ตอนที่ 6 หวงฟู
เสี่ยวยี่ฟานเป็นคนแรกที่รีบวิ่งมาที่สวน เขากุมไหล่เสี่ยวเฉินและมองรอบ ๆ ด้วยความตื่นตกใจ
“เฉินเอ๋อ! เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าแม่นางคนนั้น…นางกลับมา?”
เสี่ยวเฉินตื่นเต้นจนไม่คิดว่าเขาจะก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ เขารู้ว่าเขามิอาจอธิบายมันได้ ถ้าหากเขาอ้างว่าตนเป็นคนก่อความเสียหายครั้งนี้ มันย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อเขาและพ่อของเขาจะถูกหัวเราะเยาะอีกครั้ง เขาแสร้งทำเป็นแปลกใจ
“ข้าเพิ่งจะกลับมาจากศาลาสายรุ้ง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
เสี่ยวยี่ฟานยังคงระแวงในสิ่งรอบข้าง
“ไปอยู่ที่เรือนเซียนวารีเถอะ เจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรท่านพ่อ จากนี้ไปท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าอีกแล้ว”
ในตอนนี้ ผู้เฒ่าหลายคนเดินเข้ามาและเริ่มตรวจดูความเสียหายในสวน เมื่อผู้เฒ่าชุดแดงที่บอกให้เสี่ยวเฉินทำลายไม้จันทน์เดินเข้ามาเห็นร่องรอยพลังฝ่ามือบนพื้น ใบหน้าเขาตกตะลึงในทันที
พลังฝ่ามือควรจะกระจายออกไปแต่มันกลับถูกบังคับให้หยุดอยู่กับจุดเดียวจนทำให้ทั้งสวนไม่พังทลาย ในโลกใบนี้ ผู้ใดกันถึงจะมีพลังฝ่ามือมากล้นยกเว้นแต่เจ้าตระกูล? เขาพูด
“นี่…คนร้ายจะต้องมีพลังอย่างน้อยชั้นเจ็ดใช่หรือไม่?”
ผู้เฒ่าคนอื่นมองเสี่ยวเฉินด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่เห็นใคร?”
เสี่ยวเฉินส่ายหน้า
“ท่านผู้อาวุโสไม่ต้องกังวลนัก ตระกูลเสี่ยวเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในสี่ตระกูลใหญ่ ไม่มีผู้ใดกล้ารุกรานเรา”
ถ้าหากคำพูดนี้มาจากผู้เฒ่าบางคนหรือชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์โดดเด่น มันคงจะเป็นคำที่ทรงพลัง แต่กลับเป็นเสี่ยวเฉินที่พูดคำนี้ เหล่าหนุ่มสาวตระกูลเสี่ยวได้แต่มองด้วยความขำขัน โดยเฉพาะเสี่ยวหยวนที่หันตัวกลับไปโดยไม่มองเสี่ยวเฉินอีกครั้ง
เสี่ยวเฉินเมินคนเหล่านั้น เขาหันไปหาบิดา
“ท่านพ่อ วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว? ข้าพลาดงานวันเกิดท่านปู่หรือไม่?”
เขาหมดสตินานเกินไปและไม่รู้วันเวลา
เมื่อได้ยินคำถามโง่ ๆ เหล่าผู้คนหัวเราะเยาะเขาอีกครั้ง เสี่ยวยี่ฟานจ้องมองหนุ่มสาวเหล่านั้นตาเขม็งและหันมาตอบ
“วันนี้ 17 เดือนสาม เจ้าไม่ได้สติมาครึ่งเดือน”
เสี่ยวเฉินพยักหน้า
“ท่านพ่อไม่ต้องห่วงข้าหรอก ที่นี่ไม่เป็นอะไร ท่านกลับไปเถอะ”
ทุกคนได้จากไปเว้นเสียแต่เสี่ยวยี่ฟาน เขายื่นในสวนราวกับมีบางอย่างจะพูดแต่มิได้พูดออกมา เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
“มีอะไรหรือท่านพ่อ?”
เสี่ยวยี่ฟานยิ้ม เขาพูดจากนั้นไม่นาน
“เอ่อ…เฉินเอ๋อ คนจากตระกูลหวงฟูจะมาในวันพรุ่งนี้ ถ้าเจ้ารู้สึกไม่ดีเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมาเจอพวกเขานะ…”
เสี่ยวเฉิยยิ้มตอบ
“ไม่เป็นไร ข้าฟื้นตัวดีแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปเจอพวกเขา”
เสี่ยวยี่ฟานนิ่งไป ตามปกติแล้วเมื่อเสี่ยวเฉินได้ยินข่าวนี้ เขาจะพยายามหลบหลีกจากคนเหล่านั้น แต่เหตุใดเขาถึงได้มั่นใจในคราวนี้กัน? ดูเหมือนว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนหลังจากตื่นขึ้นมา
“ตกลง”
พลบค่ำ เสี่ยวเฉินมองพระอาทิตย์ตกพลางครุ่นคิด เขามิได้ข้อความใดจากหวงฟูชิงเอ๋อเลย นางมักจะส่งจดหมายหาเขาทุกเดือน
“หรือช่วงนี้นางจะยุ่ง?”
ตระกูลหวงฟูนั้นอยู่ไกลออกไปในเขตหลิว เมื่อร้อยปีก่อน เจ้าตระกูลทั้งสองได้ตัดสินใจรวบรวมสองตระกูลให้เป็นปึกแผ่นโดยการแต่งงาน ก่อนหน้านี้เจ้าตระกูลของสองตระกูลนั้นสนิทชิดเชื้อและต้องการให้สองตระกูลอยู่ร่วมกันตลอดไป แต่ผ่านมาอีกหลายสิบปี ตระกูลหวงฟูนั้นไม่มีลูกสาว เจ้าตระกูลทั้งสองยังคงอยากให้งานแต่งงานนี้เกิดขึ้นเมื่อพวกเขาตาย
สุดท้ายเมื่อมาถึงรุ่นของเสี่ยวเฉิน ตระกูลหวงฟูได้มีลูกสาวชื่อหวงฟูชิงเอ๋อ พวกเขารุ่นราวคราวเดียวกันและเป็นธรรมดาที่ต้องมีงานแต่งงานเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของเจ้าตระกูลสองคน
นี่ควรจะเป็นงานรื่นเริงแต่สวรรค์กลับเล่นตลกกับพวกเขา เมื่อเสี่ยวเฉินอายุได้ 10 ปีนั้นเขาถูกพบว่าไร้เส้นปราณและมิอาจฝึกวิชายุทธได้ สิ่งนี้เป็นเงาบดบังทั้งสองตระกูลมาเป็นเวลานาน
นับแต่นั้นมา ผู้อาวุโสตระกูลหวงฟูจึงเย็นชาต่อตระกูลเสี่ยว ทุกครั้งที่พวกเขามาที่นี่พวกเขาจะพูดกับเสี่ยวเฉินด้วยความเย็นชาและไม่สนใจใยดี แต่หวงฟูชิงเอ๋อนั้นยังคงเป็นเหมือนเดิมกับเสี่ยวเฉิน
เช้าวันถัดมา เสี่ยวเฉินล้างหน้าแปรงฟันสวมชุดสะอาดสะอ้าน เมื่อกำลังจะเดินออกจากห้อง หลิวรั่วได้เดินเข้ามาในสวนและเห็นเส้นผมที่ไม่เรียบร้อยของเขาจึงกล่าว
“นายน้อยจะไปเช่นนี้ไม่ได้นะ ให้ข้ามัดผมให้ก่อน”
เสี่ยวเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยนและพยักหน้า เขาไม่เคยมัดผมเองและหลิวรั่วมักจะช่วยทำให้เขา
นางหยิบหวีและปิ่นปักผมของเขาจากลิ้นชักของเขาที่จัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบและเริ่มมัดผมของเขาอย่างระมัดระวัง
“นายน้อย…คิดถึงผู้หญิงจากตระกูลหวงฟูมากเลยรึ?”
เสี่ยวเฉินยิ้ม เขาควรจะตอบไปอย่างไร?
สำหรับเขา มันอาจเป็นยิ่งกว่าความรู้สึกขอบคุณต่อหวงฟูชิงเอ๋อ หลังจากที่เขามายังโลกใบนี้ เขาถูกผู้คนก่นด่าดูหมิ่นเหยียดหยามจากคนนับไม่ถ้วนเพียงเพราะว่าเขาไม่มีเส้นปราณและมิอาจฝึกวิชายุทธได้ หากไม่นับพ่อแม่เขาและคนอีกไม่กี่คน เพียงคนเดียวที่สนับสนุนเขาให้ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาได้ คนผู้นั้นคือหวงฟูชิงเอ๋อ
ถ้าหากเป็นลูกสาวคนอื่นจากตระกูลใหญ่ พวกนางจะต้องล้มเลิกงานแต่งงานแน่นอนเมื่อรู้เรื่องการฝึกยุทธไม่ได้ของเขา แต่หวงฟูชิงเอ๋อนั้นต่อต้านผู้อาวุโสตระกูลหวงฟูและยื่นคำขาดไว้ว่า ‘มีเพียงบุรุษผู้นี้ที่ข้าจะแต่งงานด้วย จนวันสุดท้ายของชีวิตข้า’
เสี่ยวเฉินยิ้มเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลิวรั่วไม่ถามอะไรอีกเมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา
“เสร็จแล้วนายน้อย วันนี้ท่านหล่อมาก…”
นางยิ้มพูด
เสี่ยวเฉินพยักหน้าลุกขึ้นยืนเดินออกไปจากห้อง เขาพูดที่ประตูสวน
“ข้าอาจไม่กลับมากินข้าวกลางวัน เจ้าไม่ต้องสนใจข้า เจ้าไปกินกับแม่ข้าก็ได้”
“เข้าใจแล้ว นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วงข้านะ…”
คราวนี้ ระหว่างทางไปที่โถงเมฆบิน เสี่ยวเฉินมิได้กระวนกระวายดั่งแต่ก่อน เขาไม่ใช่เสี่ยวเฉินคนเดิมอีกต่อไปแล้ว และเขายินดีต้อนรับแก่การท้าทายของตระกูลหวงฟู เขาอยากจะเห็นว่าหวงฟูเจ๋อซึ่งเป็นลุงคนที่สองของหวงฟูชิงเอ๋อจะก่อปัญหาอะไรอีก เขาจะต้องทำให้อีกฝ่ายขายหน้ากลับไปให้ได้
หนุ่มสาวตระกูลเสี่ยวมากมายอยู่บริเวณด้านนอกโถงกระซิบกระซาบกัน เสี่ยวเฉินคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้แล้วและเดินเชิดหน้าตรงเข้าไปในโถง ปู่ของเขานั่งอยู่ที่เก้าอี้หลักอย่างเคย มีผู้เฒ่าตระกูลเสี่ยวหลายคนและพ่อของเขาอยู่ด้านซ้าย ส่วนคนตระกูลหวงฟูนั้นอยู่ทางด้านขวา
สิ่งที่ต่างออกไปนั้นคือบรรยากาศหนักอึ้งในโถง ไม่มีผู้ใดพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติเหมือนดั่งเคยและเพียงแต่ก้มมองพื้น ไม่มีแม้แต่คนรับใช้ในโถง พวกเขาทำได้แต่มองถ้วยชาที่เย็นแล้ว หวงฟูชิงเอ๋อยังคงไม่มาที่นี่ แต่กลับมาชายหนุ่มหน้าตาดีที่ดูเหมือนกับเซียนมาแทน
เขามีรัศมีของเซียนอยู่เล็กน้อย หญิงสาวหลายคนจากด้านนอกมองเขาด้วยความหลงใหล แต่ใบหน้าของเขานั้นดูทรงอำนาจราวกับกำลังดูถูกทุกคนอยู่
เสี่ยวเฉินตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นชายคนนี้ เขาเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่มีเส้นปราณและอาจเป็นขอบเขตตั้งฐานแล้ว เขารีบเดินไปคารวะเสี่ยวจางเฟิงที่นั่งหลังตรงอย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นจึงคารวะชายวัยกลางคนสวมชุดสีฟ้าเขียวและพูด
“ท่านลุงหวงฟู”
ชายผู้นี้คือหวงฟูเจ๋อ เขามองเสี่ยวเฉินและพยักหน้าเบา ๆ สาวใช้ชุดเขียวยืนก้มหน้าข้างกายเขา นางถือกล่องใส่ของที่ดูดีด้วยมือทั้งสองข้าง มีอะไรอยู่ข้างในนั้นกัน?
เสี่ยวเฉินไม่พูดอะไร เขาเดินไปหาพ่อและนั่งลงข้าง ๆ เขาเหลือบมองไปที่พ่อและเห็นว่าสีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก
ในตอนนี้ ชายหนุ่มข้างหวงฟูเจ๋อลุกขึ้นในที่สุด เขาเหลือบมองเสี่ยวเฉินเล็กน้อยและถามเสี่ยวจางเฟิง
“เขาคือเสี่ยวเฉินรึ?”
เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว ชายผู้นี้หยาบคายนัก เมินเขาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? เสี่ยวเฉินลุกขึ้นพูด
“ข้าคือเสี่ยวเฉิน แล้วข้าควรเรียกเจ้าว่าอะไร?”
เมื่อเขาพูด เสี่ยวเทียนฉีจ้องเขา
“นั่งลง!”
ชายหนุ่มมองเขาและพูดอย่างสบายใจ
“ชิ่นฉิว ว่าที่ศิษย์เจ้านิกายวายุนภา”
เมื่อเขาพูด คนตระกูลเสี่ยวมากมายตกตะลึง ไม่แปลกใจเลยที่เหล่าผู้เฒ่าสุภาพต่อเขานัก เขาเป็นผู้บ่มเพาะพลังนั่นเอง
พวกเขารู้ว่ามีนิกายของผู้บ่มเพาะพลังและรู้ว่านิกายวายุนภาคือหนึ่งในนิกายเหล่านั้น ผู้คนมองเพียงว่านิกายเหล่านั้นคือนิกายแห่งวิถีและผู้บ่มเพาะพลังนั้นเพียงแค่ฝันว่าพวกเขาจะกลายเป็นเซียนได้หรือไม่ ผู้คนต่างคิดว่านิกายเหล่านั้นมิอาจเทียบกับวิชายุทธของตระกูลตัวเองได้ จนกระทั่งถึงวันนี้ พวกเขาได้เห็นคนต่อสู้กันบนท้องฟ้าแล้ว พวกเขาจึงรู้ว่าผู้บ่มเพาะพลังนั้นเป็นของจริง
พวกเขาไม่รู้เรื่องขอบเขตชำระปราณ ขอบเขตตั้งฐานหรือขอบเขตตั้งแกน เมื่อพวกเขาได้ยินคำว่าผู้บ่มเพาะพลัง พวกเขาก็เพียงแค่คิดว่าเขาคือเซียนที่โบยบินบนท้องฟ้าได้
“พี่ชิ่นมาที่นี่มีธุระอันใดหรือ?”
เสี่ยวเฉินพูดเบา ๆ เขาไม่หลบสายตาชิ่นฉิวเพราะแม้ว่าในสายตาคนอื่นเขาจะเป็นเซียน แต่สายตาเขานั้น ชิ่นฉิวเป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะขอบเขตตั้งฐานเท่านั้น
ชิ่นฉิวเห็นว่าเสี่ยวเฉินมิได้หวั่นเกรงดั่งคนอื่นเมื่อพวกเขามองตากันและขมวดคิ้วขึ้นมา
“ชิงเอ๋อได้เข้าร่วมนิกายวายุนภาอย่างเป็นทางการเมื่อสามเดือนก่อน ข้าได้ยินว่าเจ้ากับนางหมั้นหมายกันไว้แล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าคงรู้ว่าเหล่าเซียนนั้นต้องจบบ่วงกรรมของโลกมนุษย์ ข้าหวังว่าเจ้าจะล้มเลิกการหมั้นหมายกับนาง…”