ตอนที่ 630 หลบหนี
ตอนที่ 630 หลบหนี
ณ คฤหาสน์ฮาฟมูนวิลล่า ในพันธมิตรมนุษย์
ในช่วงค่ำคืนอันมืดมิดแอวริลกำลังลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเธอก็เดินไปยังตู้เสื้อผ้าพร้อมกับหยิบชุดที่กระฉับกระเฉงขึ้นมาสวมใส่
ต่อมาเธอก็เดินไปหยิบแหวนมิติที่เธอเตรียมเอาไว้ขึ้นมาสวมใส่ลงบนนิ้ว ก่อนที่หญิงสาวจะเปิดประตูระเบียงเดินออกไปยังด้านนอกของตัวคฤหาสน์จนทำให้ผิวพรรณของเธอสัมผัสแสงจันทร์
ผมสีทองของเธอปลิวไสวไปตามสายลม และถึงแม้ว่าท่าทางของเธอจะดูโศกเศร้าเล็กน้อย แต่แววตาของเธอกลับเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น
ทำไมจู่ ๆ เธอถึงลุกขึ้นมากลางดึก?
ทำไมเธอถึงเตรียมสัมภาระทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้า?
นี่เธอกำลังจะออกเดินทางไกลอย่างเงียบ ๆ คนเดียวงั้นเหรอ?
ทันใดนั้นมันก็มียานอวกาศลำเล็กรูปร่างแปลก ๆ ปรากฏขึ้นบริเวณลานคฤหาสน์ของตระกูลเจี่ยนอย่างเงียบ ๆ และมันยังสามารถเข้ามาในคฤหาสน์โดยหลีกเลี่ยงระบบความปลอดภัยอันเข้มงวดของกลุ่มดาวนครหลวงได้อีกด้วย
หากใครมีความคุ้นเคยกับยานรบในพันธมิตร พวกเขาจะสามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่ายานลำนี้มีรูปร่างไม่เหมือนยานรบลำใดในพันธมิตรที่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วถึงแม้ว่ามันจะมีการเปิดรูหนอนขึ้นมา แต่กระบวนการนั้นกลับไม่ก่อให้เกิดความผันผวนของพลังงานเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อยานรบลำเล็กมุ่งหน้าขึ้นสู่อวกาศอีกครั้ง ร่างของแอวริลก็ไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ฮาฟมูนวิลล่าอีกต่อไป แต่เหตุการณ์อันแปลกประหลาดไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น เพราะในทันทีที่แอวริลหายตัวไปจากคฤหาสน์มันก็มีเสียงดังขึ้นมาจากคฤหาสน์อันเงียบสงบ
ตูม!
เสียงระเบิดดังกึกก้องพร้อมกับกำแพงห้องแอวริลที่ถูกระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ
หลังจากที่มันมีเสียงระเบิดดังขึ้นมาเพียงแค่ไม่นาน เหล่าบรรดาบอดี้การ์ดของตระกูลเจี่ยนก็รีบมุ่งหน้ามายังจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว โดยในแววตาของพวกเขาต่างก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความร้อนรน เพราะพวกเขารู้ดีว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขาในตอนนี้คือห้องของใคร
“คุณหนูอยู่ไหน?”
“ผมไม่รู้”
“แล้วใครเป็นคนระเบิดกำแพง?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“นี่พวกนายรู้อะไรบ้าง?!” ผางชิงร้องคำรามขึ้นมาด้วยความโกรธ
“รีบออกหาตัวคุณหนูเดี๋ยวนี้! ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหนูฉันจะ... ฉันจะจัดการพวกนายแน่!!” ผางชิงกล่าวด้วยใบหน้าที่เริ่มซีดเผือด
บอดี้การ์ดหลายร้อยร่างรีบเคลื่อนที่ท่ามกลางความมืดมิดอย่างรวดเร็ว แต่โชคไม่ดีที่ไม่ว่าพวกเขาจะออกค้นหาแค่ไหนแต่พวกเขาก็หาร่องรอยของแอวริลไม่พบเลยแม้แต่น้อย
—
ไม่ไกลจากคฤหาสน์ฮาฟมูนวิลล่า
ร่างสีดำ 2 ร่างกำลังยืนมองเหตุการณ์ทุกอย่างในตระกูลเจี่ยนอย่างพิจารณา
“ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ไม่รู้นะว่าแอวริลหายไปไหน”
“นั่นสินะ”
“แล้วพวกเราควรจะทำยังไงต่อ?”
“รอจนถึงตอนเช้า ถ้าเรายังหาเธอไม่เจอเราก็แค่ต้องรายงานตามความเป็นจริง”
“แปลกมาก พวกเราเพิ่งจะมาถึงแท้ ๆ แต่เธอก็หายตัวไปทันที เป็นไปได้ไหมที่เธอจะมีพลังพิเศษเกี่ยวกับการทำนายอนาคต?”
“ไม่มีทาง! มันไม่มีใครมีพลังที่สามารถทำนายอนาคตได้สักหน่อย”
“แล้วนายจะอธิบายเหตุการณ์ที่จู่ ๆ แอวริลหายตัวไปได้ยังไง?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
—
สถานการณ์อันตื่นตระหนกแพร่กระจายไปทั่วทั้งคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว เหล่าบรรดาคนรับใช้และบอดี้การ์ดต่างก็ล้วนแล้วแต่พยายามค้นหาแอวริลทั่วทุกหนทุกแห่ง
10 นาทีต่อมากองบัญชาการตำรวจของกลุ่มดาวนครหลวงก็ได้รับสัญญาณฉุกเฉิน จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายแสนคนถูกส่งออกไปทั่วทุกพื้นที่ เพื่อตรวจสอบทุกซอกซอยของท้องถนนเพื่อพยายามค้นหาร่องรอยการหายตัวไปของหญิงสาว
20 นาทีต่อมาทางกองทัพก็เริ่มออกค้นหาแอวริลเช่นเดียวกัน
30 นาทีต่อมาเจ้าหน้าที่รักษาชายแดนของกองกำลังพิเศษและทีมข่าวกรองภายใต้กรมทหารต่างก็ได้รับรูปถ่ายของแอวริล และได้รับคำสั่งให้เริ่มออกค้นหาหญิงสาวโดยเร็วที่สุด
—
“คุณปู่!” มู่ฟู่ผิงรีบวิ่งไปด้วยใบหน้าอันบูดบึ้ง ก่อนที่จะฝังใบหน้าอันสวยงามของเธอเอาไว้ในอ้อมแขนของมู่ฉีหยุน เมื่อเธอได้เห็นสภาพของเกาะอสรพิษพิทักษ์ที่ถูกทำลาย
ชายชราคนนี้ไม่ได้เคลื่อนที่ออกจากตระกูลมาเป็นเวลานานแล้ว และการที่เขาถูกลากมาจนถึงเกาะอสรพิษพิทักษ์ของตระกูลหยู มันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามู่ฟู่ผิงเป็นหลานสาวที่ได้รับความโปรดปรานจากเขาขนาดไหน
น่าเสียดายที่พวกเขามาถึงช้าเกินไปทั่วทั้งตัวเกราะจึงเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง แล้วมันก็ไม่เหลือร่องรอยของเซี่ยเฟยอีกต่อไปแล้ว
หยูจินรีบเดินเข้าไปหามู่ฉีหยุนด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว โดยในตอนนี้เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำตระกูลเป็นการชั่วคราว และถูกมอบหมายให้สืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกาะแห่งนี้
“ไม่ทราบว่าทำไมผู้อาวุโสมู่ถึงต้องการพบผมงั้นเหรอครับ?” หยูจินกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับด้วยความเคารพ
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากสนใจคนนอกพวกนี้แต่เขาก็ยังคงต้องเข้าไปทักทายมู่ฉีหยุนด้วยความเคารพอยู่ดี เพราะท้ายที่สุดมู่ฉีหยุนก็คือผู้นำของตระกูลวิทเทอร์ มันจึงไม่มีใครกล้าที่จะละเลยการปรากฏตัวของชายชราคนนี้ได้
“พอดีว่าหลานสาวของฉันต้องการจะมาหาคนจากตระกูลหยูคนหนึ่ง…” มู่ฉีหยุนกล่าวพร้อมกับกระแอมออกมาเบา ๆ
“เขาชื่อเซี่ยเฟย” มู่ฟู่ผิงแอบกระซิบจากทางด้านหลัง
“ใช่ เขาชื่อเซี่ยเฟย ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? รีบเรียกเขามาหาฉันเร็ว ๆ เข้า”
คำถามของชายชราถึงกับทำให้หยูจินขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยเฟยกับมู่ฟู่ผิงเป็นอย่างดี แต่เขาก็ไม่คิดว่ามู่ฟู่ผิงจะจริงจังกับเรื่องนี้ถึงขนาดพามู่ฉีหยุนมายังตระกูลของเขา
“เรียนผู้อาวุโสมู่ ครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นเซี่ยเฟยเขาได้ทำลายเกราะป้องกันภายนอกของตระกูลเราออกไปยังอวกาศ และในตอนนี้เราก็ยังไม่พบร่องรอยของเขาเลย”
หลังจากพูดจบหยูจินก็ชี้นิ้วไปยังรูโบ๋บนท้องฟ้า โชคดีที่เขามาถึงทันเวลาเขาจึงใช้พลังมิติปิดผนึกช่องว่างช่องนี้ได้
“เขาทำลายม่านพลังก่อนที่จะหนีไปงั้นเหรอ? เขามีพลังอยู่ในระดับไหนแล้ว?” มู่ฉีหยุนกล่าวถามด้วยแววตาอันเป็นประกาย
“อัศวินกฎขั้นที่ 2 ครับ” หยูจินกล่าวตอบด้วยความเคารพ
“นั่นมันตอนก่อนที่เขาจะเข้ารับการประเมินของานชุมนุมมังกรฟ้า ตอนนี้เขาได้เลื่อนระดับเป็นอัศวินกฎขั้นที่ 4 แล้วต่างหาก”
เมื่อหยูจิน, มู่ฉีหยุนและมู่ฟู่ผิงมองไปยังต้นเสียงของผู้มาใหม่ พวกเขาก็ได้พบกับบรูซผู้ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ผู้พิทักษ์มังกรฟ้าที่เดินมาเคียงข้างกับเฝิงซินเหนียนผู้ซึ่งเป็นนายน้อยจากตระกูลเฝิง
“ทำลายม่านพลังทั้ง ๆ ที่มีพลังอยู่แค่ระดับอัศวินกฎขั้นที่ 4 เนี่ยนะ!” มู่ฉีหยุนอุทานขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เฝิงซินเหนียนกับบรูซเดินเข้ามาทักทายมู่ฉีหยุนด้วยความเคารพ ขณะที่เฝิงซินเหนียนพยักหน้าเป็นการทักทายให้กับมู่ฟู่ผิงเบา ๆ
การปรากฏตัวของบรูซทำให้หยูจินขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างเคร่งเครียด เพราะจู่ ๆ มันก็ได้มีจักรพรรดิกฎปรากฏตัวขึ้นบนเกาะอสรพิษพิทักษ์พร้อมกันถึงห้าคน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นการรวมตัวกันของนักรบที่ทรงพลังมากมายขนาดนี้
“เมื่อกี้คุณกำลังบอกว่าเซี่ยเฟยทำลายท้องฟ้าแล้วหนีไปงั้นเหรอ ทำไมเขาถึงจะต้องหลบหนีด้วย?” บรูซกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ทุกคนเป็นพยานได้ว่าเราเห็นเขาหลบหนีออกไปผ่านช่องทางนั้นจริง ๆ... บางทีเขาอาจจะกลัวความผิดอยู่ก็ได้” หยูจินกล่าว
“กลัวความผิด!?”
ทุกคนต่างก็อุทานขึ้นมาด้วยความสับสน เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเซี่ยเฟยจะต้องกลัวความผิดด้วย
“เป็นไปไม่ได้! เซี่ยเฟยไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยแล้วทำไมเขาถึงจะต้องกลัวความผิดด้วย” มู่ฟู่ผิงพยายามตอบโต้แทนเซี่ยเฟย
มู่ฉีหยุนทำได้เพียงแต่ส่ายหัว เพราะหลานสาวคนเก่งของเขาอ่อนต่อโลกมากจนเกินไป จนไม่รู้ว่าในดินแดนอันโหดร้ายแห่งนี้มันสามารถมีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ทุกเวลา
“เซี่ยเฟยแอบเข้าไปในม่านพลังเพียงลำพังทั้ง ๆ ที่คนของตระกูลหยูไม่สามารถเจาะเข้าไปในม่านพลังนั้นได้เลย อย่าลืมว่าเขาเป็นเพียงแค่อัศวินกฎเท่านั้นแล้วเขาจะทำลายม่านพลังเข้าไปได้ยังไง เว้นแต่ว่ามันจะมีคนเปิดทางให้เขาเข้าไปด้านใน”
“นอกจากนี้ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วทำไมเขาถึงจะต้องหนีไปแบบนั้นด้วย?” หยูจินกล่าว
ทุกคนชะงักค้างไปเล็กน้อย แม้แต่มู่ฟู่ผิงก็พูดอะไรไม่ออก เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยต่อเซี่ยเฟยเลยแม้แต่นิดเดียวและการกระทำของเขาก็น่าสงสัยมากเกินไป
“ท่านผู้นำคนเก่าของเราเสียชีวิต ผมยังมีเรื่องอีกหลายเรื่องที่จะต้องกลับไปจัดการ เชิญทุกท่านเดินสำรวจตามสบาย ผมขอตัวไปจัดการเรื่องอื่น ๆ ก่อน ส่วนใครจะผิดใครจะถูกในเหตุการณ์นี้พวกเราได้ยกหน้าที่ให้ทางสมาคมผู้คุมกฎแล้ว ดังนั้นเซี่ยเฟยจะมีความผิดหรือไม่เรื่องนั้นผมไม่สามารถจะเป็นคนออกมาตัดสินใจแทนทางสมาคมได้” หลังจากกล่าวจบหยูจินก็จากไปทิ้งแขกทั้งสี่ไว้ตามลำพัง
“คราวนี้เซี่ยเฟยคงจะเจอปัญหาหนักแล้วสินะ” เฝิงซินเหนียนกล่าว
ความลำบากของเซี่ยเฟยทำให้ดวงตาของมู่ฟู่ผิงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง มู่ฉีหยุนจึงรีบปลอบหลานสาวคนโปรดในทันทีแต่น่าเสียดายที่มันมีผลเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
“ฉันได้ลองสอบถามเหตุการณ์จากทางสมาคมดูแล้ว ดูเหมือนว่านอกเหนือจากสมาชิกของตระกูลหยูมันยังมีโครงกระดูกสีทองปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ด้านในของเกาะด้วย แต่พวกเขาไม่พบร่องรอยของพวกนักฆ่าเลย เกรงว่าศพของพวกนักฆ่าน่าจะถูกทำความสะอาดไปจนหมดแล้ว” บรูซกล่าว
“มีนักสู้คนหนึ่งที่มีพลังไม่ด้อยกว่าฉันเข้ามาปกปิดร่องรอยในครั้งนี้ด้วยตัวเอง ฉันเกรงว่าถึงแม้ว่าทางสมาคมจะลงมาจัดการแต่พวกเขาก็คงจะไม่สามารถตามหาร่องรอยของผู้ลงมือได้” มู่ฉีหยุนกล่าว
“ส่วนพวกโครงกระดูกสีทองพวกนั้นคือร่างของอดีตนักรบของตระกูลหยูที่ถูกปิดผนึกด้วยวิชาผลึกมังกรสวรรค์ เพื่อวันหนึ่งพวกเขาจะได้ตื่นขึ้นมาช่วยเหลือตระกูลหยูในยามมีภัย การที่หยูเจียงได้ปลุกพวกเขาขึ้นมาแบบนี้มันก็แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงต่อตระกูลหยูมาก” มู่ฉีหยุนกล่าวเสริม
การที่หลักฐานทุกอย่างถูกลบออกไป มันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านี่คือแผนการที่ถูกตระเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว เพียงแต่ในช่วงเวลาสุดท้ายมีผู้พบเห็นเซี่ยเฟยหลบหนีไป มันจึงทำให้พวกเขาต่างก็รู้สึกสงสัยว่าทำไมเซี่ยเฟยถึงจะต้องหลบหนีไปกันแน่
“เซี่ยเฟยเป็นคนฉลาดและการเคลื่อนไหวของเขาย่อมต้องมีเหตุผลรองรับ ผมคิดว่าเขาจะต้องพบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เขาพูดอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่เลือกหลบหนีไปแบบนี้” เฝิงซินเหนียนกล่าว
มู่ฟู่ผิงมองไปทางเฝิงซินเหนียนอย่างขอบคุณ เพราะในที่สุดมันก็มีคนลุกยืนขึ้นมาพูดแทนเซี่ยเฟย มันจึงทำให้เธอรู้สึกเบาใจอยู่เล็กน้อย
“ผมพอจะคิดถึงเหตุผลหนึ่งที่ถ้าเป็นผมแล้วผมก็คงจะเลือกหนีไปเหมือนกัน” เฝิงซินเหนียนกล่าว
“เหตุผลอะไร?”
“ถ้าหากว่าฝ่ายตรงข้ามมีอิทธิพลสูงมากจนทำให้คำพูดของผมไม่น่าเชื่อถือ ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็คงจะเลือกหนีไปเหมือนกัน เพราะไม่ว่าผมจะพูดอะไรท้ายที่สุดมันก็จะเป็นเพียงแค่คำแก้ตัว”
“การที่เซี่ยเฟยหลบหนีออกมาจากม่านพลังแต่ไม่ได้มุ่งหน้ากลับมาหาคนของตระกูลหยู มันก็หมายความว่าเขาไม่ไว้วางใจคนในตระกูลหรือทางสมาคมผู้คุมกฎอีกต่อไป แผนการครั้งนี้มันจึงอาจจะเป็นแผนการครั้งใหญ่ที่เซี่ยเฟยก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดบ้าง”
“สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้คือการหนีออกไปตั้งหลัก เพราะศัตรูที่มองไม่เห็นย่อมน่ากลัวกว่าศัตรูที่อยู่ในแสงสว่าง” เฝิงซินเหนียนอธิบาย
“นายกำลังหมายความว่าเซี่ยเฟยสัมผัสได้ถึงอันตรายถ้าหากว่าเขายังคงอยู่ในตระกูลหยู เขาจึงหลบหนีออกไปถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาถูกเข้าใจผิดว่าเขาคือผู้สมรู้ร่วมคิดในแผนการครั้งนี้งั้นเหรอ?!” บรูซกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
เฝิงซินเหนียนพยักหน้าก่อนที่เขาจะจ้องมองไปยังหยูจินในระยะไกล
“บางทีทางเลือกของเขาอาจจะถูกต้องแล้วก็ได้ และเนื่องจากเขาเป็นผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากภัยพิบัติครั้งนี้ ทางสมาคมคงจะต้องขอคำอธิบายจากเขาอย่างแน่นอน” บรูซกล่าว
แน่นอนว่าการคาดเดาของบรูซคือสิ่งที่ถูกต้อง เพราะทางสมาคมผู้คุมกฎไม่สามารถหาร่องรอยของใครอื่นในที่เกิดเหตุได้เลย ความสงสัยทั้งหมดจึงถูกมุ่งเป้าไปที่เซี่ยเฟย และด้วยสถานการณ์มันบีบบังคับมันจึงทำให้เซี่ยเฟยต้องเริ่มออกเดินทางเพื่อหลบหนีอีกครั้ง
***************
ถ้ายังอยู่มีแต่ตายกับตาย เตรียมตัวเป็นแพะรับบาปได้เลย!
จบแล้วสำหรับกลุ่ม VIP7 [541-630] สำหรับใครที่สนใจเข้ากลุ่มสามารถติดต่อได้ที่ เพจสนพ.เซียนอ่าน ได้เลยนะคะ โดยทางกลุ่ม VIP จะค่าปลดตอนถูกกว่าทางหน้าเว็บแต่อัปตอนพร้อมกันน๊า