรถือได้ว่าเป็นรุ่นน้องของซิ่วจู ท้ายที่สุด มันเป็นเพียงซากปรักหักพังขนาดเล็กที่เกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็กและไม่ใช่มิติซากปรักหักพัง มีคนไม่มากนักที่จริงจังกับมัน”
ซืออวี๋พยักหน้าและกล่าวว่า “แต่ไม่ว่ายังไง รุ่นพี่หลินก็ได้เข้าร่วมการประเมินมืออาชีพที่สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเมืองหลวงโบราณเช่นกันใช่ไหม? ปรมจารย์หลิน ผลลัพธ์ของนางเป็นยังไงบ้างในตอนนั้น?”
หลังจากมาถึงมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณแล้ว ซืออวี๋ก็ตระหักได้ว่าการแข่งขันที่นี้ดุเดือดมากเพียงใด
รุ่นพี่แพนด้าสามารถผ่านการประเมินมืออาชีพที่นี่ได้ในตอนที่อายุ 18 ปีและยังได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณอีกด้วย นั่นฟังดูแข็งแกร่งมาก
“นางเหรอ?” ปรมจารย์หลินกล่าวเสริมว่า “เมื่อนางเข้าร่วมการประเมินมืออาชีพ อสูรกินเหล็กเป็นเพียงระดับเหนือธรรมชาติขั้นต่ำเท่านั้น มันเชี่ยวชาญทักษะผสานของฝ่ามือสายฟ้าขั้นช่ำชองและการเคลือบแข็งขั้นชำนาญ”
“นอกเหนือจากนั้น ยังมีสัตว์อสูรอีกหนึ่งตัวที่ความแข็งแกร่งค่อนข้างดี”
“อย่างไรก็ตาม ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้นางเป็นตัวอ้างอิง นางเข้าร่วมการประเมินเมื่อไม่กี่ปีก่อน ความยากของการประเมินมืออาชีพเพิ่มขึ้นทุกปี”
“ทว่าไม่ต้องกังวล เจ้าแข็งแกร่งกว่านาง การประเมินมืออาชีพไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเจ้า”
ซืออวี๋ :“…”
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเขาเป็นลูกชายตัวจริงของปรมจารย์หลินล่ะ? เมื่อเป็นหลินซิ่วจู ปรมจารย์หลินทำตัวราวกับว่านางไม่ใช่ลูกสาวของปรมจารย์หลิน เมื่อเป็นเขา ปรมจารย์หลินก็ได้แต่งตั้งให้เขาแข็งแกร่งกว่าหลินซิ่วจูโดยตรง ทั้งที่เขาไม่มีสัตว์อสูรระดับเหนือธรรมชาติเลย
เขารู้สึกราวกับว่ารุ่นพี่แพนด้าจะร้องไห้เมื่อนางได้ยินเรื่องนี้…
Fanpage : ผีเสื้อกลางคืน