ตอนที่ 7 ขอบเขตตั้งฐาน
เสียงดังปัง ชิ่นฉิวพูดไม่ทันจบดีเสี่ยวยี่ฟานก็บีบถ้วยชาจนแตก น้ำชากระจัดกระจายไปทั่ว เสียงกระซิบด้วยความสงสัยเริ่มเยอะขึ้นจากคนดูภายนอกที่ผงะจากสิ่งที่ได้เห็น
ในโถง เสี่ยวจางเฟิงยกมือขึ้นและมองหวงฟูเจ๋อ เขาพูดเสียงแห้ง
“เรื่องนี้ตัดสินใจมาแล้วหลายปีจากเจ้าตระกูลทั้งสอง เจ้าตระกูลเจ้ามิได้แจ้งเรื่องไว้รึ?”
หวงฟูเจ๋อตอบ
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แม้กระทั่งพ่อข้าเองก็บอกว่าการตัดสินใจครั้งนั้นไม่เหมาะสม แต่ก็อย่างที่นายน้อยชิ่นว่าไว้ ชิงเอ๋อเองแม้จะถูกตำหนิก็ถูกยอมรับเป็นผู้บ่มเพาะพลัง แต่พวกเราได้ถูกแจ้งข่าวว่าชิงเอ๋อมีหกเส้นปราณ เป็นความหายากซึ่งแสดงถึงพรสวรค์ของนาง…ดังนั้น…”
คนด้านนอกส่งเสียงดังลั่น ไม่เพียงแต่เสี่ยวยี่ฟานจะอดกลั้นสีหน้าไม่ได้เพราะคำว่า ‘หกเส้นปราณ’ แต่คำพูดนี้ยังทำให้คนหนุ่มสาวตระกูลเสี่ยวอึ้ง เพราะพวกเขาไม่เคยเชื่อถือความเป็นเซียนเลยจนกระทั่งได้เห็นการต่อสู้ที่ศาลาสายรุ้ง การเปิดเผยพรสวรรค์ของหวงฟูชิงเอ๋อนั้นทำให้พวกเขาไม่เหลือข้อกังขาเลยว่านางจะกลายเป็นเซียนได้ในวันหนึ่ง
หวงฟูเจ๋อรอให้เสียงดังด้านนอกเบาลงก่อนจะพูดต่อ
“แท้จริงแล้ว นี่มิได้ขัดต่อความปรารถนาของเจ้าตระกูลทั้งสองตระกูล แม้ว่าตระกูลเราจะไม่สามารถปรองดองกันได้ด้วยชิงเอ๋อกับหลานเสี่ยว แต่ข้าเชื่อว่าลูกหลานในอนาคตจะทำได้เช่นเดียวกัน”
เมื่อข่าวที่ว่าพวกเขาเพียงต้องการให้เสี่ยวเฉินและหวงฟูชิงเอ๋อถอนหมั้นกันออกมา หวงฟูเจ๋อได้เสริมตอนสุดท้ายเพื่อเป็นการดูหมิ่นและมอบความละอายแก่ตระกูลเสี่ยว
เสี่ยวเฉินใบหน้าเยือกเย็น เขาตอบอย่างเย็นชา
“คิดว่าการถอนหมั้นมันบางเบาเสียจนจบได้ด้วยหนึ่งประโยคหรือ?”
ชิ่นฉิวสวนกลับอย่างเย็นชา
“เจ้าพูดถูกแล้ว และเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด มันจะเหมาะสมก็ต่อเมื่อศิษย์น้องชิงเอ๋อของข้าได้เจอคนที่มีพรสวรรค์แบบเดียวกัน เจ้ามีหกเส้นปราณรึ? หรือเจ้ามีแค่เส้นปราณเดียว?”
เสี่ยวเฉินทำได้เพียงหัวเราะเบา ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมา หวงฟูเจ๋อถอนหายใจเบา ๆ และหันไปหาสาวใช้ที่อยู่ไม่ไกล
“บอกข้อความที่คุณหนูฝากบอกเถอะ หลานเซี่ยง”
“ค่ะ”
สาวใช้เดินเข้ามาอย่างไม่สุภาพ นางมิได้มองเฉินเสี่ยวและพูดด้วยความกลัว
“คุณหนูบะ บอกว่า…บอกว่านางคาดหวังให้สามีของนางเป็นคนที่น่าเคารพนับถือ…ถ้าหากนายน้อยเสี่ยวเฉินจะ จะสามาร…”
เสียงของหลานเซี่ยงเบาบางลงราวกับว่านางไม่กล้าพูดมากกว่านี้
“พูดต่อสิ”
เสี่ยวเฉินเริ่มตัวสั่น
“คุณหนูจะให้เวลานายน้อยเสี่ยวเฉินสามปี ถ้านายน้อยไปถึงขอบเขตชำระปราณขั้นสามได้ในสามปีและเข้าสู่นิกายวายุนภาได้…เพียงเท่านี้…คุณหนูก็จะ…จะ…มิเช่นนั้น คุณหนูหวังว่านายน้อยจะลืมนางไป…”
ความเงียบงันปกคลุมทั้งโถงและไม่มีผู้ใดด้านนอกที่กล้าพูด ขอบเขตชำระปราณขั้นสามนั้นเป็นขั้นการบ่มเพาะพลังในการเป็นเซียน ไม่มีผู้ใดหวังว่าจะไปถึงขอบเขตนั้นง่าย ๆ
“หึหึหึ…”
ท่ามกลางความเงียบ เสียงหัวเราะเยาะของเสี่ยวเฉินดังขึ้น เขาพูดด้วยความโมโห
“นางพูดอย่างนั้นจริงเรอะ!?”
สาวใช้นั้นมิใช่คนแปลกหน้ากับเขา นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของหวงฟูชิงเอ๋อ นางเป็นคนที่สนิทที่สุดกับนางและไม่มีทางกล้าโกหกในเรื่องนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเสี่ยวเฉินก็แทบจะไม่อยากเชื่อว่านี่คือคำพูดที่หวงฟูชิงเอ๋อพูดเอง
หลานเซี่ยงตัวสั่นด้วยความกลัว นางเงยหน้าขึ้นมาด้วยความกลัวและได้เห็นสายตาเยือกเย็นของชิ่นฉิวที่ทำให้นางกลัวหัวหด
“นี่เป็นคำพูดของคุณหนู นายน้อย….คุณหนูพูดอีกด้วยว่านางจะไม่มีวันแต่งงานกับคนน่าวะ เวทนา…ละ และ คุณหนูบอกว่า…”
จนถึงตอนนี้ เปลือกตานางเริ่มแดงและชื้น นางเริ่มหายใจหอบ ดูเหมือนว่าชิ่นฉิวจะฝืนใจนางให้พูดคำเหล่านั้นซึ่งไม่มีทางเป็นความปรารถนาของหวงฟูชิงเอ๋อ
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เสี่ยวเฉินเงยหน้าหัวเราะหลังชนเก้าอี้ มีความเศร้าอันแหลมคมในใจเขาราวกับกระบี่แทงไป
“นี่เป็นความต้องการของชิงเอ๋อเองรึ?”
“นางเป็นคนรู้จักคิดน่ะสิ…หึหึหึ เสี่ยวเฉิน เสี่ยวเฉิน…รู้ไหมว่าเจ้าตอนนี้น่าเวทนาแค่ไหน?”
เสี่ยวจางเฟิงที่นั่งอย่างเงียบเชียบในเก้าอี้หลักนั้นมิได้พูดอะไรออกมา หวงฟูเจ๋อถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง
“ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า โดยเฉพาะกับหลานเสี่ยวเฉิน ดังนั้นข้าจึงนำพุ่มเก้าบุบผาใบหยกมาแทนคำขอโทษ”
“หลานเซี่ยง เอาของมา”
“ค่ะ”
สาวใช้เช็ดน้ำตาและหยิบกล่องหุ้มผ้าออกมา นางเดินไปเปิดกล่องจนเกิดวายุแสงสีขาวสว่างจ้าออกมาจากกล่องจนทุกคนตาพร่า เมื่อพวกเขากลับมามองเห็นอีกครั้งจึงได้เห็นต้นไม้จิ๋วที่มีความงามดั่งหยก มีดอกไม้เก้าดอกอยู่บนต้นไม้นั้น
“หากกินต้นไม้นี้เข้าไปจะทำให้เติบโตในพลัง อีกทั้งยังช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันจากการเจ็บป่วย และยังเพิ่มโอกาสของการบ่มเพาะเส้นปราณได้หนึ่งเส้น”
หวงฟู่เจ๋ออธิบายสรุป เห็นได้ชัดว่าตระกูลหวงฟูไม่คิดว่าเสี่ยวเฉินจะมีพลังถึงขอบเขตชำระปราณขั้นสามได้ในสามปี
เหล่าคนหนุ่มสาวตระกูลเสี่ยวที่อยู่ด้านนอกทำได้แต่มองกล่องและของข้างในด้วยความต้องการ การมีอยู่ของมันนั้นยังพิสูจน์ว่าตระกูลหวงฟูนั้นมีความผูกพันกับเหล่าเซียน การกินต้นไม้นั้นจะทำให้มีโอกาสได้ไล่ตามความฝันสู่การเป็นเซียนได้
แต่เสี่ยวเฉินไม่แม้แต่มองกล่อง เขาหัวเราะเบา ๆ อย่างเย็นชา
“เกรงว่าข้าคงต้องปฏิเสธลุงหวงฟู คำตอบข้าอาจทำท่านไม่พอใจ แต่ข้าไม่คิดจะยอมรับการถอนหมั้นกับชิงเอ๋อถ้านางไม่มาพูดกับข้าด้วยตัวเอง!”
“เสี่ยวเฉิน! หุบปาก!”
ด้วยความเกรงกลัวว่าความอวดดีของเสี่ยวเฉินจะทำให้เซียนโกรธ เสี่ยวเทียนฉีจึงตะโกนขึ้นมา
เสี่ยวเฉินหันไปยิ้มอย่างเย็นชา
“พ่อข้าอยู่ที่นี่กับข้าด้วย ข้าคิดว่าท่านลุงไม่จำเป็นต้องห่วงใยเรื่องนี้หรอกนะ”
คำพูดอันคมกริบของเสี่ยวเฉินทำให้เสี่ยวเทียนฉีพูดไม่ออก เสี่ยวเฉินหันไปหาหวงฟูเจ๋อในทันทีและยิ้มบาง ๆ
“ข้ามีเวลาสามปีในการเป็นขอบเขตชำระปราณขั้นสามใช่หรือไม่?”
หวงฟูเจ๋อมองเสี่ยวเฉินอย่างเงียบเชียบ เขารู้สึกได้ถึงความต่างออกไปของชายหนุ่มที่มองอยู่ ชิ่นฉิวที่อยู่ข้าง ๆ พูด
“อย่างที่ศิษย์น้องชิงเอ๋อบอกได้ แต่เพื่อนาง ข้าอยากให้เจ้าถอนหมั้นในวันนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใด เจ้ามันก็แค่คนน่าสมเพชที่ไม่มีค่าให้รอคอย”
เสี่ยวเฉินมองเขาอย่างเยือกเย็นและพูดสวนทันที
“เจ้าเป็นใครถึงได้มาตัดสินว่าข้ามีค่าหรือไม่? เจ้ามันก็แค่ผู้ฝึกขอบเขตตั้งฐานขั้นสามไม่ใช่รึ?”
คำพูดทิ่มแทงของเสี่ยวเฉินสร้างความตกใจและงุนงงกับหนุ่มสาวตระกูลเสี่ยวด้านนอก พวกเขาอาจเคยได้ยินคำว่า ‘เส้นปราณ’ ‘ขอบเขตตั้งฐาน’ และ ‘ขอบเขตชำระปราณ’ แต่การได้ฟังคำพูเหล่านั้นต่อหน้าต่อตานั้นไม่ต่างกับตำนานเล่าขานที่กลับมามีชีวิตต่อหน้าพวกเขา แต่เป็นไปได้หรือที่เสี่ยวเฉินจะคุ้นเคยกับความพิศวงและเหล่าเซียนนั้น?
แม้แต่ชิ่นฉิวเองก็แทบจะข่มอารมณ์ตกใจจนตัวสั่นไม่ไหว เป็นไปได้อย่างไรที่คนน่าเวทนาไร้ประโยชน์รับรู้ถึงระดับพลังบ่มเพาะเขา? เขาเดินมาข้างหน้าและทำให้ตัวเองสุขุม
“แค่ขอบเขตตั้งฐานงั้นรึ? เจ้าอยากจะทดสอบพลังของข้ากับตัวเจ้าเองหรือไม่?”
จากนั้นเขาก็ใช้พลังและเรียกสายลมรุนแรงที่กรีดเสียงอันดุร้ายในโถง
คนอื่นนั้นล้วนอ่อนแอกว่าในด้านพลัง พวกเขารู้สึกทุกข์ทรมานจากพลังนั้นและเริ่มหมดสติ โลหิตในกายเดือดพล่าน ท่ามกลางความโหดร้ายนั้นมีแต่พวกเขาที่คิดว่านี่คือพลังของผู้ที่ใฝ่ฝันจะเป็นเซียนหรือ? ผู้บ่มเพาะพลังทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ได้โดยไม่ได้กระดิกนิ้วเสียด้วยซ้ำ
เมื่อดวงตาเขาตั้งใจมุ่งมั่น เสี่ยวเฉินพูดโดยไม่มีแม้แต่ความกลัวในน้ำเสียง
“จะทำแบบนั้นก็ย่อมได้”
ชิ่นฉิวผงะเล็กน้อย เขาแปลกใจ
‘คนคนนี้…เขาแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เขาเป็นอะไรกัน? เป็นผู้บ่มเพาะพลังเหมือนกันรึ? แต่ทำไมข้าถึงสัมผัสพลังของมันไม่ได้ล่ะ?’
เขาก้าวมาข้างหน้า เขาขยับดัชนี กระบี่เซียนเล่มหนึ่งก่อตัวขึ้นกลางอากาศ แต่กระบี่นั้นไม่มีแม้แต่เงาบนพื้น
“นี่คือแสงผนึก อาวุธในตำนานอันดับสิบสาม ถ้าเจ้ากล้าก็มาประลองกับข้าและข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการถ้าเจ้ารับข้าได้สามกระบวนท่า”
เหล่าคนตระกูลเสี่ยวด้านนอกทำได้แค่มองและกลั้นหายใจในความเงียบ สิ่งนี้ทำให้ความกังขาในใจว่าเขาเป็นเซียนที่สร้างกระบี่จากกลางอากาศได้นั้นหมดไปจนสิ้น
เสี่ยวเฉินเดินเข้าไปและพูดเสียงดัง
“มีใครให้ข้ายืมกระบี่ไหม!”
เหล่าคนด้านนอกแทบจะไม่เชื่อหู เขาบ้าจนกล้ายอมรับการท้าประลองของเซียนแล้วรึ? ไม่มีคนปกติที่ไหนมีหวังจะมีชีวิตรอดจากหนึ่งกระบวนท่าของเซียน แล้วยังเป็นสามกระบวนท่าอีก! แต่จากนั้น ทุกสายตาจ้องมองไปยังกระบี่สีเขียวที่แขวนอยู่บนที่นั่งหลักในโถง
เสี่ยวจางเฟิงยกมือ กระบี่ลอยออกจากฝึกไปยังจุดท้าประลอง เขาใช้กำลังภายในเพื่อชักกระบี่จากระยะไกล!
“เฉินเอ๋อ รับกระบี่เล่มนี้ไป!”
เสี่ยวเฉินยื่นมือจับด้ามกระบี่ มันคือกระบี่ฟ้าเขียว เป็นกระบี่ที่มีความงบอันยอดเยี่ยมที่ตัดเส้นผมอย่างง่ายดายและฝ่าได้แม้กระทั่งเหล็ก มันคือของขวัญจากจักรพรรดิเก้าดินแดนที่พวกเขาไปเยือนเมื่อสามร้อยปีก่อน กระบี่เล่มนี้จึงกลายเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเสี่ยว กระบี่ในมือเขาสั่นด้วยความตื่นเต้นราวกับมันมีความคิดเป็นของตัวเอง
“สามกระบวนท่า! ข้ามาแล้ว!”
เสี่ยวเฉินกวัดแกว่งกระบี่ในมือและพุ่งตัวออกไป เขาใช้วิชากระบี่พื้นฐานไม่กี่กระบวนท่าจากนิกายครามพิสดาร คมกระบี่ร่ายรำกวาดสายลมเป็นเสียงแหลม การเคลื่อนไหวอันตระการตาประจักษ์แก่สายตาทุกคนราวกับว่าเสี่ยวเฉินได้สร้างกระบี่ขึ้นมาหลายเล่ม ความเยือกเย็นอันเกิดจากความคมกริบของกระบี่และพลังการเคลื่อนไหวได้ฟันออกไปอย่างไร้ปรานีผ่านสายลมจนแรงกดดันอันรุนแรงจากการเคลื่อนไหวของเขาได้แล่นผ่านแก้มของทุกคน มันเป็นกระบี่ที่ขู่ทุกคนว่าจะฉีกกระชากพวกเขาให้ถึงเนื้อถึงหนัง
ความแปลกใจและสับสนได้ปะทุอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกโถง
“เขารู้จักสู้ตั้งแต่เมื่อไหร่! เขาไปเรียนวิชากระบี่ที่ซับซ้อนเช่นนั้นมาจากที่ใดกัน!”
ทุกคนสับสน เสี่ยวยี่ฟานแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้เห็นและสีสันทั้งหมดบนใบหน้าได้จางหายไปจากเสี่ยวหยวน เพราะเขารู้ดีว่าพลังชั้นห้าของเขามิอาจทำให้เขาใช้วิชากระบี่ที่ซับซ้อนเช่นนั้นได้เลย
หวงฟู่เจ๋อตัวสั่นด้วยความตกใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเสี่ยวเฉินจะมีพลังอำนาจเช่นนั้น
ชิ่นฉิวหรี่ตามองศัตรู เป็นไปได้อย่างไรที่คนน่าสมเพชเช่นนั้นจะเชี่ยวชาญวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้? เห็นได้ชัดว่าวิชาของศัตรูนั้นเป็นวิชากระบี่ที่เหนือกว่าเขาอย่างมาก เขาขยับนิ้วและควบคุมแสงผนึกตามใจคิดและส่งมันบินออกไปเป็นลำแสงขาว ปลายของมันปะทะกระบี่ของเสี่ยวเฉินอย่างรุนแรง
เสียงโลหะกระทบกันพร้อมกับประกายไฟ การปะทะกันของกระบี่นั้นสร้างคลื่นกระแทกอันรุนแรงออกมาด้วย พลังของมันน่ากลัวจนของที่วางบนโต๊ะกระจัดกระจาย น้ำตาหกกระเด็นไปทุกทิศทาง
ผู้เฒ่าหลายคนในตระกูลเสี่ยวแทบจะกระเด็นจากพลังคลื่น พวกเขาฝืนพยุงตัวอย่างยากลำบากและเหลือบมองกันเพราะนี่คือพลังของจอมยุทธขั้นเจ็ดเป็นอย่างน้อย!
“เสี่ยวเฉินมีพลังมากมายเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ที่ด้านนอก คนตระกูลเสี่ยวที่เหลือตกตะลึง สีหน้าของเสี่ยวหยวนกลายเป็นอัปลักษณ์ เขาปฏิเสธที่จะเชื่อสิ่งที่ตาเห็น! เขาคือคนหนุ่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตระกูลเสี่ยว แต่ในตอนนี้ เขาต้อยต่ำกว่าคนไร้ประโยชน์ที่เขาดูถูกเหยียดหยามมาตลอด!
พลังเกรี้ยวกราดจากกระบี่ของเสี่ยวเฉินสร้างสายลมอันน่ากลัวและเสียงของกระบี่ปะทะกันยังดำเนินต่อไป ในพริบตาชายที่สู้กันสองคนก็ซัดกันไปมากกว่าสิบกระบวนท่า แต่เสี่ยวเฉินยังคงสุขุมเยือกเย็นในกระบวนท่าของเขา ด้วยการระเบิดความเร็วนั้น แสงสีฟ้าเขียวได้แทงทะลวงอากาศเล็งไปที่ลำคอของชิ่นฉิว
ทุกคนทั้งในและนอกโถงกลั้นหายใจ
“รังสีกระบี่! นั่นมันรังสีกระบี่! เขาปล่อยรังสีกระบี่ออกมา!”
เสี่ยวยี่ฟานและเสี่ยวจางเฟิงมองการโจมตีอันมุ่งมั่นนั้นโดยพูดอะไรไม่ออก มีเพียงมือกระบี่ที่มีพลังเหนือกว่าชั้นเจ็ดเท่านั้นที่จะสร้างรังสีกระบี่ด้วยกำลังภายในได้
ชิ่นฉิวรู้สึกถึงภัยคุกคามและหนาวเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง เขารีบใช้พลังปราณแลเสี่ยวเฉินก็รู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ออกมาจากตัวศัตรู กระบี่มิอาจทะลวงต่อไปได้อีกราวกับเจอกำลังของภูเขา แต่ก่อนที่เขาจะได้ตอบสนอง กระบี่ในมือของเขาหัก คมกระบี่กระจัดกระจาย เศษกระบี่กระเด็นไปเสียบเสาใหญ่ในโถง
เสี่ยวเฉินกระเด็นกระแทกพื้นแต่ยังยืนอยู่บนขาของตัวเอง เขาได้ลิ้มรสโลหิตในปากพร้อมกับความเจ็บปวดมากล้นจากภายใน เขาไม่อยากยอมแพ้และกลืนโลหิตในปากทั้งหมดกลับลงไป เขาใช้พลังที่เหลืออยู่รักษาสมดุลร่างกาย เขาใช้กระบี่ที่หักแล้วพยุงตัวเอง เขาไม่ยอมล้มลงไปและยอมเสียเกียรติยศของเขา
นี่คือความแตกต่างของพลังขอบเขตชำระปราณและขอบเขตตั้งฐาน ความเงียบงันปกคลุมภายในโถงและภายนอกราวกับป่าช้า ไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก เป็นเวลาสามร้อยปีแล้วที่กระบี่ฟ้าเขียวแห่งตระกูลเสี่ยวได้มอบความหวาดกลัวแก่ศัตรูที่กล้าลองดีกับมัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่เหลืออะไรต่อหน้าอาวุธเทพของเซียน
ชิ่นฉิวหอบหายใจหนึ่งครั้ง
“ไปกันเถอะลุงหวงฟู”
เขาเริ่มเดินกลับและหยุดเดินสักครู่เมื่อผ่านเสี่ยวเฉิน
“จะมีประโยชน์อันใดถ้ากระบวนท่าเจ้ามีแค่ความเร็ว? พลังของข้าบดขยี้เจ้าได้แค่กระดิกดัชนีเดียว”
เสี่ยวเฉินไม่ตอบอะไร เป็นความจริงที่ว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตั้งฐานสามารถเอาชนะขอบเขตชำระปราณได้ไม่ยาก เขามิใช่ศิษย์มากพรสวรรค์แห่งนิกายครามพิสดารอีกแล้ว
ในขณะนั้น สายลมเย็นพัดเข้ามาจากโถง เส้นผมของเขาที่หลิวรั่วมัดให้หลุดร่ายรำตามสายลม