นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 291 - ร่างผสานเถาวัลย์
สิ่งที่ทำให้หัวหน้าแกงค์ปีกโลหิตหงุดหงิดมาที่สุดอยู่ในตอนนี้ คือการที่ทั้ง ๆ อีกฝ่ายอ่อนแอกว่าตัวเองอยู่มากไม่น้อย แต่กลับสามารถต้านทานและโต้กลับจนทำให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากได้ ยีนของมรดกสืบทอดนั้นทรงพลังสมคำร่ำลือ ดูเหมือนว่าเธอจะต้องทุ่มเททุกอย่างออกไปจริง ๆ แล้ว
มือถูกยกขึ้นเช็ดเลือดที่เปื้อนอยู่ที่มุมปากออกไป สายตาเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นแน่วแน่ หัวหน้าแกงค์สาวเริ่มสั่นไหวกล้ามเนื้อในร่างกายอย่างรุนแรงอีกครั้ง
“มีไม้ตายอะไรก็ใช้ออกมาให้หมด! แกจะไม่ได้มีชีวิตอยู่นานนักหรอก” หลังจากกล่าวจบ ร่างของเธอก็หายวับไปอีกครั้ง หัวหน้าแกงค์ปีกโลหิตยังเหลือพลังมากพอที่จะเคลื่อนไหวด้วยการ ‘เทเลพอร์ต’ ได้
เดวิดเริ่มขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดเล็กน้อย ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาจะสรุปง่ายเกินไปเสียแล้ว แม้ว่าการเผชิญหน้ากับเฟสเซอร์ 4 ยีน จะไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ถ้าวัดจากความแข็งแกร่งในตอนนี้ แต่การกำจัดอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ทั้งร่างแวมไพร์และร่างมนุษย์หมาป่าของเขายังโจมตีได้ไม่ทรงพลังมากพอที่จะจัดการกับเธอได้
อันที่จริง ถ้าตัดประสิทธิภาพของร่างเงินออกไป เดวิดไม่คิดว่าตัวเองจะรับมือกับอีกฝ่ายได้เลยด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าเฟสเซอร์ 4 ยีนจะมีร่างกายที่ทนทานแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับร่างเงิน แต่นี่ไม่ใช่ความแข็งแกร่งทางกายภาพที่จะดูดถูกได้เลย
‘ความแข็งแกร่งของทักษะมรดกสืบทอดขั้นที่ 1 อยู่เพียงแค่ระดับนี้เท่านั้นสินะ ถ้าไม่รีบยกระดับขึ้นไปสู่ขั้นที่ 2 ก็คงต้องรีบผสานความสามารถของร่างแวมไพรเข้ากับร่างมนุษย์หมาป่าให้ได้ ถ้าจะแข็งแกร่งให้มากขึ้นไปกว่านี้อีก คงจะมีแค่ 2 วิธีนี้เท่านั้น’ เดวิดพึมพำทบทวนความเข้าใจของตัวเองอยู่ในหัว เขามีอันตรายอันใหญ่หลวงจ่อคอหอยอยู่ ต้องรีบพัฒนาให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างเร็วที่สุด และดูเหมือนว่ามันจะมี 2 วิธีที่สามารถทำควบคู่กันไปได้ แต่โดยพื้นฐานแล้ว มันยังคงต้องพึ่งพาการฝึกฝนอย่างหนักอยู่ดี
‘ทักษะร่วมผสาน’ เดวิดใช้การฝึกทักษะนี้เป็นหลักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และได้แต่หวังว่ามันจะช่วยให้ตัวเองพัฒนาขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว และถ้าเข้าใจไม่ผิด มันน่าจะช่วยให้เป้าหมายที่วางเอาไว้ทั้ง 2 ก้าวหน้าไปแบบพร้อม ๆ กันได้เลย
เขายังอยู่ในร่างแวมไพร์ตอนที่หัวหน้าแกงค์ปีกโลหิตเทเลพอร์ตเข้ามา มันทำให้เดวิดเลือกใช้วิธีเดียวกันในการตั้งรับ กระตุ้นทักษะการเคลื่อนไหวออกมาเพื่อหลบเลี่ยงและต้านรับการจู่โจม สีหน้าของเขานั้นเริ่มสงบนิ่งลง
หลังจากที่จู่โจมปะทะกับเดวิดอีก 3-4 ครั้ง สีหน้าที่อยู่หลังหน้ากากชุดรบของหัวหน้าแกงค์ปีกโลหิตก็มีอาการครุ่นคิด ฝ่ายตรงข้ามเยือกเย็นเกินไป สภาพในตอนนี้ไม่เหมือนกับการต่อสู้เสี่ยงชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว ท่าร่าง การเคลื่อนไหว ทุกอย่างดูเหมือนจะคล่องแคล่วและไหลลื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่มันอะไร? อีกฝ่ายต้องการจะใช้เธอเป็นหินลับมีด เป็นคู่ฝึกซ้อมให้กับตัวเองอย่างนั้นหรือ? โทสะอันเกรี้ยวกราดเริ่มพุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
อัจฉริยะ! นี่เป็นคนประเภทที่หัวหน้าแกงค์สาวคนนี้เกลียดมากที่สุด เหตุผลที่เธอหนีจากองค์กรที่สังกัดออกมา ก็เพราะว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับเฉพาะคนที่มีพรสวรรค์ระดับอัจฉริยะเท่านั้น คนธรรมดาอย่างเธอต้องดิ้นรนหาทรัพยากรเพื่อนำมาพัฒนาตัวเองอย่างยากลำบาก นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้เธอตัดสินใจที่จะหนีออกมาจากองค์กรแห่งนั้น แน่นอน! ก่อนที่จะจากมา หัวหน้าแกงค์ปีกโลหิตลงมือสังหารอัจฉริยะขององค์กรนั้นไปหลายคนเพื่อระบายความโกรธแค้นและอิจฉาในใจ และเดินทางข้ามภูมิภาคมาตั้งตัวเป็นหัวหน้าแกงค์อยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ หัวหน้าแกงค์ปีกโลหิตได้แต่ยอมรับอยู่เงียบ ๆ เด็กหนุ่มที่กำลังต่อสู้อยู่กับเธอ มีพรสวรรค์สูงเสียยิ่งกว่าอัจฉริยะในองค์กรที่ตัวเองเคยฆ่าไปเสียอีก ร่างเงิน? มรดกสืบทอด 2 อย่าง? การปรับตัวให้เข้ากับการต่อสู้ การเลือกใช้กระบวนท่าในการรับมือและจู่โจม ความสามารถในการพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นระหว่างการต่อสู้ นี่ไม่ใช่คุณสมบัติของคนธรรมดาเลย
ในใจลึก ๆ ของเธอ หัวหน้าแกงค์ปีกโลหิตทนไม่ได้ที่จะเห็นใครมีพรสวรรค์มากกว่าตัวเอง ต่อให้เดวิดไม่มีความลับที่ล้ำค่า เธอก็จะไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้นานอยู่แล้ว
เมื่อรู้ว่าการโจมตีของตัวเองกลับกลายเป็นการช่วยฝึกซ้อมให้กับคู่ต่อสู้ หัวหน้าแกงค์สาวก็เลือกที่จะหยุดกระบวนท่าอันต่อเนื่องลง และกระโดดถอยตัวออกมายืนอยู่ข้าง ๆ กับเถาวัลย์ทั้ง 2 เส้นที่ชูไสวแกว่งไกวตัวเองอยู่กลางอากาศ มือทั้ง 2 ข้างถูกยกขึ้นมาไขว้กันเอาไว้เบื้องหน้า ทุ่มพลังงานทั้งหมดในร่างกายกระตุ้นทักษะพิเศษออกมาอีกครั้ง
พื้นรอบ ๆ ตัวของเธอนั้นแตกกระจายออก เถาวัลย์อีก 7 เส้นพุ่งทะลวงออกมาอย่างรวดเร็ว ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่เหมือนกับ 2 เส้นที่หลงเหลืออยู่ และสีของมันก็แตกต่างออกไปไม่น้อยเลยด้วย
เมื่อเห็นเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปแบบนี้ เดวิดก็หยุดยืนเตรียมพร้อมอยู่กับที่เช่นกัน ในหัวของเขากำลังคิดหาวิธีการหลบเลี่ยงและตอบโต้กลับให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น มันทำให้ดวงตาของเดวิดต้องเบิกค้าง เถาวัลย์ที่เพิ่งผุดขึ้นมาไม่ได้พุ่งออกมาจู่โจมอย่างที่คาดไว้ มันพุ่งเข้าปากของหัวหน้าแกงค์ปีกโลหิตไปเสียอย่างนั้น
“ร่างผสานเถาวัลย์!” เสียงร้องที่ปนอยู่ด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของเธอ ทั่วทั้งร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าเหลือเชื่อขึ้น ใต้ผิวหนังนั้นมีรอยปูดโปนปรากฏออกมา เหมือนกับว่าเถาวัลย์พวกนั้นเลื้อยพันอยู่รอบตัวเธอก็ไม่ปาน และสีผิวที่ขาวราวกับน้ำนม มันเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวเข้มไปหมดทั้งตัว
และร่างกายสีเขียวเข้มนั้นก็ขยายขนาดมากขึ้นเรื่อย ๆ กลิ่นอายอันแปลกประหลาดถูกปลดปล่อยออกมาทั่วห้อง มันกดดัน มันดุร้าย และที่สำคัญ สัญชาตญาณบอกกับเดวิดว่า สถานการณ์ตอนนี้อันตรายอย่างที่สุดแล้ว!
สถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างจากทุกครั้งที่เขาเคยเผชิญมา เดวิดเคยต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งมากว่าตนเองมานับครั้งไม่ถ้วน ตอนที่เป็นสไปรเยอร์เขาสามารถเอาชนะเฟสเซอร์ได้แล้วด้วยซ้ำ การต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่าไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย
แต่ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบที่เฟสเซอร์ 4 ยีนผสานตัวเองเข้ากับทักษะพิเศษของตัวเองได้แบบนี้ ไม้ตายของเธอนั้นถือว่าขี้โกงเกินไปไม่น้อย นี่มันแทบจะเป็นการยกระดับตัวเองให้กลายเป็นเฟสเซอร์ 5 ยีนไปแบบกลาย ๆ แล้ว
สิ่งที่หัวหน้าแกงค์ปีกโลหิตทำ คือการกระตุ้นพลังพันธุกรรมออกมาจากเซลล์ทั้งหมดของร่างกาย และใช้มันเป็นพลังงานเสริมให้กับทักษะพิเศษของตัวเอง ทำให้ลักษณะพิเศษของเถาวัลย์ผสานเข้าไปกับเซลล์ในร่างกายชั่วคราว มันทั้งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงทนทาน และกระตุ้นการปลดปล่อยพลังที่เกินขีดจำกัดออกมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง มันทำให้ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเธอพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
นี่ไม่ใช่วิธีที่เฟสเซอร์คนอื่น ๆ จะเลือกใช้เลย ผสานทักษะพิเศษเข้ากับร่างกายของตัวเอง? ต่อให้มันจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับประกันว่ามันจะไม่มีผลข้างเคียงที่เลวร้ายเกิดขึ้น หัวหน้าแกงค์ปีกโลหิตรู้ถึงความเสี่ยงของการทำเช่นนี้ดี แต่ความโกรธ ความอิจฉา และความโลภ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างรวมเข้าด้วยกัน ความคิดอันเป็นเหตุเป็นผลของเธอก็ต้องพ่ายแพ้ไป
“แกจะต้องตาย! แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของแก มันจะกลายมาเป็นของ ๆ ฉันทั้งหมด!” เสียงที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความดุร้ายป่าเถื่อน ยิ่งมันถูกกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแปลกประหลาด ราวกับว่ามันเป็นเสียงของตระแกรงโลหะกระทบกันแบบนี้ ความน่าสะพรึงกลัวยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
และกลิ่นอายที่เธอปลดปล่อยออกมาในตอนนี้ มันสร้างแรงกดดันอันมหาศาลให้เกิดขึ้น อากาศที่อยู่ภายในคฤหาสน์บิดตัวอย่างปั่นป่วน ลมเริ่มพัดแรงราวกับกำลังจะเกิดพายุใหญ่ขึ้นมาก็ไม่ปาน...