ตอนที่ 21 ฟ้าลิขิต
สองคนในชุดเขียวและขาวกระโดดถอยหลังจากศิลา เสี่ยวเฉินหวาดกลัวขนหัวลุกและอยากจะดึงมือกลับ แต่ดูเหมือนว่ามือของเขาจะถูกผูกติดอยู่กับศิลา เขามิอาจดึงมือกลับได้
จู่ ๆ ศิลาทมิฬก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและแตกสลายด้วยเสียงระเบิดสะเทือนปฐพี ศิลานั้นมีพลังวิเศษอยู่จำนวนมาก การระเบิดของมันนั้นเป็นดั่งภัยพิบัติ หยูยี่เฟิงเห็นภัยข้างหน้าและชี้สองดัชนีไปที่เสี่ยวเฉิน ลำแสงสีขาวแล่นเข้าไปเปลี่ยนเป็นม่านปกคลุมเสี่ยวเฉิน
จากนั้นเขาก็พุ่งไปหาเสี่ยวเฉินในลำแสงนั้นและกดข้อมือของเสี่ยวเฉิน
เวลาผ่านมานานแล้ว ผู้คนบนลานกว้างยังคงแตกตื่น หยูยี่เฟิงปล่อยมือเสี่ยวเฉินและพูดเสียงดัง
“ทุกท่านอย่าตื่นตระหนก ศิลาทดสอบผิดปกติเมื่อครู่ ศิษย์น้องเสี่ยวมีหกเส้นปราณ”
คำพูดของเขามีอำนาจเหนือผู้เฒ่าคุมสอบ ผู้คนยอมรับคำอธิบายของเขา ผู้เฒ่ายิ้มรับ
“ใช่แล้ว ศิลานั้นไม่ได้ซ่อมแซมมาร้อยปี เป็นธรรมดาที่จะผิดปกติได้”
ชายสองคนในชุดเขียวและขาวไม่พูดอะไร พวกเขาหนึ่งคนพูด
“เอาล่ะ โปรดรอสักครู่ พวกข้าจะนำผลการทดสอบไปให้ผู้เฒ่า”
เสี่ยวเฉินยังคงคิดไม่ตก เขาหวาดกลัว 12 ลำแสงทมิฬนั้นจริง ๆ หยูยี่เฟิงจับบ่าเขา
“ไม่เป็นไร เพียงแค่ศิลาทดสอบผิดปกติเท่านั้น เจ้ากลับไปได้แล้ว”
“ครับ”
เสี่ยวเฉินพยักหน้าและเดินไปยังคนด้านล่าง เสี่ยวหวังเอ๋อหัวเราะเบา ๆ
“ว่าแล้วเชียว เจ้าเก่งไม่ต่างกับพี่เสี่ยวฮั่นเลย น่าเสียดายที่ข้ามีแค่สี่เส้นปราณ แต่มันก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เราไปฉลองในเมืองกันไหม? ข้าเลี้ยงเอง!”
เสี่ยวเฉินฝืนยิ้ม
“ได้สิ”
เสี่ยวฮั่นยังคงยืนนิ่งมองท้องฟ้า
ในตอนนั้นเอง สามองค์ชายเดินมา หนึ่งในนั้นพูด
“ศิษย์พี่เสี่ยวยอดเยี่ยมนัก!”
เสี่ยวเฉินพยักหน้ายิ้ม
“พวกเจ้าก็ด้วย”
สามองค์ชายนั้นมีสองเส้นปราณขั้นปานกลางทุกคน ซึ่งนับว่าไม่เลว
หนึ่งชั่วโมงต่อมาถึงยามโพล้เพล้ ชายสองคนในชุดเขียวและขาวเดินกลับมาหาพวกเขากับม้วนไผ่ในมือ ทุกคนเริ่มตั้งสมาธิเพราะชื่อของคนที่ได้เข้านิกายจะต้องเขียนอยู่ในม้วนไผ่นั้น
ชายชุดเขียวเปิดม้วนไผ่อ่าน
“ห้าสิบคนต่อไปนี้เป็นศิษย์นอก หลิวฮั่น หวังเยี่ย…”
หลายคนตั้งใจฟังและวิตกอย่างมาก พวกเขาอยากจะได้ยินชื่อตัวเองเพราะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเป็นศิษย์ใน
บางคนที่มีพรสวรรค์เองก็วิตกกังวล แต่เป็นความกังวลอีกรูปแบบ พวกเขาไม่อยากได้ยินชื่อตัวเองในตอนนี้ เสี่ยวหวังเอ๋อเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ชายในชุดเขียวอ่านชื่อจนจบ เสี่ยวหวังเอ๋อถอนหายใจอย่างโล่งใจ ชื่อของนางมิได้อยู่ในรายชื่อ สามองค์ชายกระโดดขึ้นความดีใจ
“สุดท้ายแล้วพวกเราก็เป็นศิษย์นอก!”
เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วแน่นและจ้องมองชายชุดขาว
ชาวชุดขาวเปิดม้วนไผ่ในมือ
“ห้าคนต่อไปนี้มีพรสวรรค์ที่ดีกว่าและได้เป็นว่าที่ศิษย์ของผู้เฒ่าหนึ่งโดยตรง”
เขามองม้วนไผ่
“ถังหยู”
“ข้าอยู่นี่!”
ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดยกมือ
“จ้าวหลิงเฟย”
“ข้าเอง! ข้าเอง!”
หญิงสาวอายุสิบเจ็ดปีกระโดดโบกไม้โบกมือ
“ชางก่วนหยาน”
ชางก่วนหยานยิ้มอ่อนโยนและพยักหน้า
เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วแน่น เท่านี้ก็มีกันสามคนแล้ว เหลืออีกเพียงแค่สองชื่อเท่านั้น!
“เสี่ยวหวังเอ๋อ”
“ข้าล่ะ!”
เสี่ยวหวังเอ๋อยกมือขึ้นมองอีกสองคนข้าง ๆ นางและขมวดคิ้ว
ศิษย์ชุดขาวพยักหน้า
“เสี่ยว…”
จากนั้นเขาจึงมองม้วนไผ่อย่างละเอียด ทุกคนหันไปมองเสี่ยวเฉินและเสี่ยวฮั่น
“เสี่ยวฮั่น”
ศิษย์ชุดขาวยิ้ม
“ยินดีกับการได้เป็นศิษย์ในของพวกเจ้าด้วย…”
“ช้าก่อน!”
เสียงเย็นชาดังแทรก เสี่ยวเฉินเดินเข้าไปด้วยสีหน้าหม่นหมอง ศิษย์ชุดเขียวพูด
“ศิษย์น้องใจเย็นก่อน…อย่าก่อเรื่องที่นี่…”
เสี่ยวเฉินคว้าม้วนไผ่จากศิษย์ชุดขาวมาอ่าน เขากำหมัดจนนิ้วลั่นในไม่กี่วินาทีต่อมา ศิษย์ชุดขาวยิ้มแหย
“ศิษย์น้อง ไว้คราวเจ้าค่อย…”
“คราวหน้ารึ? หึหึ ข้าเป็นศิษย์นอกยังไม่ได้เลยหรือ? หึหึ…”
เสี่ยวเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น เขาดูหมองหม่นและน่ากลัว
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เสี่ยวเฉินทำได้ยอดเยี่ยมโดดเด่นกว่าใครมาตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ว่าเขาจะมิอาจเป็นศิษย์ใน แล้วเหตุใดจึงไม่มีชื่อเขาในรายการศิษย์นอกเล่า?
ลั่วชางหยานรีบเดินมาหาเขา
“ไม่เป็นไร กลุ่มเราสอบเสร็จเป็นกลุ่มแรก ข้าเลือกหนึ่งคนเป็นศิษย์ในได้”
ศิษย์ชุดเขียวยิ้มอย่างหม่นหมอง
“ศิษย์พี่ลั่ว พวกผู้เฒ่ายกเลิกสิทธิพิเศษชั่วคราว ศิษย์พี่จึง..”
“ว่าไงนะ?!”
ลั่วชางหยานไม่อยากจะเชื่อหู
ศิษย์ชุดขาวกล่าว
“เอาล่ะทุกคนกลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้เจ้าจะได้เข้าพิธีอย่างเป็นทางการ ส่วนคนที่ไม่ได้รับเลือกก็อย่าถอดใจ เราจะแนะนำพวกเจ้าให้นิกายวายุนภาและอีกหลายนิกาย”
พวกเขาถอนหายใจและส่ายหน้า คงเป็นเรื่องข่าขันหากนิกายวายุนภาต้องการคนที่ถูกปฏิเสธจากนิกายสามพิสุทธิ์
สามองค์ชายเดินเข้ามาถาม
“ศิษย์พี่โดนเข้าใจผิดรึ?”
เสี่ยวหวังเอ๋อและคนอื่นเองก็เดินเข้ามา ชางก่วนหยานถาม
“เอาสิทธิ์ของข้าให้เขาได้ไหม?”
“เอ่อ…”
ศิษย์สองคนในชุดเขียวและขาวดูละอาย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ถามน่ะ”
“ข้าอยากเจอพวกผู้เฒ่า!”
เสี่ยวเฉินร้องคำราม
“เอ่อ…วันนี้ไม่มีผู้เฒ่าคนไหนว่างเลย”
ศิษย์ชุดเขียวพูด
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอจนถึงพรุ่งนี้! ถ้าไม่ว่างพรุ่งนี้ข้าก็จะรอถึงวันมะรืน! ข้าจะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้เจอผู้เฒ่า!”
หยูยี่เฟิงเดินเข้ามาในตอนนั้นเอง สองคนในชุดเขียวและขาวหวาดกลัวก้มหน้าไม่กล้ามองเขา ศิษย์ชุดขาวพูดด้วยความหวาดผวา
“นี่เป็นการตัดสินใจของผู้เฒ่า พวกข้าทำอะไรไม่ได้…”
“อืม”
หยูยี่เฟิงพูดเพียงคำเดียวก่อนจะเดินไปที่โถงที่มีเหล่าผู้เฒ่าอยู่
หลายคนค่อย ๆ เดินจากไป เหลือเพียงชายหนุ่มยืนอยู่คนเดียวบนบันได เงายามพลบค่ำของเขาดูเดียวดาย
“นายน้อย กลับบ้านกันเถอะ…”
หลิวรั่วเดินมาหาเขาด้วยกระเป๋าสองใบในมือ
เสี่ยวเฉินไม่พูดอะไร
…
หยูยี่เฟิงเดินเข้าไปในโถง มีเพียงผู้เฒ่าสี่ที่อยู่และขมวดคิ้ว เมื่อเห็นหยูยี่เฟิงเขาก็รีบลุกขึ้นเดินไปหา
“เสี่ยวเฉินมีร่างกายยอดเยี่ยม และเขาเหมาะสมอย่างมากที่จะได้เป็นเซียน ทำไมถึงปฏิเสธเขา?”
“เอ่อ…”
ผู้เฒ่าสี่ดูละอายใจ
“เป็นการตัดสินใจของข้าเอง”
เสียงผู้เฒ่าดังมาจากด้านหลังห้องโถง
“ลุงฉิงเฟิง…ทำไมกัน?”
หยูยี่เฟิงมิอาจเชื่อหู
ผู้เฒ่าชุดสีครามมีกล่องพิณที่แผ่นหลังเดินเข้ามา แม้จะมีผมสีเงินและเครายาวแต่ก็ไม่มีริ้วรอยบนใบหน้าเขา เขามองผู้เฒ่าสี่
“ผู้เฒ่าสี่ ได้หรือไม่?”
“ย่อมได้ เซียนพิณอาวุโส”
ผู้เฒ่าสี่ประสานมือและเดินออกไป
ผู้เฒ่าชุดสีครามมองหยูยี่เฟิง
“นั่งสิ”
หยูยี่เฟิงไม่พูดอะไรและนั่งลง ผู้เฒ่าชุดสีครามโบกมือ ม่านแสงปรากฏขึ้นมา มีภาพอยู่บนม่านแสง เป็นภาพภูเขา ถล่มวารีในแม่น้ำไหลย้อนกลับ แผ่นดินจมสู่เบื้องล่าง สุริยันจันทราแตกร้าว ดวงดาวแตกสลาย มันคือภาพจุดจบของโลก
หยูยี่เฟิงหวาดกลัวเมื่อได้เห็น ผู้เฒ่าชุดสีครามคลายม่านทิ้ง
“นี่คือการทำลายล้างครั้งสุดท้ายเมื่อ 40,000 ปีก่อน ไม่มีเซียนใดรอดชีวิตได้”
หยูยี่เฟิงหายใจเข้าลึก
“มันเกี่ยวอะไรกับเฉินน้อยรึ?”
ผู้เฒ่าชุดสีครามตอบ
“เจ้าบอกไม่ได้หรอกรึว่ามีเรื่องผิดปกติกับโชคชะตาของเด็กคนนี้?”
หยูยี่เฟิงก้มหน้า
“ขออภัย พลังบ่มเพาะข้าอาจต่ำเกินกว่าจะบอกได้”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าดู”
ผู้เฒ่าเปิดม่านแสงอีกครั้ง
หยูยี่เฟิงตกตะลึง เขาหายใจเร็วขึ้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“เจ้าบอกได้หรือยัง?”
ผู้เฒ่าโบกมือีกครั้งเพื่อปิดม่านแสง
หยูยี่เฟิงเงียบอยู่นาน พวกเขาพูดคุยกันตลอดทั้งคืน วันต่อมาแสงตะวันสาดส่องพวกเขา ผู้เฒ่ากล่าว
“ชะตาฟ้าลิขิตเขาโดนใครบางคนเมื่อนานมาแล้ว เจ้ามิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ข้าเองก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เขาเองก็มิอาจเปลี่ยนได้”
หยูยี่เฟิงขยับนิ้วคิดอ่านบางอย่าง
“แล้วใยถึงได้ช่วยเขาเมื่อ 16 ปีก่อนเล่า? ข้าไม่เชื่อหรอก! ชะตาเปลี่ยนด้วยคนอื่นได้ เขาเพียงแค่ต้องเจอคนที่มีชะตาเหนือกว่าที่จะบดบังชะตาของเสี่ยวเฉิน!”
“แล้วเจ้าคิดว่าจะมีชะตาผู้ใดที่เหนือกว่าชะตาของเขาเล่า?”
“ถ้าอย่างนั้นก็หาคนที่มีชะตาเหมือนกับเขาสิ! โชคชะตาจะได้บดบังซึ่งกันและกัน!”
พวกเขาทั้งสองหยุดพูด ผ่านเวลาไปนาน ผู้เฒ่าชุดสีครามกล่าว
“ถ้าหากมันได้ผล แล้วเจ้าเมื่อ 600 ปีก่อนเล่า? เหตุใดเจ้าถึงเข้าสู่วัฏสงสารด้วยการปลิดชีพตัวเองด้วยกระบี่? ยี่เฟิง เจ้าควรกลับไปได้แล้ว ธรุของเจ้าบนโลกมนุษย์จบลงแล้ว ส่วนเรื่องบุพผาอสูรข้าจะไปสืบกับลุงเสี่ยวเหยา เจ้าไม่ต้องกังวล และบอกศิษย์พี่ชิงเฉินว่าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ด้วย”
หยูยี่เฟิงถอนหายใจ เขาลุกขึ้นยืน
“ข้าขอตัวก่อน ท่านลุงถนอมตัวด้วย”
เขาหันหลังเดินจากไป
…
เสี่ยวเฉินยืนอยู่บนลานกว้างตลอดทั้งคืน ความชื้นสูงบนภูเขาทำให้เส้นผมของเขาเปียกชื้น ด้วยเส้นสายกับหยูยี่เฟิง ศิษย์นิกายสามพิสุทธิ์จึงไม่กล้าล้อเลียนหรือไล่เขาออกไป หลายคนเพียงแค่เดินก้มหน้าผ่านไป
หลิวรั่วเองก็ยืนอยู่ข้างกายเขาทั้งคืน
“ศิษย์น้องเสี่ยว…”
เสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง เป็นลั่วชางหยานนั่นเอง
“ขอโทษนะศิษย์น้องเสี่ยว ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย”
เสี่ยวเฉินเห็นนางที่เหนื่อยล้าและคิดเอาว่านางอาจจะไปพูดคุยกับผู้เฒ่ามาทั้งคืน เขายิ้มอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไร…”
“เจ้ากลับไปเถอะ ผู้เฒ่าจะไม่มีวันมาเจอเจ้า…”
เสียงของลั่วชางหยานเบาลงเรื่อย ๆ
“ยากนักที่คนธรรมดาจะกลายเป็นเซียนได้ มันยากเหลือเกิน เฮ่อ…”
เสี่ยวเฉินยิ้มเย็นชาและกำลังจะเดินไป เสียงหนึ่งดังมาจากไกล ๆ
“เฉินน้อย”
เป็นหยูยี่เฟิงนั่นเอง ศิษย์โดยรอบกำลังเตรียมสำหรับการเรียนตอนเช้า พวกเขาคารวะด้วยความนับถือ
“พี่ยี่เฟิง…”
ริมฝีปากแห้งของเสี่ยวเฉินขยับ
หยูยี่เฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยนและอยากจะพูดอะไร แต่กระบี่ขาวกลับลอยมาจากแผ่นหลังของเขา มันมีสีขาวทั้งเล่ม ตัวกระบี่และด้ามขาวหลอมรวมกัน กระบี่เปล่งแสงขาวสว่างเจิดจ้าดูศักดิ์สิทธิ์
ทุกคนมองกระบี่เล่มนี้ มันคือกระบี่เทพบรรพกาล กระบี่ที่พวกเขาขี่นั้นเทียบไม่ได้กับกระบี่เล่มนี้เลย
กระบี่ขาวราวกับมีจิตเป็นของตัวเอง มันค่อย ๆ ลอยไปที่มือของหยูยี่เฟิง
“กระบี่เล่มนี้มีนามว่า ‘ไร้มลทิน’ ผู้ที่ไร้มลทินอยู่ภายย่อมไม่ถูกยั่วยุโดยอธรรม”
เขาเก็บกระบี่เข้าฝักและยื่นฝักให้เสี่ยวเฉิน
“จากนี้ไปเจ้าเป็นเจ้าของกระบี่เล่มนี้”