ตอนที่ 22 ยอดเขาตะวันลับ
“จากนี้ไปเจ้าเป็นเจ้าของกระบี่เล่มนี้”
เมื่อจับกระบี่ เสี่ยวเฉินรู้สึกถึงความเย็นและความสงบที่ผ่านมาถึงร่างกายเขา ความแค้น ความไม่เต็มใจ และความรู้สึกด้านลบมากมายภายในเขากระจัดกระจายหายไปในพริบตา จิตใจเขาผ่องใสขึ้น นี่คือสภาวะจิตใจที่ผู้บ่มเพาะพลังต้องการโดยแท้
ทุกคนมองกระบี่ด้วยความริษยา ม่อหยูเองก็อยู่ที่นี่ เขามองกระบี่ด้วยตาลุกวาว
“พี่ยี่เฟิง…ให้กระบี่เล่มนี้กับข้ารึ?”
หยูยี่เฟิงพยักหน้า
“กระบี่เล่มนี้คงอยู่มาหลายพันปีแล้ว มีจิตกระบี่อยู่ภายในด้วย ข้าหวังให้เจ้าดูแลมันให้ดี อย่าให้มันเปื้อนเลือดมากนัก”
หลังพูดจบ เขาขยับดัชนีและขี่กระบี่พุ่งไปเป็นสายบนท้องนภา เขาพูดจากระยะไกล
“อีกสามวัน เจ้าไปรอเจอคนคนหนึ่งที่ทิศตะวันออกจากเมืองหลิงไถ 20 ลี้”
เสี่ยวเฉินมองท้องนภาราวกับอยู่ในฝัน หลิวรั่วพูดเบา ๆ
“นายน้อย พวกเราจะไปที่ใดรึ?”
“เมืองหลิงไถ”
เสี่ยวเฉินยิ้มและเดินลงบันได
สามวันต่อมา เขามายังจุดที่ห่าง 20 ลี้จากเมืองหลิงไถทางตะวันออก แม่น้ำไหลผ่านที่นี่สะท้อนท้องนภาสีครามและเมฆขาว สะพานหินเล็ก ๆ เก่าแก่พาดแม่น้ำสายนี้ไป มันผ่านร้อนผ่านฝนผ่านหนาวมา 500 ปีแล้ว
เขาเจอที่ว่างข้างสะพานและวางพิณหยก จากนั้นเขาจึงบอกให้หลิวรั่วจุดธูปไม้จันทน์สองก้าน สุดท้ายจึงเริ่มดีดพิณ
เขาเริ่มจากท่วงทำนองที่หนักแน่นและสงบราวกับสายธารที่ไหลอย่างเชื่องช้าใต้แสงจันทร์ จากนั้นจึงเล่นทำนองที่สูงขึ้นไปสู่ทำนองที่ฟังคล้ายกับพิรุณที่รินลงมา
บทเพลงเต็มไปด้วยเสียงสูงต่ำ เสียงทั้งเจ็ดระดับกระจายออกราวกับจะแหวกม่านแห่งโชคชะตา วิหคหลายร้อยตัวได้มารวมตัวกันที่นี่ในเวลาไม่นาน บางตัวบินไปรอบ ๆ บางตัวยืนบนไหล่เขาและส่งเสียงร้องตามทำนอง
เกือบกลางวัน มีเสียงกระดิ่งแหลมดังมาจากที่ไกล ๆ มีรถม้าสีแดงสว่างใกล้เข้ามา มีการตกแต่งประดับประดาอันซับซ้อน มีกระดิ่งห้าสีห้อยอยู่ที่รถม้า ม่านหน้าต่างทำจากไหมบางเปล่งประกายใต้แสงตะวัน
คนขับเป็นชายชราอายุราวเจ็ดสิบปี แต่ม้าเทียมนั้นเป็นม้ามีเขาสีขาวราวหิมะ
แม่น้ำขวางทางรถม้า มีเพียงสะพานนี้เท่านั่นที่แคบกว่ารถม้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่ารถม้าจะข้ามแม่น้ำไม่ได้
“ลุงถัน ใครเล่นพิณที่นี่รึ?”
เสียงฟังดูอ่อนหวานราวกับละอองฝนเดือนสาม หรือราวกับเสียงของสตรีที่งดงามที่สุดกำลังกระซิบใกล้หูเขา เสี่ยวเฉินประทับใจ
คนขับมองมาและพูด
“เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาอาจจะจะพลาดการสอบ”
ไ่ม่มีคำตอบจากในรถม้า ต่อมาข้อมือขาวได้แหวกม่าน สาวน้อยอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น นางดูเป็นอิสระจากทุกสิ่ง
นางลงจากรถม้า ทุกท่วงท่าของนางดูอ่อนโยน นางสวมชุดขาว เส้นผมตรงยาวถึงหลัง แม้จะมีสตรีงดงามมาจากที่ใด จะงดงามจนบดบังแสงจันทราหรือให้บุบผาละอาย นางเหล่านั้นล้วนเทียบกับสาวน้อยคนดีไม่ติด
นางมองเสี่ยวเฉินอย่างเงียบเชียบท่ามกลางสายลมโชย มีคลื่นในดวงตาราวกับว่านางถูกขับจากสวรรค์เพียงเพราะคิดถึงเรื่องทางโลก
“ลุงถันกลับไปได้แล้ว”
นางเดินไปที่สะพานหิน
เสี่ยวเฉินยังคงดีดสายพิณส่งเสียงทุกท่วงทำนองอย่างชัดเจน เขาเอ่ยปาก
“แม่นาง ข้างหน้าเป็นเขาหลิงไถ ถ้าหากจะเข้าไปสอบ ข้าเกรงว่าคงต้องรออีกสามปี”
เขาเงยหน้าหลังจากพูดจบ แต่ทันทีที่เขาได้มองนางเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจ ภาพอันไม่สมบูรณ์ในใจเขาแหลกสลายอีกครั้ง
คนคนหนึ่งที่อยู่ลึกในความทรงจำของเขาได้แล่นผ่านความทรงจำเข้ามาและสลายไปเมื่อเขาปวดใจอีกครั้ง ความเจ็บปวดนั้นมาจากลึกในดวงวิญญาณและความทรงจำ มันเป็นความจำปวดที่เขาไม่มีทางทนได้
คนคนนั้นสวมชุดสีขาวสเช่นเดียวกัน แม่ว่าเขาจะพยายามนึกถึงความทรงจำมากเพียงใดเขาก็มิอาจจดจำใบหน้านางได้ คนคนนั้นเป็นเหมือนดั่งคนในฝันในชาติที่แล้วของเขา
“ข้าไม่เคยได้ยินทำนองเช่นนี้มาก่อนเลย แต่มันดูคุ้นหูสำหรับข้า เจ้าบอกชื่อเพลงนี้ให้ข้าได้หรือไม่?”
นางถามออกมา
เสี่ยวเฉินได้สติกลับมาและกดสายเพื่อหยุดบทเพลง เขาพูดด้วยเสียงที่แจ่มชัดที่สุด
“เพลงนี้ชื่อ ‘ม่านโชคชะตา’”
เขาแต่งเพลงนี้เมื่อหลายพันปีก่อน เขาเคยเล่นมันในภูเขาใกล้ลำธาร และทุกครั้งที่เล่นจะมีวิหคนับร้อยมาร้องบรรเลงไปกับบทเพลงของเขา
นางพยักหน้าเบา ๆ เดินไปยังอีกฟากของสะพานและเดินต่อไปจนจางหาย
ใช้เวลาอยู่สักระยะกว่าเสี่ยวเฉินจะได้สติ เขารู้สึกราวกับสูญเสียอะไรบางอย่างไป เขาไม่เคยเห็นนางมาก่อนอย่างแน่นอน แต่นางกลับคุ้นตาเขาอย่างประหลาด
“หรือนางจะเป็นคนที่พี่ยี่เฟิงพูดถึงเมื่อสามวันก่อน?”
ยามพลบค่ำ เสี่ยวเฉินเก็บพิณและเตรียมกลับเมือง มีแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งมาที่พื้นอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์น้อง ช้าก่อน!”
เสี่ยวเฉินหันไปเจอศิษย์ชุดเขียวคนนั้น
“มีอะไรรึ?”
ศิษย์ชุดเขียวเดินมาหาเขาและพูดด้วยรอยยิ้ม
“อย่ารีบร้อนสิศิษย์น้อง ผู้เฒ่าบอกว่าเจ้าเป็นศิษย์ที่ยอดเขาตะวันลับได้”
“ยอดเขาตะวันลับรึ?”
เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว
“หึหึ ยอดเขาตะวันลับเป็นประตูนอกของนิกายเรา”
“เอาล่ะ หลิวรั่ว ไปนิกายกระบี่คลื่นเย็นกันเถอะ”
“เฮ้ เฮ้ ศิษย์น้อง อย่าไปนะ”
“มีอะไรอีกรึ?”
เสี่ยวเฉินหันมาถาม
“เอ่อ…ความจริงก็คือ เป็นศิษย์นอกก็ไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าคิดนะ”
เขาพูดด้วยรอยยิ้มทุกข์ใจ
หลิวรั่วดึงชายเสื้อเขาและกระซิบ
“นายน้อย เราไปที่ยอดเขาตะวันลับกันไหม? ที่ประตูในมีกฎมากมาย ข้าห่วงว่านายน้อยจะไม่พอใจกับกฎพวกนั้น”
ศิษย์ชุดเขียวยิ้มแหย
“ใช่แล้ว! แบบนั้นล่ะ! เจ้าพาน้องสาวเจ้าไปที่ประตูนอกได้ด้วย แต่เจ้าพานางเข้าประตูในไม่ได้”
เสี่ยวเฉินคิดอีกทีและคิดว่าเป็นศิษย์นอกก็ไม่เสียหาย เป้าหมายของเขาคือการได้เคล็ดบ่มเพาะพลังที่จะนำพาเขาบ่มเพาะจนเป็นขอบเขตตั้งฐาน ถึงตอนนั้นเขาจะได้ไปยังตำหนักม่วง
“ย่อมได้ แต่ข้าขอบอกไว้ก่อน ข้าจะไม่นอนปะปนกับผู้ใด น้องสาวข้าก็ด้วย”
ศิษย์ชุดเขียวยิ้ม
“สบายใจได้ศิษย์น้อย มีคนจัดการที่พักให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว”
เสี่ยวเฉินพยักหน้าคิด
‘เขาดูไม่เหมือนทีแรก จะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับนางในรถม้าแน่ นางเป็นใครกันนะ?’
ยอดเขาตะวันลับนั้นมิได้ยิ่งใหญ่อย่างยอดเขาอื่นในเขาหลิงไถ มันดูค่อนข้างเล็ก แต่มันก็เป็นหุบเขาโดดเดี่ยวที่มีธารใสไหลผ่านโดยรอบและรายล้อมไปด้วยภูเขา มันดูลึกล้ำเงียบสงบและดูเป็นโลกมนุษย์มากกว่ายอดเขาหลักที่โดดเดี่ยวและหนาวเย็น…ยอดเขามังกรเขียว
มีศิษย์หลายร้อยคนในยอดเขาตะวันลับ พวกเขามิได้ยุ่งเหมือนกับศิษย์ใน ตามปกติ ถ้าหากไม่มีอะไรทำพวกเขาก็จะไปตกปลา ล่ากระต่ายและปิ้งย่างเนื้อ พวกเขาถึงกับแอบลงจากเขาไปโรงโสเภณีใกล้เมือง ผู้เฒ่ายอดเขาตะวันลับมากมายแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะตราบเท่าที่ศิษย์เหล่านี้จ่าย ‘ส่วย’ มากพอ พวกเขาจะไม่ทำให้ศิษย์เหล่านั้นลำบากใจ
ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์นอกส่วนใหญ่ยังมาจากตระกูลร่ำรวยเป็นชนชั้นสูง พวกเขามีเงินมากมายให้จับจ่าย แม้ว่าจะดูเหลาะแหละแต่ว่าพวกเขาก็มีการแข่งขันที่เข้มข้นซึ่งมักนำไปสู่การหลั่งเลือด พวกเขาทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะเป็นศิษย์ใน
ก่อนตะวันลับ ศิษย์ชุดเขียวพาเสี่ยวเฉินมาที่ยอดเขา ศิษย์หลายคนทักศิษย์ในชุดเขียวส่วนอีกหลายคนพูดถึงเสี่ยวเฉิน มันไม่ใช่เรื่องปกติที่ศิษย์ในจะพาคนมาที่ประตูนอก
ส่วนพวกหน้าใหม่ที่เคยเจอเสี่ยวเฉินมาก่อนนั้น พวกเขาดูตกใจและเริ่มคุยกัน
“เขาไปแล้วนี่ ทำไมถึงกลับมาล่ะ?”
“เขาเป็นใครรึ?”
“เขาได้คะแนนสูงสุดในการสอบ แต่ไม่รู้ทำไมผู้เฒ่าถึงไม่เลือกเขา”
“ฮ่า! ก็แค่คนโชคร้ายที่เข้าประตูในไม่ได้สินะ”
“ชู่ว ศิษย์พี่ คนนั้นน่ะไม่ธรรมดา ไม่เห็นรึว่าศิษย์ในพาเขามาด้วยตัวเอง?”
ตลอดทางเสี่ยวเฉินจะเห็นคนมากมายชี้นิ้วมาที่เขาซึ่งทำให้เขารู้สึกแย่ และเขายังเห็นบ้านที่กระจัดกระจายในเนินเขา
นั่นคือที่พักของเหล่าศิษย์นอก ค่าใช้จ่ายบนยอดเขาตะวันลับนั้นสูงลิ่ว บ้านกว้างยาวด้านละสามสิบศอกยังมีค่าเช่า 1,000 ตำลึงเงินต่อปี แม้จะเป็นเมืองใหญ่อย่างเมืองเมฆา 1,000 ตำลึงเงินก็มากพอแล้วที่จะสร้างตำหนักชั้นเยี่ยม
แต่มันไม่สำคัญเพราะคนที่นี่ร่ำรวย เงินไม่ใช่ปัญหาของพวกเขา
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เสี่ยวเฉินมาถึงสวนอันเงียบเชียบห่างไกลจากที่พักของศิษย์ทั่วไป เขาเปิดประตูและได้เห็นภาพอันงดงาม เขาเห็นสวนหิน น้ำในสระใส ต้นไม้ที่งดงามและบุบผาบานสะพรั่ง สายลมอ่อนโชยกลีบดอกขาวมาที่เส้นผมและไหล่ของเขา
“ว้าว! นายน้อย! ที่นี่สวยกว่าศาลาเถาวัลย์ม่วงบ้านเราอีกนะ!”
หลิวรั่วพูดอย่างดีใจ
เสี่ยวเฉินพยักหนา้และเห็นว่ามีต้นคนทีหิมะมากมายในสวนแห่งนี้ ดอกไม้นั้นมีสีขาวและกลิ่นหอมอ่อน ๆ เมื่อสายลมพัดผ่านพวกมันจะร่ายรำดั่งดอกไม้ฤดูหนาว
คนที่อยู่ที่นี่มาก่อนคงเป็นสตรี
“ศิษย์พี่ ใครอยู่ที่นี่มาก่อนรึ?”
ศิษย์ชุดเขียวเกาหูยิ้ม
“ศิษย์น้องอย่าได้ถามเลย ที่นี่เป็นของเจ้าแล้ว จะไม่มีใครมารบกวนเจ้า”
เสี่ยวเฉินเดินเข้าไปยังสวนและรู้สึกถึงการมีอยู่ของพลังปราณอันมากมาย มันมีพลังปราณมากพอ ๆ กับยอดเขาหลัก เขาตกใจเมื่อพบว่ามีคนวางค่ายกลเอาไว้เพื่อรวบรวมพลังปราณในหุบเขามาที่สวนแห่งนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าของเก่าของทีนี่จะมีสถานะสูงส่ง มิใช่ศิษย์นอกทั่วไปแน่นอน
เขาตาลุกวาวเมื่อเดินไปอีกก้าว