ตอนที่ 619 ความลับของเกาะอสรพิษพิทักษ์
ตอนที่ 619 ความลับของเกาะอสรพิษพิทักษ์
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
โดยปกติคอปเปอร์เป็นคนที่สงบมากและการที่เขาได้ส่งเสียงขึ้นมาอย่างตื่นตระหนกแบบนี้ มันก็แสดงให้เห็นว่ามันน่าจะมีเรื่องร้ายแรงอะไรบางอย่างเกิดขึ้นภายในตระกูล
“รีบไปที่เกาะอสรพิษพิทักษ์เร็ว ๆ เข้า! มีคำสั่งให้นักรบทุกคนที่มีพลังระดับอัศวินกฎขึ้นไปไปรวมตัวกันที่เกาะอสรพิษพิทักษ์โดยเร็วที่สุด แม้แต่ราชาสัตว์อสูรทั้งสองตัวในสวนเสือคำรามก็ถูกพาตัวไปที่นั่นด้วย มันจะต้องมีเรื่องใหญ่อะไรสักอย่างเกิดขึ้นที่นั่นแน่ ๆ” คอปเปอร์กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
“คำสั่งระดมกองกำลังของตระกูลงั้นเหรอ?”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้มีการเรียกระดมกองกำลังแบบนี้ด้วย”
“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดช้า ๆ ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้อยู่ในตระกูลผมเลยไม่รู้ว่ามันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คุณช่วยค่อย ๆ เล่ารายละเอียดทุกอย่างให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ” เซี่ยเฟยพยายามดึงสติคอปเปอร์กลับมาและกล่าวถามอย่างใจเย็น
เซี่ยเฟยรู้ดีว่ายิ่งเวลาที่คนเราประสบกับสถานการณ์ที่วิกฤตมากแค่ไหน เราก็ควรจะต้องเยือกเย็นมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดความใจร้อนมันก็จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาทุกอย่างอย่างใจเย็น เพื่อจะได้ค้นหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
“ผู้อาวุโสหยูเจียงมีหลานชายชื่อหยูกู่ติงประจำการฝึกซ้อมอยู่ในเกาะอสรพิษพิทักษ์มานานหลายปีแล้ว ซึ่งสาเหตุที่สถานที่แห่งนั้นถูกเรียกว่าเกาะอสรพิษพิทักษ์ นั่นก็เพราะว่ามันเป็นสถานที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรงูหลามที่ถูกตั้งชื่อว่าชิงเหมิง”
“มันมีสัตว์อสูรอยู่ในเกาะอสรพิษพิทักษ์ด้วยงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ใช่ ชิงเหมิงเป็นอสูรพิทักษ์ตระกูลหยูมาหลายพันปีแล้ว และถึงแม้ว่าในตอนนี้ตระกูลหยูจะตกต่ำมาก แต่ครั้งหนึ่งในอดีตตระกูลหยูก็เคยเป็นตระกูลที่รุ่งเรืองมากเช่นเดียวกัน อสูรพิทักษ์ตระกูลตัวนี้จึงเป็นถึงอสูรเทวะระดับ 2 ที่แม้แต่คนจากตระกูลในกลุ่มดาวม้าขาวก็ยังรู้สึกอิจฉาพวกเราที่มีอสูรพิทักษ์ที่แข็งแกร่ง”
“ท้ายที่สุดอสูรเทวะก็เป็นอสูรระดับสูงที่เข้าใจภาษามนุษย์และยังสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แม้แต่ตระกูลขนาดใหญ่ก็ยังต้องการที่จะได้ครอบครองอสูรระดับนี้” คอปเปอร์เริ่มอธิบาย
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับและนึกถึงนกตัวสีขาวดำจากเทพเจ้าขาวดำที่สามารถพูดคุยกับเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ แตกต่างจากสัตว์อสูรทั่ว ๆ ไปที่เขาเคยได้พบเจอมา
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับหลานชายของผู้อาวุโสงั้นเหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“ผู้อาวุโสมีลูกชาย 2 คนซึ่งทั้งสองคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นราชากฎเหมือน ๆ กัน แต่เมื่อ 30 ปีก่อนลูกชายของผู้อาวุโสทั้งสองคนถูกสังหารในการต่อสู้อันดุเดือด ซึ่งผู้ที่เหลือรอดชีวิตกลับมาก็มีเพียงแค่ผู้อาวุโสกับหลานชายที่ชื่อหยูกู่ติงเพียงสองคนเท่านั้น”
“น่าเสียดายที่ระดับพรสวรรค์ของหยูกู่ติงไม่ได้อยู่ในระดับสูงมากนัก ผู้อาวุโสจึงแอบส่งเขาไปยังเกาะอสรพิษพิทักษ์เพื่อให้เขาได้มีโอกาสฝึกฝนร่วมกับชิงเหมิง ผู้อาวุโสได้กำชับเอาไว้อย่างหนักแน่นว่าเขาห้ามออกไปไหนจนกว่าจะสามารถเลื่อนระดับกลายเป็นราชากฎได้สำเร็จ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบนเกาะอสรพิษพิทักษ์ถึงได้มีทหารถูกส่งไปประจำการเป็นจำนวนมากอยู่เสมอ”
“การตัดสินใจของผู้อาวุโสในครั้งนั้นก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตระกูลอย่างมากมายว่า ผู้อาวุโสต้องการที่จะให้หยูกู่ติงสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลต่อจากตัวเอง เขาจึงพยายามมอบทรัพยากรที่ดีที่สุดของตระกูลให้กับหลานชายอย่างไร้เหตุผลแบบนี้”
“อย่างไรก็ตามในตอนนั้นผู้อาวุโสก็เป็นราชากฎเพียงคนเดียวของตระกูล นอกจากนี้ลูกชายทั้งสองคนของเขายังยอมสละชีวิตเพื่อตระกูลด้วยเหมือนกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่ค่อยพอใจนักแต่มันก็ไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อส่งเสียงคัดค้าน”
“ถ้าอยากจะให้หลานชายตัวเองสืบทอดตำแหน่งผู้นำก็แค่ยกตำแหน่งให้ตั้งแต่แรกเลยก็ได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมผู้อาวุโสถึงจะต้องส่งหลานชายไปที่เกาะอสรพิษพิทักษ์แบบนั้นด้วย?” เซี่ยเฟยกล่าว
คอปเปอร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังจากถูกส่งไปที่เกาะอสรพิษพิทักษ์เพียงแค่ไม่นาน ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าสถานที่แห่งนั้นย่อมไม่ใช่สวรรค์แต่เป็นนรกอย่างแน่นอน และการโยนหลานชายของตัวเองให้ไปใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่อันตรายแบบนั้น มันก็ค่อนข้างจะเป็นการตัดสินใจที่ทารุณหลานของตัวเองมากเกินไป
“ตระกูลหยูมีข้อบังคับอันเข้มงวดว่าผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลได้จะต้องมีระดับพลังราชากฎขึ้นไปเท่านั้น มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้อาวุโสถึงต้องส่งหลานชายของตัวเองเข้าไปฝึกฝนยังเกาะอสรพิษพิทักษ์” คอปเปอร์กล่าว
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็เบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความตกตะลึง ราวกับว่าเขาคิดอะไรได้บางอย่างแต่เขาก็เลือกที่จะเก็บเรื่องนั้นเอาไว้ภายในใจ
“แต่จู่ ๆ เมื่อไม่นานมานี้มันก็มีข่าวว่าหยูกู่ติงได้กลายเป็นราชากฎเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสจึงรู้สึกมีความสุขมากและเดินทางไปเกาะอสรพิษพิทักษ์ตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อไปแสดงความยินดีกับหลานชายและไปแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษของตระกูล”
“อย่างไรก็ตามทันทีที่ชายชราเข้าไปภายในเกาะ จู่ ๆ เกาะอสรพิษพิทักษ์ก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและมีม่านพลังมาครอบคลุมตัวเกาะเอาไว้ ผู้จัดการหยูจินจึงออกคำสั่งระดมกองกำลังนักรบของตระกูลเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด”
“มันพลังนั้นมันคืออะไร?” เซี่ยเฟยถาม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่มันคือพลังกฎที่ทรงพลังมากจนทำให้คนนอกไม่สามารถรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกาะได้เลย” คอปเปอร์ตอบ
“แล้วพวกคุณรู้ได้ยังไงว่าผู้อาวุโสไม่ใช่คนที่สร้างม่านพลังขึ้นมา?” เซี่ยเฟยถาม
“พลังนั่นไม่มีทางเป็นฝีมือของผู้อาวุโสแน่นอน ผู้อาวุโสตื่นเต้นจนอยากจะเดินทางเข้าไปรับตัวหลานชายด้วยตัวเอง แล้วทำไมเขาถึงจะต้องขังตัวเองเอาไว้บนเกาะพร้อมกับหลานชายด้วย นอกจากนี้ม่านพลังยังเป็นวิชามิติระดับสูงมาก และภายในตระกูลหยูของเราก็ไม่เคยมีใครใช้วิชาระดับสูงแบบนี้ได้มาก่อน”
เซี่ยเฟยยกมือขึ้นมาเท้าคางพร้อมกับครุ่นคิดถึงสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างรอบคอบ และเมื่อคอปเปอร์ได้เห็นว่าเซี่ยเฟยยังไม่รีบเดินทางไปยังเกาะอสรพิษพิทักษ์ เขาก็ยิ่งรู้สึกร้อนรนมากขึ้นเรื่อย ๆ
“รีบไปเถอะ! ผู้อาวุโสเป็นเสาหลักของตระกูลถ้าหากว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้อาวุโสจริง ๆ ตระกูลของเราก็จะต้องพบกับหายนะอย่างแน่นอน” คอปเปอร์กล่าวอย่างกังวล
“ถึงจะร้อนใจไปมันก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นหรอกนะครับ คุณพอจะรู้ไหมว่าตอนนี้หยูฮัวอยู่ที่ไหน?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“ตอนนี้ทุกคนอยู่บนเกาะอสรพิษพิทักษ์หมดแล้ว แม้ว่าหยูจินกับหยูฮัวจะไม่ค่อยถูกกันแต่หยูฮัวก็เป็นราชากฎเพียงคนเดียวในตระกูลที่เหลืออยู่ หยูจินจึงต้องยอมลดทิฐิและไปเชิญหยูฮัวมาด้วยตัวเอง” คอปเปอร์กล่าว
“หยูฮัวไม่ได้เดินทางเข้าไปยังเกาะอสรพิษพิทักษ์พร้อมกับผู้อาวุโสงั้นเหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เกาะอสรพิษพิทักษ์เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลหยูและเป็นสถานที่ตั้งสุสานของบรรพบุรุษด้วย หยูฮัวตัดสินใจออกจากตระกูลตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนชื่อของเขาเลยไม่ได้อยู่ในตระกูลอีกต่อไป หยูฮัวเลยไม่มีสิทธิ์เดินทางเข้าไปในเกาะอสรพิษพิทักษ์แล้ว เว้นแต่ในกรณีพิเศษคราวนี้ที่หยูจินได้เชิญเขาเดินทางไปด้วยตัวเอง” คอปเปอร์กล่าว
“เดินทางเข้าไปไม่ได้งั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยพึมพำอย่างครุ่นคิด
“นายกำลังคิดว่าเรื่องนี้คือฝีมือของหยูฮัวงั้นเหรอ?” คอปเปอร์กล่าวถามอย่างสงสัย
“คุณเป็นคนบอกเองว่ามันมีเพียงแต่ราชากฎที่สามารถขึ้นครองตำแหน่งผู้นำตระกูลได้ แต่ในตอนที่มันมีข่าวว่าหยูกู่ติงกำลังจะกลายเป็นราชากฎ จู่ ๆ มันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญราวกับว่า…”
“นายเลิกคิดเรื่องนั้นไปได้เลย คนอื่น ๆ อาจจะมีความทะเยอทะยานอยากจะขึ้นมาเป็นผู้นำของตระกูล แต่คนคนนั้นไม่ใช่หยูฮัวอย่างแน่นอน เขาแค่ชื่นชอบการทำธุรกิจและใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน เขาไม่อยากจะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องภายในของตระกูลหรอก”
“ในตอนที่ลูกชายทั้งสองคนของผู้อาวุโสเสียชีวิตในสนามรบ ผู้อาวุโสได้ติดต่อไปหาหยูฮัวเพื่อให้กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลด้วยตัวเองด้วยซ้ำ แต่หยูฮัวก็เลือกที่จะปฏิเสธข้อเสนอของผู้อาวุโสด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าหากว่าเขาอยากจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเขาก็คงจะตอบตกลงตั้งแต่วันนั้นแล้ว ดังนั้นเขาไม่มีทางเป็นคนก่อความวุ่นวายในครั้งนี้ขึ้นมาแน่ ๆ” คอปเปอร์กล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร เพราะในตอนแรกที่คอปเปอร์บอกเงื่อนไขของการเป็นผู้นำตระกูล เซี่ยเฟยก็เริ่มอนุมานทันทีว่าผู้ที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากเรื่องนี้ยอมเป็นหยูฮัวอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าหยูฮัวได้ถอนตัวออกไปจากตระกูลอย่างเด็ดขาดแล้ว แม้ว่ามันจะเกิดหายนะขึ้นกับผู้อาวุโสหยูเจียงจริง ๆ แต่หยูฮัวก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ความสงสัยของเซี่ยเฟยจึงเริ่มไปตกลงที่หยูจิน เพราะเขาเป็นคนที่คอยดูแลเรื่องภายในตระกูลมาโดยตลอด และถ้าหากว่ามันมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับหยูเจียงพร้อม ๆ กับหยูฮัวไม่สามารถที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำตระกูลได้ ทุกคนย่อมเลือกให้เขากลายเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเขาคนนี้ก็มีระดับพลังไปจนถึงราชากฎแล้ว
หยูฮัวไม่ได้ปิดบังเรื่องที่เขามีพลังระดับราชากฎอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เพราะหยูจินก็ปิดบังเรื่องที่เขามีพลังอยู่ในระดับราชากฎอยู่ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ในสถานการณ์วิกฤติที่ตระกูลกำลังขาดผู้นำ ในเวลานั้นการลดเงื่อนไขของการขึ้นเป็นผู้นำมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็เดินตามคอปเปอร์ไปยังชายทะเลที่ภาพด้านหน้าให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากมหาสมุทรจริง ๆ
—
“ผู้จัดการสวนเสือคำรามเซี่ยเฟยมาแล้วครับ”
เสียงตะโกนรายงานดังขึ้นมาจากชายหาด หลังจากที่เซี่ยเฟยโดยสารเรือลำเล็ก ๆ มาจนถึงเกาะอสรพิษพิทักษ์ที่ตั้งอยู่กลางทะเล
ในเวลานี้นักสู้เกือบทั้งหมดของตระกูลได้มารวมตัวกันบนเกาะทั้งหมดแล้ว ซึ่งมันก็รวมถึงหยูจิน, หยูฮัว, หยูเสี่ยวเป่ย, หยูลู่ซวนและแม้กระทั่งคุณหนูตัวแสบอย่างหยูชิชิก็ถูกเรียกตัวมายังเกาะแห่งนี้ด้วย
เซี่ยเฟยพิจารณาสภาพแวดล้อมทั่วทั้งเกาะและได้พบว่าเกาะแห่งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่และบนตัวเกาะถูกปกคลุมไปด้วยป่าทึบอันเขียวขจี
แต่ในตอนนี้ทั่วทั้งเกาะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทำให้คนบนเกาะอยู่ได้เพียงแค่บริเวณรอบนอกของเกาะเท่านั้น และไม่สามารถมองเข้าไปเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางด้านในของตัวเกาะได้เลย ซึ่งหมอกนี้ก็คงจะเป็นม่านพลังที่คอปเปอร์ได้บอกเอาไว้
หยูฮัวโบกมือเรียกจากระยะไกล เซี่ยเฟยจึงรีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที
“ยินดีด้วยที่สามารถผ่านการประเมินรอบแรกของงานชุมนุมมังกรฟ้าไปได้” หยูฮัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หยูเสี่ยวเป่ยที่อยู่ใกล้ ๆ กำหมัดแน่นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะในขณะที่เซี่ยเฟยผ่านการประเมินแต่เขาตกรอบ มันก็ทำให้ชายหนุ่มคนนี้สัมผัสได้ถึงความอัปยศที่ไม่เคยสัมผัสได้มาก่อนในชีวิต
“เขาก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ! พี่เสี่ยวเป่ยของฉันเก่งกว่าเขาตั้งเยอะ” หยูชิชิกล่าวพร้อมกับพยายามจะเอื้อมมือไปจับแขนของหยูเสี่ยวเป่ยเอาไว้
“ออกไป!”
หยูเสี่ยวเป่ยสะบัดแขนหยูชิชิออกไปด้วยความโกรธจนทำให้เด็กสาวล้มลงกับพื้นจนเธอเกือบจะน้ำตาไหลออกมา
“กระโปรงของเธอเลอะหมดแล้วไปเปลี่ยนกระโปรงก่อนดีไหม?” เซี่ยเฟยเดินเข้ามาดึงหยูชิชิขึ้นมาจากพื้น พร้อมกับพูดเปิดโอกาสให้เธอหนีออกไปจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจนี้
คำพูดของเซี่ยเฟยยิ่งทำให้ใบหน้าของหยูเสี่ยวเป่ยบิดเบี้ยวมากยิ่งขึ้น และถึงแม้ว่าในความเป็นจริงชายหนุ่มจะไม่ชอบนิสัยของหยูชิชิเลย แต่เขาย่อมไม่พลาดโอกาสตอกหน้าหยูเสี่ยวเป่ยกลับไปอย่างแน่นอน
หยูชิชิวิ่งหนีออกไปทั้งน้ำตาก่อนที่ชายชรา 2 คนที่สวมเครื่องแบบของผู้คุมกฎจะเดินเข้ามาจากทางชายหาด
“พอจะมีเบาะแสอะไรบ้างไหมครับ?” หยูจินกล่าวถามด้วยความเคารพ
“พวกเราลองตรวจสอบทุกอย่างอย่างรอบคอบแล้ว แต่ม่านพลังที่ถูกใช้อยู่ในตอนนี้มันไม่ใช่ม่านพลังของตระกูลไหนในบันทึกเลย” คนจากสมาพันธ์ผู้คุมกฎกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“นายแน่ใจนะว่าจะไม่ให้สมาคมเข้ามาจัดการเรื่องนี้?” ผู้คุมกฎอีกคนกล่าวถาม
“ที่นี่คือสุสานบรรพบุรุษของตระกูลและเป็นที่อยู่ของอสูรผู้พิทักษ์ของตระกูล ด้วยผู้นำตระกูลจึงมีคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปยังพื้นที่ด้านในของตัวเกาะครับ” หยูจินกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ในเมื่อตระกูลหยูจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พวกเราก็ขอตัวก่อนก็แล้วกัน” ชายชราผู้คุมกฎทั้งสองกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ทำไมพวกเราถึงไม่ให้สมาคมผู้คุมกฎเข้ามาจัดการเรื่องนี้ล่ะครับ? ถ้าหากพวกเขาเป็นคนลงมือพวกเราย่อมสามารถทำลายม่านพลังเพื่อเข้าไปยังด้านในได้อย่างแน่นอน” เซี่ยเฟยถามหยูฮัวด้วยความแปลกใจ
“นอกเหนือจากสิ่งที่หยูจินพูดไปแล้วภายในเกาะยังมีความลับของตระกูลซุกซ่อนเอาไว้ด้วย มันจึงเป็นสถานที่ที่ห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปอย่างเด็ดขาด” หยูฮัวกระซิบตอบเบา ๆ หลังจากมองไปยังบริเวณรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง
“ความลับของตระกูลงั้นเหรอครับ? มันสำคัญถึงขนาดที่ว่าตระกูลยอมเสี่ยงเรื่องนั้นกับชีวิตของผู้อาวุโสเลยงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถาม
“เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจการตัดสินใจของฉัน” หยูฮัวกล่าวพร้อมกับมองไปยังชายชราผู้คุมกฎสองคนที่กำลังจะจากไป
“เซี่ยเฟย นายอย่าลืมนะว่าม่านพลังนั้นอาจจะหยุดคนอื่นเอาไว้ได้ แต่มันไม่สามารถที่จะหยุดนายเอาไว้ได้” เสียงอันธเตือนสติเซี่ยเฟยขึ้นมาเบา ๆ
***************
อย่าบอกนะ?