บทที่ 91: ผู้ใดก็ตามที่นำเงินมาให้ข้า ผู้นั้นคือคนที่ข้าจะเข้าพวกด้วย!
[วันนี้เดี๋ยวลงทดไป 5 ตอนนะครับ อาจจะช่วงเช้าๆ เลย]
บทที่ 91: ผู้ใดก็ตามที่นำเงินมาให้ข้า ผู้นั้นคือคนที่ข้าจะเข้าพวกด้วย!
ตามที่คาดไว้ จูกัดผู้เป็นกุนซือสามารถคิดหาวิธีแก้ปัญหาที่น่าพอใจได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ส่งสารเร็วให้โม่หรูซวงเพื่อแจ้งให้หลินเป่ยฟานทราบทันที
“ท่านอ๋องยินดีต้อนรับท่านหลินเป็นอย่างมาก!”
“แต่ท่านขอมากเกินไป เขาจึงไม่สามารถหาเงินได้มากเพียงนั้นได้ในคราวเดียว ดังนั้นเรามาเปลี่ยนเงื่อนไขเถิด เจ้าต้องทำสิ่งหนึ่งเพื่อท่านอ๋อง และเขาจะจ่ายให้เจ้าตามนั้น เป็นเช่นไร?”
วิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะใช้ในการมาร่วมมือกัน ก่อนอื่น ท่านอ๋องแห่งเหอเป่ยตอนเหนือไม่สามารถหาเงินที่หลินเป่ยฟานต้องการได้ทันที ดังนั้นด้วยการจ่ายเงินให้เขาเป็นงวดๆ ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ประการที่สอง ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่อาจไว้วางใจซึ่งกันได้ โดยเฉพาะท่านอ๋องแห่งเหอเป่ยตอนเหนือที่กลัวว่าถ้าเขาให้เงินหลินเป่ยฟานไป อีกฝ่ายอาจจะไม่ฟังและถึงขั้นทรยศเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นการใช้วิธีนี้ในการจ่ายเงินสำหรับแต่ละงาน จึงสามารถป้องกันการข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้
หลินเป่ยฟานพยักหน้า “อืม แต่ก่อนที่ข้าจะต้องทำสิ่งใด ข้าต้องการเงินล่วงหน้าเป็นจำนวนสามในสิบ มิเช่นนั้นข้าจะไม่ทำ ซึ่งข้าก็จะไม่ทำตามคำขอถัดไปจนกว่าจะได้เงินก้อนแรกเต็มจำนวน”
เขาเองก็ยังไม่ได้วางใจท่านอ๋องแห่งเหอเป่ยตอนเหนือ กลัวที่จะทำงานโดยเสียเปล่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงขอเงินล่วงหน้าไว้ก่อน
“ข้าจะส่งคำพูดของเจ้ากลับไป แต่ข้าคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา! นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงคือ ท่านอ๋องได้บัญชาให้ตัวข้าและศิษย์น้องอยู่ในเมืองหลวง! ประการแรก เพราะมันสามารถสังเกตสถานการณ์ในเมืองหลวงได้ง่าย ในเวลาเดียวกันก็ทำให้ติดต่อท่านได้สะดวกด้วย! ประการที่สองพวกข้าสามารถปกป้องท่านได้!”
“เพื่อเฝ้าดูข้าไม่ใช่หรอกหรือ?” หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมา
"เหอะ! ท่านอยากคิดเช่นไรก็เชิญ แต่นี่คือสองคำสั่งที่ข้าได้รับมา!” โม่หรูซวงรู้สึกเศร้าใจนักที่ได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น
จากนั้นกัวเส้าส้วยจึงหยิบแผ่นกระดาษสีเงินออกมาจากกระเป๋าของเขาและกล่าวว่า “นี่คือของขวัญอวยพรจากท่านอ๋อง รวมเบ็ดเสร็จ 300,000 ตำลึง!”
หลินเป่ยฟานรับธนบัตรเงินมาด้วยรอยยิ้ม “เขาให้เงินข้า 300,000 ตำลึงโดยที่ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ถือว่าท่านอ๋องของพวกเจ้าใจกว้างนัก การติดตามเจ้านายเช่นนี้ก็ไม่เลวเสียทีเดียว!”
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มอันเบิกกว้างของหลินเป่ยฟาน โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยยิ่งอยากจะต่อยหน้าเขาให้รู้แล้วรู้รอด
“เจ้ารู้ไหมว่าด้วยเงิน 300,000 ตำลึง ท่านอ๋องสามารถทำสิ่งดีๆ เพื่อราษฎรได้มากเพียงใด แต่ทุกอย่างกลับเข้าไปในกระเป๋าของเจ้าที่เป็นเพียงขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง!” โม่หรูซวงกล่าวออกมาด้วยความโกรธ
“อืม!” กัวเส้าส้วยพยักหน้าเห็นด้วย
หลินเป่ยฟานดีดนิ้วอย่างไม่ยี่หระ “ข้าไม่สนใจว่าเขาจะใช้เงิน 300,000 ตำลึงเช่นไร ข้าสนใจแค่ว่าเขาเอาเงิน 300,000 ตำลึงมาจากไหนเพื่อมอบให้กับคนที่เขาเพิ่งพบต่างหาก สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นชัดเลยว่าเขาคงมีเงินตรามากกว่า 3 ล้านตำลึง!”
“ดังนั้นคำถามถัดไปคือ เมื่อเขาเป็นอ๋องมานานกว่า 40 ปีและได้รับเงินเดือนจากจักรพรรดิมานานกว่า 40 ปี เขาจะมีเงินมากเพียงนี้เลยหรือ เช่นนั้นแล้วเงินเหล่านี้มาจากที่ใดกัน?” หลินเป่ยฟานเอ่ยถาม
โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยก็ถึงกับตกตะลึง "คือว่า..."
“เจ้าคิดไม่ออกใช่ไหม? ข้าก็คิดไม่ออกเช่นกัน ไว้เราค่อยคิดกันไป เรื่องนี้ชักจะน่าสนใจแล้วสิ!” หลินเป่ยฟานเอนหลังและวางมือบนศีรษะของเขาพร้อมกับยิ้มออกมา “ข้าขอกล่าวอย่างซื่อตรง เจ้าเอาแต่พูดว่าท่านอ๋องเป็นผู้ปกครองที่ฉลาด แต่ข้ากลับไม่เห็นสิ่งที่พวกเจ้าว่าสักนิดเดียว!”
“อย่าบังอาจดูถูกท่านอ๋อง!” โม่หรูซวงยิ่งรู้สึกโกรธมาก
“อะแฮ่ม! ท่านอ๋องเป็นผู้มากพระมหากรุณาธิคุณ ช่วยเหลือผู้ยากไร้และทุกข์ยาก มักจะพระราชทานเงินและช่วยเหลือครอบครัวที่ยากจน เขาลงโทษอาชญากร จัดการผู้ฝ่าฝืนกฎหมายและไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือสหายผู้ฝึกยุทธ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนเต็มใจที่จะรับใช้เขา! คนเช่นนี้จะไม่เป็นผู้ปกครองที่ชาญฉลาดได้อย่างไรกัน?” กัวเส้าส้วยปกป้องท่านอ๋องแห่งเหอเป่ยตอนเหนืออย่างเต็มที่
โม่หรูซวงพยักหน้าอย่างแรง
หลินเป่ยฟานได้แต่ยิ้มออกมา “อืม ดูเหมือนว่าผิวเผินแล้วเขาจะได้ทำสิ่งที่ดีมากมาย แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะเรียกเขาว่าผู้ปกครองที่ชาญฉลาด! เจ้ารู้ไหมว่ามาตรฐานของผู้ปกครองที่ชาญฉลาดในใจของข้าเป็นเช่นไร?”
“มาตรฐานของเจ้าเป็นยังไง?” ทั้งสองถามอย่างพร้อมเพรียงกัน
“มาตรฐานของข้านั้นเรียบง่ายมาก!” หลินเป่ยฟานนั่งตัวตรงพร้อมกับกล่าวอย่างจริงจังว่า “อย่ามองไปที่สิ่งที่เขากระทำ แต่จงมองไปยังพื้นที่ที่เขาปกครองว่าราษฎรมีชีวิตที่ดีหรือไม่ ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นหรือไม่ เพียงแค่นั้นก็พอแล้ว!”
โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยต่างครุ่นคิดกับคำพูดเหล่านั้น
“เช่นนั้นเรามาพิสูจน์กันเถิดว่าท่านอ๋องแห่งเหอเป่ยตอนเหนือเป็นผู้ปกครองที่ชาญฉลาดอย่างที่พวกเจ้ายกย่องกันหรือไม่!”
“พวกเจ้ายกย่องท่านอ๋องว่าเป็นผู้ชอบธรรม เขาอยู่อาศัยในเหอเป่ยเหนือมานานกว่า 20 ปี มันคงทำให้เขามีเวลามากมายนักในการปรับปรุงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรในเหอเป่ยเหนือ! แต่ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปหรือไม่?”
หลินเป่ยฟานได้แต่ส่ายศีรษะของเขาตอบกลับไปเอง "ไม่เลย! ไม่สักนิดเดียว! มันยังคงวุ่นวาย ชีวิตของราษฎรยังน่าสังเวชไม่ต่างจากที่อื่นหรือแย่กว่านั้น! เจ้าคิดว่าคนผู้นี้ยังควรเรียกว่าเป็นผู้ปกครองที่ปราดเปรื่องและมีคุณธรรมอีกหรือ?”
“นี่…” โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยถึงกับพูดไม่ออก
พวกเขาไม่สามารถหักล้างได้เลย เพราะยิ่งพวกเขาคิดถึงคำพูดของหลินเป่ยฟานมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมากขึ้นเท่านั้น หากท่านอ๋องแห่งเหอเป่ยตอนเหนือเป็นผู้ปกครองที่ชาญฉลาด เต็มไปด้วยจิตใจอันมีคุณธรรมและมีความสามารถในการช่วยราษฎร ราษฎรในเขตของเขาก็ควรใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง เพลิดเพลินไปกับชีวิตที่ไม่ต้องกังวลเรื่องใด ทว่าเหตุใดจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เหตุใดราษฎรจึงยากจนลง?
ความคิดนี้ได้ปรากฏขึ้นในหัวของพวกเขา! พวกเขาติดตามนายท่านผิดคนมาตลอดหลายปีงั้นหรือ?
หลินเป่ยฟานโบกมือ “เอาล่ะ ข้ากำลังจะนอนแล้ว พวกเจ้าทั้งสองควรกลับไปเถิด! ไว้คุยกันเรื่องอื่นในวันพรุ่งนี้!”
โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยต่างกล่าวอำลาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ในยามนั้นเอง ร่างสีขาวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหลินเป่ยฟาน
แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับมันแล้ว แต่หลินเป่ยฟานก็ยังคงตกใจอยู่ดี “ท่านไป๋ กวนอิม ช่วยอย่าปรากฏตัวน่ากลัวเฉกเช่นนี้ได้หรือไม่? โดยเฉพาะมายามราตรีเช่นนี้ รู้ไหมว่ามันน่ากลัวเพียงใด!”
“ขออภัย คราวหน้าข้าจะระวังให้มากกว่านี้” ไป๋ฉิงเสวียนกล่าวอย่างแผ่วเบา
หลินเป่ยฟานได้แต่กลอกตาตอบไป นางกล่าวมาแบบเดียวกันทุกครั้ง แต่ก็ยังทำตามที่นางต้องการเสมอ
“เจ้าวางแผนที่จะเข้าร่วมกับเจ้าชายเหอเป่ยของทางเหนือจริงหรือ?” ไป๋ฉิงเสวียนถามด้วยความสงสัย
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะของเขาตอบกลับไป “ข้าไม่เคยมีความตั้งใจแบบนั้นเลย! จักรพรรดินีปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี ข้าจะทรยศนางได้เช่นไร? ทว่าช่วงนี้ราบรับข้ามันขาดตกบกพร่อง ดังนั้นข้าจึงต้องการเปิดเส้นทางการเงินใหม่ขึ้น ท่านอ๋องคงจะมีเงินมากไม่ใช่หรือ?”
ไป๋ฉิงเสวียนถึงกับพูดไม่ออก “เจ้านี้มันไร้ซึ่งหลักธรรมโดยแท้!”
“ขอบคุณที่ท่านชมข้าแล้วกัน! ข้อดีของข้าคือข้าไม่ใช่คนช่างเลือกอาหารและมักหามิตรสหาย! ผู้ใดก็ตามที่นำเงินมาให้ข้า ผู้นั้นคือคนที่ข้าจะเข้าพวกด้วย! นี่คือเงินที่ข้าเพิ่งได้รับมา มันยังคงร้อนอยู่เลย เชิญท่านเอาไปสิ!” หลินเป่ยฟานยิ้มและนำเงินให้อีกฝ่าย
ไป๋ฉิงเสวียนรับธนบัตรเงินและเตือนเขา "เจ้าต้องระมัดระวังตัว อ๋องเหอเป่ยทางเหนือมีความทะเยอทะยาน การร่วมมือกับเขาคือความเสี่ยงต่อชีวิตของเจ้า หากเจ้าไม่ระมัดระวัง เจ้าจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศและสูญเสียทุกอย่าง!”
“ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ดี!” หลินเป่ยฟานพยักหน้าออกไปอย่างจริงจัง
ไป๋ฉิงเสวียนจึงกลับไปพร้อมกับเงิน และรายงานเรื่องนี้ต่อจักรพรรดินี
"อะไรนะ? อ๋องแห่งเหอเป่ยทางเหนือมาหาหลินเป่ยฟานเพื่อร่วมมืองั้นหรือ?" จักรพรรดินีตกใจมาก
ไป๋ฉิงเสวียนพยักหน้า
จักรพรรดินียิ่งรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม “ไอ้เจ้าตัวสารเลวหลินเป่ยฟาน! นับวันยิ่งอาจหาญและทระนงตนขึ้น กล้าทำเช่นนี้ได้ยังไง? ตราบใดที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับอ๋องผู้นี้ ไม่มีทางที่เขาจะชะล้างตราบาปทางการเมืองของเขาได้เลย! หากเกิดเรื่องราวในอนาคตขึ้นเล่า? เขาจะแก้ปัญหามันยังไงกัน?”
ไป๋ฉิงเสวียนเองก็งรู้สึกว่าหลินเป่ยฟานบ้าบิ่นเกินไป
เขามีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า แต่เพื่อประโยชน์ของเงินที่มากขึ้นเล็กน้อย เขากลับเข้าไปพัวพันกับอ๋องแห่งเหอเป่ยทางเหนือ
เมื่อเทียบกับความกล้าหาญของเขาแล้ว นางแทบจะเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ
จักรพรรดินีปวดศีรษะยิ่ง “ช่างมันเถอะ ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องปล่อยเขาไป! เจ้าคนผู้นี้มักจะทำให้ผู้อื่นกังวลตลอด!”
ไป๋ฉิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย
“ว่าแต่พี่ฉิงเสวียน หลินเป่ยฟานคิดเช่นไรกับลุงของข้า?”
ไป๋ฉิงเสวียนอธิบายถึงทฤษฎีของหลินเป่ยฟานเรื่องผู้ปกครองที่ชาญฉลาด และก็สรุปว่าอ๋องจี๋เป้ยเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ เลวร้ายและโง่เขลา
เขารู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายตั้งแต่แรกแล้ว เพียงเล่นกลลวงเพื่อความโลภของตนเองเท่านั้น
แท้จริงแล้ว เขาไม่มีอะไรแอบซ่อนในการกระทำของเขาเลย
“สมกับเป็นคนที่ข้าคาดหวังไว้!” จักรพรรดินีกล่าวชมเชย “ข้าใช้เวลาหลายปีกว่าจะสามารถมองผ่านเนื้อแท้ของลุงข้าได้! แต่หลินเป่ยฟานกลับมองผ่านภาพลวงตาของเขาได้อย่างรวดเร็ว วิสัยทัศน์ของเขาช่างน่าทึ่ง ข้าขอชื่นชมเขาเลย!”
นางรู้สึกได้เลยว่านางและหลินเป่ยฟานนั้นคล้ายกันมาก!
วิธีที่เขามองปัญหามักจะคล้ายกับนาง จนทำให้นางรู้สึกว่าเขาสามารถเข้ากันได้ดี เป็นความรู้สึกที่นางยากจะรู้สึกได้ในชีวิตนี้! ดูท่านางจะมอบรางวัลให้เขาน้อยไปเสียแล้ว พรุ่งนี้ไว้มอบใหม่ให้อีกชุดแล้วกัน!
เพื่อให้เขารู้สึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของจักรพรรดินีผู้นี้!
ดังนั้นในช่วงราชสำนักของราชสำนัก
“ท่านหลิน ท่านอยู่ที่ไหนหรือ?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยู่ที่นี่แล้ว!”
“วันนี้ดวงตะวันกำลังทอแสงอ่อนมาพอเหมาะ อารมณ์ของข้าจึงดีพอสมควร เช่นนั้นข้าขอมอบรางวัลให้ท่าน…”
“10,000 ตำลึง!”
“โสมชั้นเลิศ 10 ต้น!”
“หยกและมรกต 10 คู่!”
“ชาต้าหงผาวชั้นเลิศ 10 เหลี่ยง!”
หลินเป่ยฟานถึงกับตกตะลึง
มาอีกแล้วเหรอ!?
แค่ในเรือนเขาก็มีมากจนแทบจะรับเก็บไว้ไม่ไหวแล้ว!
เหล่าขุนนางก็ถึงกับตกตะลึงเช่นกัน! เอาอีกแล้วเหรอ?
จักรพรรดินี ท่านได้โปรดทรงใช้เหตุผลให้มากขึ้นและไม่หุนหันพลันแล่นจะได้ไหม?
เขาเองก็ดูจะไม่ต้องการ ไฉนต้องให้เขามากขนาดนี้กัน?
อย่างน้อยช่วยไว้หน้าเราเหล่าขุนนางชราไม่ได้หรือ?
ทว่าจักรพรรดินีดูเหมือนจะไม่สนใจเหล่าขุนนางที่ดูจะไม่พอใจเลย
หลังจากให้รางวัลไปแล้ว นางก็จึงได้โบกมือไปมาอย่างมีความสุขมาก “เอาล่ะ ผู้อำนวยการหลิน รีบขอบคุณความกรุณาของข้าและถอยไปเถิด! ราชสำนักช่วงรุ่งสางยังจำเป็นต้องหารือกันอีกหลายเรื่อง จะชักช้าไม่ได้!”
เมื่อได้ยิน ปากของหลินเป่ยฟานถึงกับกระตุก "ขอบพระทัยสำหรับความเมตตา ฝ่าบาท!” จากนั้นราชสำนักช่วงรุ่งสางจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในเวลานี้ คุณชายอู๋หยิงเจี๋ยก็ได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงด้วยความเร่งรีบ ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในเมืองหลวง เขาก็หลงใหลไปกับบรรยากาศอันคึกคักของเมือง
ตึกสูงอันเป็นระเบียบ ถนนที่มีชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรือง ผู้คนมากมายและเสียงตะโกนของพ่อค้าเร่ทุกหนทุกแห่ง มันแทบทำให้เขาลืมสถานที่ซึ่งเขาจากมาไปในพริบตา
“ที่นี่คือเมืองหลวงเหรอ? มันรุ่งเรืองกว่าเหอเป่ยทางเหนือของเราหลายเท่า!” คุณชายใหญ่รู้สึกตื่นตะลึงยิ่ง
ในยามนั้นเอง ก็มีคนข้างๆ เขาเตือนเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณชาย ที่นี่อยู่ใต้เท้าขององค์จักรพรรดินี สถานะของท่านอาจกระตุ้นนางได้! ดังนั้นโปรดระมัดระวังและอย่าเปิดเผยตัวตนของท่านเด็ดขาด!”
คุณชายใหญ่จึงพยักหน้าตอบไป “ไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจดี!”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้กลมกลืนไปกับฝูงชนโดยรอบ