ตอนที่แล้วตอนที่ 20 ทดสอบเส้นปราณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 22 ยอดเขาตะวันลับ

ตอนที่ 21 ฟ้าลิขิต


สองคนในชุดเขียวและขาวกระโดดถอยหลังจากศิลา เสี่ยวเฉินหวาดกลัวขนหัวลุกและอยากจะดึงมือกลับ แต่ดูเหมือนว่ามือของเขาจะถูกผูกติดอยู่กับศิลา เขามิอาจดึงมือกลับได้

จู่ ๆ ศิลาทมิฬก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและแตกสลายด้วยเสียงระเบิดสะเทือนปฐพี ศิลานั้นมีพลังวิเศษอยู่จำนวนมาก การระเบิดของมันนั้นเป็นดั่งภัยพิบัติ หยูยี่เฟิงเห็นภัยข้างหน้าและชี้สองดัชนีไปที่เสี่ยวเฉิน ลำแสงสีขาวแล่นเข้าไปเปลี่ยนเป็นม่านปกคลุมเสี่ยวเฉิน

จากนั้นเขาก็พุ่งไปหาเสี่ยวเฉินในลำแสงนั้นและกดข้อมือของเสี่ยวเฉิน

เวลาผ่านมานานแล้ว ผู้คนบนลานกว้างยังคงแตกตื่น หยูยี่เฟิงปล่อยมือเสี่ยวเฉินและพูดเสียงดัง

“ทุกท่านอย่าตื่นตระหนก ศิลาทดสอบผิดปกติเมื่อครู่ ศิษย์น้องเสี่ยวมีหกเส้นปราณ”

คำพูดของเขามีอำนาจเหนือผู้เฒ่าคุมสอบ ผู้คนยอมรับคำอธิบายของเขา ผู้เฒ่ายิ้มรับ

“ใช่แล้ว ศิลานั้นไม่ได้ซ่อมแซมมาร้อยปี เป็นธรรมดาที่จะผิดปกติได้”

ชายสองคนในชุดเขียวและขาวไม่พูดอะไร พวกเขาหนึ่งคนพูด

“เอาล่ะ โปรดรอสักครู่ พวกข้าจะนำผลการทดสอบไปให้ผู้เฒ่า”

เสี่ยวเฉินยังคงคิดไม่ตก เขาหวาดกลัว 12 ลำแสงทมิฬนั้นจริง ๆ หยูยี่เฟิงจับบ่าเขา

“ไม่เป็นไร เพียงแค่ศิลาทดสอบผิดปกติเท่านั้น เจ้ากลับไปได้แล้ว”

“ครับ”

เสี่ยวเฉินพยักหน้าและเดินไปยังคนด้านล่าง เสี่ยวหวังเอ๋อหัวเราะเบา ๆ

“ว่าแล้วเชียว เจ้าเก่งไม่ต่างกับพี่เสี่ยวฮั่นเลย น่าเสียดายที่ข้ามีแค่สี่เส้นปราณ แต่มันก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เราไปฉลองในเมืองกันไหม? ข้าเลี้ยงเอง!”

เสี่ยวเฉินฝืนยิ้ม

“ได้สิ”

เสี่ยวฮั่นยังคงยืนนิ่งมองท้องฟ้า

ในตอนนั้นเอง สามองค์ชายเดินมา หนึ่งในนั้นพูด

“ศิษย์พี่เสี่ยวยอดเยี่ยมนัก!”

เสี่ยวเฉินพยักหน้ายิ้ม

“พวกเจ้าก็ด้วย”

สามองค์ชายนั้นมีสองเส้นปราณขั้นปานกลางทุกคน ซึ่งนับว่าไม่เลว

หนึ่งชั่วโมงต่อมาถึงยามโพล้เพล้ ชายสองคนในชุดเขียวและขาวเดินกลับมาหาพวกเขากับม้วนไผ่ในมือ ทุกคนเริ่มตั้งสมาธิเพราะชื่อของคนที่ได้เข้านิกายจะต้องเขียนอยู่ในม้วนไผ่นั้น

ชายชุดเขียวเปิดม้วนไผ่อ่าน

“ห้าสิบคนต่อไปนี้เป็นศิษย์นอก หลิวฮั่น หวังเยี่ย…”

หลายคนตั้งใจฟังและวิตกอย่างมาก พวกเขาอยากจะได้ยินชื่อตัวเองเพราะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเป็นศิษย์ใน

บางคนที่มีพรสวรรค์เองก็วิตกกังวล แต่เป็นความกังวลอีกรูปแบบ พวกเขาไม่อยากได้ยินชื่อตัวเองในตอนนี้ เสี่ยวหวังเอ๋อเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ชายในชุดเขียวอ่านชื่อจนจบ เสี่ยวหวังเอ๋อถอนหายใจอย่างโล่งใจ ชื่อของนางมิได้อยู่ในรายชื่อ สามองค์ชายกระโดดขึ้นความดีใจ

“สุดท้ายแล้วพวกเราก็เป็นศิษย์นอก!”

เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วแน่นและจ้องมองชายชุดขาว

ชาวชุดขาวเปิดม้วนไผ่ในมือ

“ห้าคนต่อไปนี้มีพรสวรรค์ที่ดีกว่าและได้เป็นว่าที่ศิษย์ของผู้เฒ่าหนึ่งโดยตรง”

เขามองม้วนไผ่

“ถังหยู”

“ข้าอยู่นี่!”

ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดยกมือ

“จ้าวหลิงเฟย”

“ข้าเอง! ข้าเอง!”

หญิงสาวอายุสิบเจ็ดปีกระโดดโบกไม้โบกมือ

“ชางก่วนหยาน”

ชางก่วนหยานยิ้มอ่อนโยนและพยักหน้า

เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วแน่น เท่านี้ก็มีกันสามคนแล้ว เหลืออีกเพียงแค่สองชื่อเท่านั้น!

“เสี่ยวหวังเอ๋อ”

“ข้าล่ะ!”

เสี่ยวหวังเอ๋อยกมือขึ้นมองอีกสองคนข้าง ๆ นางและขมวดคิ้ว

ศิษย์ชุดขาวพยักหน้า

“เสี่ยว…”

จากนั้นเขาจึงมองม้วนไผ่อย่างละเอียด ทุกคนหันไปมองเสี่ยวเฉินและเสี่ยวฮั่น

“เสี่ยวฮั่น”

ศิษย์ชุดขาวยิ้ม

“ยินดีกับการได้เป็นศิษย์ในของพวกเจ้าด้วย…”

“ช้าก่อน!”

เสียงเย็นชาดังแทรก เสี่ยวเฉินเดินเข้าไปด้วยสีหน้าหม่นหมอง ศิษย์ชุดเขียวพูด

“ศิษย์น้องใจเย็นก่อน…อย่าก่อเรื่องที่นี่…”

เสี่ยวเฉินคว้าม้วนไผ่จากศิษย์ชุดขาวมาอ่าน เขากำหมัดจนนิ้วลั่นในไม่กี่วินาทีต่อมา ศิษย์ชุดขาวยิ้มแหย

“ศิษย์น้อง ไว้คราวเจ้าค่อย…”

“คราวหน้ารึ? หึหึ ข้าเป็นศิษย์นอกยังไม่ได้เลยหรือ? หึหึ…”

เสี่ยวเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น เขาดูหมองหม่นและน่ากลัว

ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เสี่ยวเฉินทำได้ยอดเยี่ยมโดดเด่นกว่าใครมาตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ว่าเขาจะมิอาจเป็นศิษย์ใน แล้วเหตุใดจึงไม่มีชื่อเขาในรายการศิษย์นอกเล่า?

ลั่วชางหยานรีบเดินมาหาเขา

“ไม่เป็นไร กลุ่มเราสอบเสร็จเป็นกลุ่มแรก ข้าเลือกหนึ่งคนเป็นศิษย์ในได้”

ศิษย์ชุดเขียวยิ้มอย่างหม่นหมอง

“ศิษย์พี่ลั่ว พวกผู้เฒ่ายกเลิกสิทธิพิเศษชั่วคราว ศิษย์พี่จึง..”

“ว่าไงนะ?!”

ลั่วชางหยานไม่อยากจะเชื่อหู

ศิษย์ชุดขาวกล่าว

“เอาล่ะทุกคนกลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้เจ้าจะได้เข้าพิธีอย่างเป็นทางการ ส่วนคนที่ไม่ได้รับเลือกก็อย่าถอดใจ เราจะแนะนำพวกเจ้าให้นิกายวายุนภาและอีกหลายนิกาย”

พวกเขาถอนหายใจและส่ายหน้า คงเป็นเรื่องข่าขันหากนิกายวายุนภาต้องการคนที่ถูกปฏิเสธจากนิกายสามพิสุทธิ์

สามองค์ชายเดินเข้ามาถาม

“ศิษย์พี่โดนเข้าใจผิดรึ?”

เสี่ยวหวังเอ๋อและคนอื่นเองก็เดินเข้ามา ชางก่วนหยานถาม

“เอาสิทธิ์ของข้าให้เขาได้ไหม?”

“เอ่อ…”

ศิษย์สองคนในชุดเขียวและขาวดูละอาย

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ถามน่ะ”

“ข้าอยากเจอพวกผู้เฒ่า!”

เสี่ยวเฉินร้องคำราม

“เอ่อ…วันนี้ไม่มีผู้เฒ่าคนไหนว่างเลย”

ศิษย์ชุดเขียวพูด

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอจนถึงพรุ่งนี้! ถ้าไม่ว่างพรุ่งนี้ข้าก็จะรอถึงวันมะรืน! ข้าจะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้เจอผู้เฒ่า!”

หยูยี่เฟิงเดินเข้ามาในตอนนั้นเอง สองคนในชุดเขียวและขาวหวาดกลัวก้มหน้าไม่กล้ามองเขา ศิษย์ชุดขาวพูดด้วยความหวาดผวา

“นี่เป็นการตัดสินใจของผู้เฒ่า พวกข้าทำอะไรไม่ได้…”

“อืม”

หยูยี่เฟิงพูดเพียงคำเดียวก่อนจะเดินไปที่โถงที่มีเหล่าผู้เฒ่าอยู่

หลายคนค่อย ๆ เดินจากไป เหลือเพียงชายหนุ่มยืนอยู่คนเดียวบนบันได เงายามพลบค่ำของเขาดูเดียวดาย

“นายน้อย กลับบ้านกันเถอะ…”

หลิวรั่วเดินมาหาเขาด้วยกระเป๋าสองใบในมือ

เสี่ยวเฉินไม่พูดอะไร

หยูยี่เฟิงเดินเข้าไปในโถง มีเพียงผู้เฒ่าสี่ที่อยู่และขมวดคิ้ว เมื่อเห็นหยูยี่เฟิงเขาก็รีบลุกขึ้นเดินไปหา

“เสี่ยวเฉินมีร่างกายยอดเยี่ยม และเขาเหมาะสมอย่างมากที่จะได้เป็นเซียน ทำไมถึงปฏิเสธเขา?”

“เอ่อ…”

ผู้เฒ่าสี่ดูละอายใจ

“เป็นการตัดสินใจของข้าเอง”

เสียงผู้เฒ่าดังมาจากด้านหลังห้องโถง

“ลุงฉิงเฟิง…ทำไมกัน?”

หยูยี่เฟิงมิอาจเชื่อหู

ผู้เฒ่าชุดสีครามมีกล่องพิณที่แผ่นหลังเดินเข้ามา แม้จะมีผมสีเงินและเครายาวแต่ก็ไม่มีริ้วรอยบนใบหน้าเขา เขามองผู้เฒ่าสี่

“ผู้เฒ่าสี่ ได้หรือไม่?”

“ย่อมได้ เซียนพิณอาวุโส”

ผู้เฒ่าสี่ประสานมือและเดินออกไป

ผู้เฒ่าชุดสีครามมองหยูยี่เฟิง

“นั่งสิ”

หยูยี่เฟิงไม่พูดอะไรและนั่งลง ผู้เฒ่าชุดสีครามโบกมือ ม่านแสงปรากฏขึ้นมา มีภาพอยู่บนม่านแสง เป็นภาพภูเขา ถล่มวารีในแม่น้ำไหลย้อนกลับ แผ่นดินจมสู่เบื้องล่าง สุริยันจันทราแตกร้าว ดวงดาวแตกสลาย มันคือภาพจุดจบของโลก

หยูยี่เฟิงหวาดกลัวเมื่อได้เห็น ผู้เฒ่าชุดสีครามคลายม่านทิ้ง

“นี่คือการทำลายล้างครั้งสุดท้ายเมื่อ 40,000 ปีก่อน ไม่มีเซียนใดรอดชีวิตได้”

หยูยี่เฟิงหายใจเข้าลึก

“มันเกี่ยวอะไรกับเฉินน้อยรึ?”

ผู้เฒ่าชุดสีครามตอบ

“เจ้าบอกไม่ได้หรอกรึว่ามีเรื่องผิดปกติกับโชคชะตาของเด็กคนนี้?”

หยูยี่เฟิงก้มหน้า

“ขออภัย พลังบ่มเพาะข้าอาจต่ำเกินกว่าจะบอกได้”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าดู”

ผู้เฒ่าเปิดม่านแสงอีกครั้ง

หยูยี่เฟิงตกตะลึง เขาหายใจเร็วขึ้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“เจ้าบอกได้หรือยัง?”

ผู้เฒ่าโบกมือีกครั้งเพื่อปิดม่านแสง

หยูยี่เฟิงเงียบอยู่นาน พวกเขาพูดคุยกันตลอดทั้งคืน วันต่อมาแสงตะวันสาดส่องพวกเขา ผู้เฒ่ากล่าว

“ชะตาฟ้าลิขิตเขาโดนใครบางคนเมื่อนานมาแล้ว เจ้ามิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ข้าเองก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เขาเองก็มิอาจเปลี่ยนได้”

หยูยี่เฟิงขยับนิ้วคิดอ่านบางอย่าง

“แล้วใยถึงได้ช่วยเขาเมื่อ 16 ปีก่อนเล่า? ข้าไม่เชื่อหรอก! ชะตาเปลี่ยนด้วยคนอื่นได้ เขาเพียงแค่ต้องเจอคนที่มีชะตาเหนือกว่าที่จะบดบังชะตาของเสี่ยวเฉิน!”

“แล้วเจ้าคิดว่าจะมีชะตาผู้ใดที่เหนือกว่าชะตาของเขาเล่า?”

“ถ้าอย่างนั้นก็หาคนที่มีชะตาเหมือนกับเขาสิ! โชคชะตาจะได้บดบังซึ่งกันและกัน!”

พวกเขาทั้งสองหยุดพูด ผ่านเวลาไปนาน ผู้เฒ่าชุดสีครามกล่าว

“ถ้าหากมันได้ผล แล้วเจ้าเมื่อ 600 ปีก่อนเล่า? เหตุใดเจ้าถึงเข้าสู่วัฏสงสารด้วยการปลิดชีพตัวเองด้วยกระบี่? ยี่เฟิง เจ้าควรกลับไปได้แล้ว ธรุของเจ้าบนโลกมนุษย์จบลงแล้ว ส่วนเรื่องบุพผาอสูรข้าจะไปสืบกับลุงเสี่ยวเหยา เจ้าไม่ต้องกังวล และบอกศิษย์พี่ชิงเฉินว่าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ด้วย”

หยูยี่เฟิงถอนหายใจ เขาลุกขึ้นยืน

“ข้าขอตัวก่อน ท่านลุงถนอมตัวด้วย”

เขาหันหลังเดินจากไป

เสี่ยวเฉินยืนอยู่บนลานกว้างตลอดทั้งคืน ความชื้นสูงบนภูเขาทำให้เส้นผมของเขาเปียกชื้น ด้วยเส้นสายกับหยูยี่เฟิง ศิษย์นิกายสามพิสุทธิ์จึงไม่กล้าล้อเลียนหรือไล่เขาออกไป หลายคนเพียงแค่เดินก้มหน้าผ่านไป

หลิวรั่วเองก็ยืนอยู่ข้างกายเขาทั้งคืน

“ศิษย์น้องเสี่ยว…”

เสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง เป็นลั่วชางหยานนั่นเอง

“ขอโทษนะศิษย์น้องเสี่ยว ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย”

เสี่ยวเฉินเห็นนางที่เหนื่อยล้าและคิดเอาว่านางอาจจะไปพูดคุยกับผู้เฒ่ามาทั้งคืน เขายิ้มอย่างอ่อนโยน

“ไม่เป็นไร…”

“เจ้ากลับไปเถอะ ผู้เฒ่าจะไม่มีวันมาเจอเจ้า…”

เสียงของลั่วชางหยานเบาลงเรื่อย ๆ

“ยากนักที่คนธรรมดาจะกลายเป็นเซียนได้ มันยากเหลือเกิน เฮ่อ…”

เสี่ยวเฉินยิ้มเย็นชาและกำลังจะเดินไป เสียงหนึ่งดังมาจากไกล ๆ

“เฉินน้อย”

เป็นหยูยี่เฟิงนั่นเอง ศิษย์โดยรอบกำลังเตรียมสำหรับการเรียนตอนเช้า พวกเขาคารวะด้วยความนับถือ

“พี่ยี่เฟิง…”

ริมฝีปากแห้งของเสี่ยวเฉินขยับ

หยูยี่เฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยนและอยากจะพูดอะไร แต่กระบี่ขาวกลับลอยมาจากแผ่นหลังของเขา มันมีสีขาวทั้งเล่ม ตัวกระบี่และด้ามขาวหลอมรวมกัน กระบี่เปล่งแสงขาวสว่างเจิดจ้าดูศักดิ์สิทธิ์

ทุกคนมองกระบี่เล่มนี้ มันคือกระบี่เทพบรรพกาล กระบี่ที่พวกเขาขี่นั้นเทียบไม่ได้กับกระบี่เล่มนี้เลย

กระบี่ขาวราวกับมีจิตเป็นของตัวเอง มันค่อย ๆ ลอยไปที่มือของหยูยี่เฟิง

“กระบี่เล่มนี้มีนามว่า ‘ไร้มลทิน’ ผู้ที่ไร้มลทินอยู่ภายย่อมไม่ถูกยั่วยุโดยอธรรม”

เขาเก็บกระบี่เข้าฝักและยื่นฝักให้เสี่ยวเฉิน

“จากนี้ไปเจ้าเป็นเจ้าของกระบี่เล่มนี้”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด