MDB ตอนที่ 358 นี่คือสมบัติของตระกูลเฉียวงั้นเหรอ?
การดูแลบ้านบรรพบุรุษให้อยู่ในสภาพดั้งเดิม แม้ว่าจะผ่านไปหลายสิบปี มันไม่ใช่เรื่องง่าย เฉียวเฟยกงอธิบายต่อไปว่านี่เป็นความปรารถนาสุดท้ายของบรรพบุรุษของพวกเขา และพวกเขาต่างก็ยึดมั่นกับคำขอนี้
สำหรับเหตุผลว่าทำไมนั้น เฉียวเฟยกงก็ไม่รู้ คนในตระกูลต่างคิดว่าบรรพบุรุษของพวกเขาแค่อยากจะเก็บมันไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์เท่านั้น
หลินจินหยุดอยู่ข้างนอกสนามแล้วถามว่า
“ข้าได้ยินมาว่านี่เป็นพื้นที่หวงห้ามของตระกูล และไม่มีใครสามารถเข้าและออกได้ตามอำเภอใจ มันจะไม่สะดวกหรือไม่หากข้าเข้าไปข้างใน?”
เฉียวเฟยกงตอบว่า
“ผู้ประเมินหลินไม่ต้องกังวลไป ถึงเราจะมีกฎดังกล่าว แต่นั่นก็เพื่อให้ดูแลสมาชิกในตระกูลให้อยู่อย่างสงบสุขเท่านั้น และอีกอย่าง ท่านเป็นถึงแขกผู้มีเกียรติและช่วยเรารอดพ้นจากภัยอันตราย ไม่คงเป็นไร หากพวกเราจะอนุญาตท่านเนื่องจากสถานการณ์พิเศษที่เราพบเจอ”
เฉียวเฟยกงเป็นคนมีเหตุผล กฎก็คือกฎ มันก็ยังเข้มงวดตามเดิม ยิ่งไปกว่านั้น เขามาที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่พบสิ่งใดพิเศษเกี่ยวกับมันเลย เฉียวเฟยกงไม่คิดว่าสมบัติของครอบครัวพวกเขาจะมีอะไรพิเศษ
สำหรับเขา การได้ผูกมิตรกับบุคคลที่มีความสามารถเช่นหลินจินนั้นสำคัญกว่ามากในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงเต็มใจที่จะสนองความอยากรู้อยากเห็นของหลินจินเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของพวกเขา
หากพวกเขาสามารถผูกมิตรกับผู้ประเมินหลินได้ด้วยการทำเช่นนี้ มันก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อตระกูลของพวกเขามากยิ่งขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับสมบัติของตระกูที่ไม่มีประโยชน์แล้ว สายสัมพันธ์กับผู้ประเมินหลินถือว่ามีคุณค่ามากกว่า
เนื่องจากเฉียวเฟยกงพูดเช่นนั้น หลินจินจึงไม่พูดอะไรอีก
ในขณะที่หลินจินได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากเฉียวเฟยกง คนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าก้าวเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นสีหน้าที่คาดหวังบนใบหน้าของลูกชายของเขา เฉียวเฟยกงก็ตัดสินใจให้เฉียวซิงตามมาด้วย
เฉียวซิงดูตื่นเต้นมาก การได้เข้าไปในบ้านบรรพบุรุษของตระกูลถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นกฎที่มีเพียงหัวหน้าตระกูลเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในสถานที่แห่งนี้ได้ ที่พ่อของเขาอนุญาตให้เขาเข้าไป นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งนี้ต่อจากเขาหรือไม่?
เฉียวเฟยกงปล่อยให้เฉียวซิงเปิดประตู ขณะที่เขาเดินผ่านเข้าไป หลินจินก็ได้ยินสองพ่อลูกคุยกัน
“ย้อนกลับไปในสมัยก่อน บรรพบุรุษของเราเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น ว่ากันว่าเขาประสบความสำเร็จด้วยสมบัติชิ้นนี้ และยังได้รับสัตว์วิเศษระดับสี่อีกด้วย ดังนั้นมันจึงจุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งของตระกูลเฉียว”
เฉียวเฟยกงเล่าด้วยความภาคภูมิใจ ท้ายที่สุดแล้ว ความรุ่งโรจน์ของบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ
“ท่านพ่อ ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน แต่หากสมบัติของตระกูลน่าอัศจรรย์ขนาดนั้นล่ะก็ ทำไมไม่มีใครนอกจากบรรพบุรุษของเราได้เลื่อนระดับสัตว์เลี้ยงให้อยู่ในระดับสี่ล่ะขอรับ?”
เฉียวซิงอดไม่ได้ที่จะถาม ดูเหมือนว่าคำถามนี้จะค้างอยู่ในใจของเขามาเป็นเวลานานแล้ว
“อืม…” เฉียวเฟยกงไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรดี ลืมเฉียวซิงไปได้เลย แม้แต่เฉียวเฟยกงก็ยังสงสัยเรื่องอยู่เหมือนกัน
มันเป็นสิ่งที่พ่อของเขาบอกเขา แม้แต่พ่อของเฉียวเฟยกงก็ยังล้มเหลวในการเปิดเผยความลับที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในสมบัติ แม้ว่าพวกเขาจะทุ่มเทเวลาในการค้นคว้าคำตอบมาหลายปีก็ตาม
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไม่สิ ตอนนี้มันเป็นมากกว่าแค่ความสงสัยเท่านั้น พวกเขาแน่ใจว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่เคยพูดความจริงตั้งแต่แรก และทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องไร้สาระเท่านั้น
อาจไม่มีการเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้รับสัตว์เลี้ยงระดับสี่กับสมบัติของตระกูล
ยิ่งไปกว่านั้น บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้ทิ้งข้อมูลไว้เพียงพอสำหรับพวกเขา เขาเพียงแต่ขอให้พวกเขารักษาสมบัติชิ้นนี้ไว้ให้ปลอดภัย และอย่าให้มันตกอยู่ในมือของคนอื่น
ทางตระกูลเฉียวจึงรักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้กับบรรพบุรุษมาตลอดสามชั่วอายุคน
และเฉียวซิงก็เป็นรุ่นที่สี่ของพวกเขา
หลินจินเลิกคิ้วขณะที่เขาฟัง เขาคิดไม่ถึงว่าครั้งหนึ่งตระกูลเฉียวเคยครอบครองสัตว์วิเศษระดับสี่ด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากคำนวณคร่าว ๆ แล้ว นั่นน่าจะประมาณร้อยปีที่แล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตระกูลเฉียวจะสามารถมุ่งสู่ความรุ่งโรจน์ได้นานนับศตวรรษ บรรพบุรุษของพวกเขาคงจะน่าประทับใจมากทีเดียว
การครอบครองสัตว์วิเศษระดับสี่ในยุคนั้นสามารถทำให้คน ๆ นั้นกลายเป็นบุคคลสำคัญในอาณาจักรมังกรหยกได้เลย
ภายในของบ้านบรรพบุรุษเป็นแบบเรียบ ๆ และพื้นทำจากโคลน ภายในค่อนข้างเก่าและทรุดโทรม แต่การตกแต่งภายในค่อนข้างเป็นระเบียบเรียบร้อย
สำหรับหลินจิน นี่เป็นเพียงบ้านหลังเก่าที่ทรุดโทรมกว่าที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่เล็กน้อย
เสียงของเฉียวเฟยกงลดระดับลงหลังจากเข้าไปในบ้าน เห็นได้ชัดว่าเขาแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษของเขา และเฉียวซิงก็ทำแบบเดียวกันเช่นกัน นอกจากการระมัดระวังเป็นพิเศษแล้ว เฉียวซิงยังมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตั้งแต่เข้ามาในตัวบ้านอีกด้วย
สนามหญ้าค่อนข้างเล็กและมีบ้านหลังเดียวอยู่ข้างหน้า ยังมีเครื่องมือการเกษตรแขวนอยู่บนผนัง และพวกเขายังเห็นเครื่องโม่หินอีกด้วย
“ผู้ประเมินหลิน โปรดให้เวลาข้าสักครู่เพื่อนำสมบัติของตระกูลเราออกมา”
เฉียวเฟยกงแจ้งให้พวกเขาทราบก่อนจะเข้าไปในบ้าน เฉียวซิงดูตื่นเต้นมาก
ในฐานะทายาทสายตรง เขาไม่เคยเห็นสมบัติด้วยตาของตัวเองมาก่อน ตอนนี้เขาสามารถทำได้แล้ว จึงไม่แปลกใจเลยที่เขาตื่นเต้นขนาดนี้
หลินจินไม่ได้คิดมากเรื่องนี้ ในตอนแรก เขาสงสัยว่าเหตุใดเฉียวเฟยกงจึงใจกว้างพอที่จะแสดงสมบัติของตระกูลให้คนนอกเห็น แต่หลังจากฟังการสนทนาเมื่อครู่ เขาก็คิดว่าเฉียวเฟยกงไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับสมบัติของตระกูลเลย และหลินจินก็ได้ช่วยชีวิตสมาชิกของตระกูล เฉียวเฟยกงจึงมีเหตุผลมากพอที่จะแสดงสมบัตินี้โดยไม่มีการคัดค้านจากสมาชิกในตระกูล
บ้านหลังนี้เล็กมาก ดังนั้นเฉียวเฟยกงจึงกลับมาอย่างรวดเร็ว เขากลับมาพร้อมกล่องไม้ที่ห่อด้วยผ้าอันหรูหรา คนนอกอาจเข้าใจผิดได้ง่ายว่าเป็นเครื่องลายครามอันมีค่า
แต่หลังจากที่เฉียวเฟยกงวางมันลงและเปิดออก สิ่งที่เขาหยิบออกมาก็เป็นเพียงป้ายไม้
ป้ายไม้ดูธรรมดามากและมีคำว่า 'สาม' แกะสลักไว้
“ท่านพ่อ นี่… นี่คือสมบัติของตระกูลเฉียวของเราหรือขอรับ?” เฉียวซิงรู้สึกผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขาคงคาดหวังว่าสมบัติของบรรพบุรุษของพวกเขาจะเป็นสิ่งที่พิเศษ แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นเพียงป้ายไม้ที่แทบไม่มีเอกลักษณ์เลย
"ถูกต้อง นี่คือสมบัติของตระกูลที่บรรพบุรุษของเราได้ส่งต่อมาให้พวกเรา” เฉียวเฟยกงเข้าใจความรู้สึกของลูกชายเป็นอย่างดี
พูดตามตรง ปฏิกิริยาของเฉียวซิง มันเหมือนกันเมื่อเขาเห็นสมบัติครั้งแรกไม่มีผิด
นอกจากนี้ เขายังได้ตรวจสอบและสัมผัสป้ายไม้แทบทุกวัน แต่สุดท้าย สิ่งที่เขาได้รับก็มีพียงความผิดหวัง
นี่เป็นเพียงป้ายไม้ธรรมดา ๆ เท่านั้น
เฉียวเฟยกงสงสัยอยู่หลายครั้งว่าพ่อของเขาตั้งใจหยิบสมบัติออกมาผิดหรือไม่? มันจึงถูกแทนที่ด้วยป้ายไม้แผ่นนี้ แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดแต่ไม่กล้าพูดมันออกไป
ขณะที่เฉียวเฟยกงแสดงป้ายไม้ให้หลินจินดู ก่อนที่เขาจะพูด เขาสังเกตเห็นว่าหลินจินจ้องมองตรงไปที่ป้ายไม้ในมือของเขาด้วยสายตาที่แปลกประหลาด
สิ่งนี้ทำให้เฉียวเฟยกงกลืนคำพูดของเขา
เขาถามไปว่า
“ผู้ประเมินหลินมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”
เขาสามารถบอกได้ว่าหลินจินต้องสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างจึงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลินจินตอบว่า
“ท่านเฉียว ข้าขอเข้าไปดูใกล้ ๆ หน่อยได้ไหม?”
เฉียวเฟยกงไม่ปฏิเสธคำขอของเขา สำหรับเขา ป้ายไม้นี้ไม่มีประโยชน์ใด ๆ และยอดฝีมือที่โดดเด่นพอ ๆ กับผู้ประเมินหลินคงเคยเห็นชิ้นงานศิลปะที่น่าสนใจกว่านี้มาก
เฉียวเฟยกงจึงยื่นมันให้เขา
ทันทีที่หลินจินรับป้ายไม้ เขาก็ยืนยันข้อสันนิษฐานแปลก ๆ ในใจของเขาได้ทันที
“ไม่อยากจะเชื่อ มันเป็นของจริง...”