ตอนที่ 8 จิตพิณ
แม้ว่าจะล้มเหลวในการโค่นศัตรู เสี่ยวเฉินนั้นรับได้สามกระบวนท่าจากชิ่นฉิว ผู้ที่ได้ดูการประลองสั้น ๆ ยังคงยืนนิ่งจนกระทั่งเสียงอันเยือกเย็นดังขึ้น
“ช้าก่อน…”
เสียงนี้ได้ปลุกทุกคนขึ้นจากภวังค์และมองไปทางต้นเสียงซึ่งคือเสี่ยวจางเฟิงผู้เป็นเจ้าตระกูลเสี่ยว ชิ่นฉิวหันไปมาหาเขาและถาม
“ท่านเจ้าตระกูลเสี่ยว มีสิ่งใดให้ข้ารับใช้หรือ? คิดจะประลองกับข้าด้วยรึ? ข้ายินดีที่จะได้ประลองกับท่าน”
“เก็บข้าวของเจ้าออกไป”
เสียงของเสี่ยวจางเฟิงระเบิดออกมา พลังจากตัวเขาดันกล่องจากโต๊ะลอยไปทางชิ่นฉิว เมื่อเห็นแล้วว่ามีบางอย่างผิดปก หวงฟูเจ๋อจึงพยายามจะเตือนชิ่นฉิว แต่มันสายไปแล้ว
ชิ่นฉิวยื่นแขนรับกล่องที่มาหาเขาแต่กลับได้พบว่าพลังที่ดันกล่องมานั้นรุนแรงดั่งขุนเขา กล่องซัดเข้าใส่เขาจนเขาเกือบยืนไม่อยู่และต้องฝืนพยุงตัวไม่ให้ล้ม เขาไถลกับพื้นจนไปถึงทางเข้าโถง ชิ่นฉิวรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกอันน่าสะพรึง เป็นไปได้หรือที่คนธรรมดาจะมีพลังอันรุนแรงถึงเพียงนี้?
เสี่ยวจางเฟิงมองเหยียดก่อนจะหันไปหาหวงฟูเจ๋อที่หน้าซีดด้วยความกลัวพร้อมกับเหงื่อเย็นที่ทะลักออกมา เจ้าตระกูลเสี่ยวได้พูดกับแขก
“ในความจริงแล้ว เรื่องงานแต่งงานนี้เป็นเพียงข้อตกลงที่เกิดจากเจ้าตระกูลสองคนเมื่อร้อยปีก่อน ไม่จำเป็นที่เราต้องจริงจังมากนัก ขอให้อย่าได้มีเรื่องเช่นนี้อีก”
เขาหันไปบอกสาวใช้
“ส่งแขก”
เสี่ยวเฉินเงยหน้ามองท่านปู่ เขารู้อยู่เต็มอกว่าปู่ของเขาทำไปเพื่อปกป้องชื่อเสียงของเขาเพื่อไม่ให้เขาต้องละอายใจจากการโดนปฏิเสธ
หวงฟูเจ๋อไม่รอช้า ชิ่นฉิวเองก็รีบเดินออกไปด้วย เมื่อพวกเขาเดินลงเขา หวงฟูเจ๋อรู้สึกถึงทั้งแผ่นหลังที่เปียกโชกเหงื่อจากความหวาดกลัวนั้น การมาเยือนตระกูลเสี่ยวเพื่อถอนหมั้นนั้นเป็นอุบายที่เขาคิดขึ้นมากับชิ่นฉิว ทั้งหวงฟูชิงเอ๋อและเจ้าตระกูลหวงฟูนั้นหาได้รับรู้ไม่ หวงฟูเจ๋อหวาดกลัวมาก
“ข้าทำให้ทั้งตระกูลเสี่ยวไม่พอใจเพื่อเจ้า สหายอายุน้อยเอ๋ย เรื่องราวจะเลวร้ายถ้าหากเจ้าตระกูลกับชิงเอ๋อรับรู้เรื่องนี้…”
ชิ่นฉิวเหยียดแขนขณะที่คิดถึงท่าทีของเสี่ยวจางเฟิงเมื่อครู่
“อย่าได้กลัวไปเลยลุงหวงฟู ศิษย์น้องชิงเอ๋อมีพรสวรรค์หกเส้นปราณ อาจารย์ข้าจะต้องส่งต่อตำแหน่งมาให้ข้าแน่ถ้าข้าได้แต่งงานกับนาง ข้าจะมีอำนาจมากพอและกำลังสนับสนุนให้ลุงขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไป! ส่วนเสี่ยวเฉินนั้น…”
ในตอนนั้น ความอาฆาตได้แสดงผ่านแววตาเขาในช่วงสั้น ๆ ชิ่นฉิวหันไปหาสาวใช้ที่เดิมตาม
“เจ้าคงรู้นะว่าต้องทำตัวเช่นไรต่อหน้าศิษย์น้องชิงเอ๋อ ไม่อย่างนั้น…”
สาวใช้ตัวสั่นด้วยความกลัว นางมิอาจเงยหน้ามองตาชิ่นฉิว หวงฟูเจ๋อหัวเราะเบา ๆ ความคิดของเขาย้อนกลับไปถึงการประลองเมื่อครู่ที่เสี่ยวเฉินใช้พลังที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขารู้สึกเศร้าในใจตอนนี้ เขาหยุดและพูดกับชิ่นฉิวและประสานมือคารวะ
“ข้าคงต้องขอขอบคุณที่เจ้าจะช่วยให้ข้าได้สิ่งที่ต้องการในวันข้างหน้า”
…
โถงเมฆบินในตระกูลเสี่ยวยังคงเต็มไปด้วยเสียงกระซิบหลังจากส่งแขกออกไปแล้ว เสี่ยวจางเฟิงพูดกับหลานชาย
“เจ้าคงเหนื่อยเต็มทีแล้วเฉินเอ๋อ กลับไปพักเถอะ”
เสี่ยวเฉินยกเท้า เขายังคงเศร้าใจกับความพ่ายแพ้
“ครับ…”
เขาหันเดินออกจากโถงด้วยกระบี่หักที่ยังกำไว้แน่น เสียงรอบด้านที่ตื่นเต้นและสงสัยดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางหนุ่มสาวที่ดูอยู่ด้านนอก
“จะ เจ้า เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หญิงสาวท่าทางดูดีสวมชุดเขียวยืนที่ด้านหน้าเขา
หากอยู่ตรงนี้จะได้เห็นสายตาเร่าร้อนนับไม่ถ้วนที่มองนาง นางคือเสี่ยวหวังเอ๋อ เป็นหญิงสาวชั้นดีที่มีพลังชั้นสามในอายุสิบห้าปี นั่นทำให้นางเป็นที่รักและความงามของนางยังทำให้ชายหนุ่มในตระกูลเสี่ยวประทับใจ
แต่เสี่ยวเฉินแทบจะไม่สังเกตเห็นนาง เขายังคงเดินต่อ ฝีเท้าหนักอึ้งของเขาค่อย ๆ ย่างกรายออกไป ภาพเขาเดินออกไปอย่างหม่นหมองท่ามกลางสายลมพัดหวน เฉกเช่นเดียวกับเงากระบี่หักที่เขาถือจนเป็นเงาที่ค่อย ๆ เลือนหายไป
เสี่ยวหวังเอ๋อเกือบหลั่งน้ำตาเมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มร่าเริงที่นางได้พบเมื่อหลายปีก่อน
เสี่ยวเฉินเคยเป็นหนุ่มน้อยร่าเริง เขามีพรสวรรค์ในตระกูล สติปัญญาเป็นเลิศและจิตใจแจ่มใส ไม่มีสิ่งใดที่เขามิอาจเรียนรู้ ประกอบกับตำแหน่งยนายน้อยสี่แห่งตระกูล นั่นทำให้เขาเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่หญิงสาว แต่เรื่องราวทั้งหมดกลับกลายเป็นยเลวร้ายสำหรับเขาเมื่อทุกคนรู้ในภายหลังว่าเสี่ยวเฉินมิอาจฝึกวิชายุทธได้ ผู้คนเริ่มปฏิบัติต่อเขาดั่งคนพเนจร นั่นรวมถึงเสี่ยวหวังเอ๋อด้วย
หลิวรั่วกำลังง่วนอยู่กับการเก็บกวาดตำราของเสี่ยวเฉินในเรือนเถาวัลย์ม่วง นางได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา นางเดินไปทางประตูและเห็นนายน้อยกลับมาในเวลาไม่นาน นางรีบเดินไปหาเขาทันทีที่เห็นสีหน้าซีด
“เกิดอะไรขึ้นรึนายน้อย? ทำไมถึงกลับมาเร็วนักล่ะ? ท่านลืมอะไร…”
เสี่ยวเฉินกระอักเลือดออกมาตอนที่นางพูดไม่ทันจบ กระบวนท่าสุดท้ายของชิ่นฉิวนั้นีพลังมหาศาลจนหัวใจเขาแทบสลาย
หลิวรั่วหวาดผวา นางรีบพยุงเขาด้วยใบหน้าที่น้ำตาเกือบไหล
“เกิดอะไรขึ้นรึนายน้อย?”
เสี่ยวเฉินส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง
“ไม่มีอะไร…”
เขาเห็นรอยบาดบนมือนางและถาม
“มือเจ้าโดนอะไรมา?”
มีความกลัวและกังวลในดวงตาของนางซึ่งแดงรื้น หลิวรั่วรีบตอบ
“ข้าไม่เป็นไรนายน้อย มันแค่แผลเล็ก ๆ ตอนที่ข้าเช็ดพิณของท่าน”
เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว
“ข้าพูดตั้งหลายครั้งแล้วไม่ใช่รึว่าอย่าแตะต้องพิณตัวนั้น?”
“นะ นายน้อย ข้าจะไม่เข้าใกล้พิณนั่นอีกแล้ว นายน้อยให้ข้าพยุงเข้าเรือนเถอะ”
หลิวรั่วพูดด้วยความวิตกกังวล
เสี่ยวส่ายหน้าและจับมือนางออกจากตัวเขา
“ไม่จำเป็นหรอก ข้าอยากอยู่คนเดียว ไปหาแม่ข้าเถอะ”
นางรู้จักนิสัยใจคอนายน้อยของนางดี หลิวรั่วไม่กล้าปฏิเสธเขาจึงพยักหน้าตอบ
“ค่ะ…”
นายน้อยของนางต้องอยู่คนเดียวทุกครั้งเมื่อเขาพูดว่าต้องการเวลาส่วนตัวเพื่อไม่ให้เขาโกรธ
เสี่ยวเฉินรอจนกระทั่งหลิวรั่วเดินไปและเดินกะเผลกไปที่ต้นไทรในสวน มือข้างหนึ่งค้ำต้นไว้และกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เขาซัดกำปั้นใส่ลำต้นมันอย่างแรงและเริ่มร้องคำรามกับแหงนหน้าหัวเราะ
“เสี่ยวเฉิน เสี่ยวเฉิน! หลายพันปีผ่านไปแล้ว และเจ้ายังพ่ายแพ้แม้กระทั่งคนขอบเขตตั้งฐานเรอะ!”
ในตอนนั้น ที่ด้านหลังของเขาได้มีเสียงเด็กชายร่าเริงเรียก
“ความมั่นใจในตัวข้าของเจ้าคงหายไปแล้ว ถ้าเจ้ารับความทุกข์ยากแค่นี้ไม่ได้”
“ใครกัน!”
เสี่ยวเฉินเหมุนตัวอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกถึงสายลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านเส้นผมของเขาแต่ไม่มีผู้ใดให้เห็น เขาเร่งความเร็วเข้าไปในเรือนแต่ก็ไม่พบอะไรเช่นเดียวกัน เว้นเสียแต่พิณหยกม่วงอมแดงบโต๊ะ
พิณหยกนี้เป็นของเก่าแก่ ซึ่งเป็นของขวัญจากซูฉิงผู้เป็นมารดาของเขาในตอนที่เขาเจ็ดขวบ เขามองมันเมื่อได้เจอมันในตลาดและน่าแปลกที่เขาไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้มันมา
ยิ่งไปกว่านั้น พิณนี้ยังไม่ยอมให้ใครนอกจากเขาเล่นมันได้ และยังมีคนที่นิ้วโดนบาดเมื่อลองเล่นมันอีกด้วย
เสียงเด็กชายดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าจะมองไปที่ไหน ข้าอยู่นี่ ข้าคือจิตพิณโบราณกาล”
เสียงดังมาจากพิณ
เสียงจากพิณดังถึงหูเขาอย่างหนักแน่น มันเป็นเสียงที่เขาไม่มีวันลืม เขาอยากจะหลั่งน้ำตาออกมา
“เจ้าไม่ต้องมองหาอะไรแล้ว ข้าคือจิตพิณ”
เสียงอันคุ้นหูดังก้องสวนอันว่างเปล่าดึงความทรงจำของเสี่ยวเฉินในอดีตในขณะที่เขายังเป็นศิษย์นิกายครามพิสดารเมื่อหลายพันปีก่อน หลิงหยินให้พิณหยกนี้กับเขา มันคือพิณหยกโบราณศักดิ์สิทธิ์ พิณเจ็ดสาย ภายในพิณนั้นมีจิตพิณนามว่ารัตติกาลผู้ที่กลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขา
เขาเห็นร่างชายหนุ่มก่อตัวขึ้นกลางอากาศที่เปล่งแสง ชายหนุ่มผมสีเงินเท้าลอยอยู่เหนือพื้นดิน เขาสวมชุดสีอ่อนที่คล้ายสีของจันทราอย่างประหลาด มีอักษรโบราณนับไม่ถ้วนประทับชุดประหลาด ดวงตาสีม่วงเข้มและสีหน้าของเขานั้นขัดกับประสบการณ์โชกโชนในชีวิต
“เป็นเจ้าจริง ๆ รัตติกาล…”
เสี่ยวเฉินมิอาจอดกลั้นความรู้สึกที่เอ่อล้นได้อีก เขาไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะได้พบกันอีกครั้งในโลกใบที่ไม่คุ้นเคยหลังการแยกจากหลายพันปี
แต่สิ่งที่ตอบกลับเขามานั้นกลับกลายเป็นความเย็นชา เป็นความเยือกเย็นของหลายพันปี
“มีมารยาทหน่อยเจ้าโง่! ข้าเป็นจิตพิณโบราณนะ!”
รอยยิ้มบนใบหน้าเสี่ยวเฉินเลือนหาย เขามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับชาติที่แล้ว แล้วใยรัตติกาลถึงจะเขาไม่ได้เล่า? ไม่เพียงแต่รัตติกาลจะจำเขาไม่ได้ เขารัตติกาลยังสูญเสียความทรงจำไปหมดแล้วด้วย
รัตติกาลนั้นเป็นจิตที่อยู่ในพิณเจ็ดสาย เป็นตัวตนที่ต้องมีชีวิตไปตลอดกาลในพิณเจ็ดสายนี้ เขาไม่สามารถออกจากพิณได้ยกเว้นว่าตัวตนจะหายไป แต่ปริศนาของการหายไปยังพิณเจ็ดสายตัวนี้นั้นยังไม่คลาย เขาทำได้แค่อยู่ในพิณตัวอื่นและประวิงเวลาการตาย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนในช่วงที่เหล่าราชาเซียนและเหล่าเทพหายไปไหนเล่า? แม้แต่รัตติกาลที่เป็นอิสระจากโซ่ตรวนของวัฎสงสารหกวิธียังต้องอยู่ในสภาพอ่อนแอน่าเวทนาเช่นนี้
“บอกข้าเถอะรัตติกาล เกิดอะไรขึ้นเมื่อหลายปีก่อน? เจ้ามาอยู่ในพิณธรรมดาได้อย่างไร? อาจารย์ข้าอยู่ที่ไหน?”
“หลายปีก่อน…พิณเจ็ดสาย…อาจารย์เจ้า…”
รัตติกาลงุนงง สีหน้าเขาสับสนงงงวย
“ข้าจำอะไรไม่ได้แล้ว…ข้าจำได้แค่ว่าข้าเป็นจิตพิณโบราณ…”
สีหน้าเขาจริงจังขึ้น
“ข้ารับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเจ้าหนู ศัตรูของเจ้าเป็นขอบเขตตั้งฐาน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่มีพัฒนาการเลย”
เสี่ยวเฉินสั่นเบา ๆ เมื่อได้ยินคำพูดเสียดแทงของรัตติกาล เสี่ยวเฉินยังคงไม่หลับแม้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แต่ความพยายามทั้งหมดของเขากลับทำให้เขามีพลังแค่ขั้นหนึ่ง ราวกับว่ามีบางอย่างผิดปกติในเคล็ดบ่มเพาะครามพิสดาร
“ไม่มีทางที่เจ้าในสภาพนี่จะผ่านขอบเขตชำระปราณขั้นสามได้ในเวลาสามปี เจ้าอาจจะทำไม่สำเร็จต่อให้มีเวลาเป็นสิบปีด้วย เจ้าอาจจะอ่อนแอลงยิ่งกว่าเดิมและอยู่ในขอบเขตฝึกร่างกาย ข้าได้ยินว่าแม่นางหวงฟูมีหกเส้นปราณ ถ้านางได้เข้านิกายวายุนภา นางจะเป็นขอบเขตตั้งฐานในเวลาไม่ถึงปีแน่”
เสี่ยวเฉินตัวสั่นเมื่อได้รู้เรื่องนี้ นี่คือความหวาดกลัวที่ล้ำลึกที่สุดของเขา ถ้าหากเขาจะต้องมีพลังที่น้อยลงไปกว่านี้อีก
แม้จะมีศักยภาพ เคล็ดบ่มเพาะครามพิสดารนั้นจำเป็นต้องใช้พลังปราณปริมาณหนึ่งเป็นพื้นฐาน เหมือนดั่งเรือลำใหญ่ที่ต้องการน้ำทะเลเพื่อให้ลอยอยู่ได้ ในดินแดนที่มีพลังปราณจากฟ้าดินอย่างมากมายหลายพันปีก่อนนั้น วิชานี้ได้ช่วยเหลือเขาอย่างดี
แต่ในตอนนี้ พลังปราณมีเพียงแต่เศษเสี้ยวจากหลายพันปีก่อน
สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงคำพูดของมู่เจิงเสวี่ย ว่าวันหนึ่งให้เขาไปที่ตำหนักม่วง ในตอนนั้นเสี่ยวเฉินจึงได้ถาม
“ตำหนักม่วงอยู่ที่ใดรึ?”
รัตติกาลมองนอกหน้าต่าง
“เจ้าต้องรู้ว่าโลกนี้มีหลายดินแดน ถ้าดินแดนที่เราอยู่เป็นโลกมนุษย์ที่เป็นพื้นที่บ่มเพาะขั้นหนึ่ง เช่นนั้นตำหนักม่วงก็เป็นพื้นที่บ่มเพาะขั้นสองที่จะมีทรัพยากรเหนือกว่า ดินแดนเหล่านี้มีความเป็นตัวเองและมีถึงเก้าดินแดน เจ้าคิดว่าอย่างไร? เจ้าคิดว่าจะได้ท่องไปทั้งเก้าดินแดนนั้นหรือ?”