ตอนที่ 5 มังกรคลั่งเหนือเมฆา
ผู้คนต่างหันไปมองและเงียบกริบในทันที พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง แม้แต่เหล่าผู้เฒ่าในโถงยังกลับกลายเป็นนอบน้อม
“แม่นาง ท่านให้เกียรติมาถึงตระกูลเสี่ยว มีสิ่งใดให้พวกข้ารับใช้…”
เป็นมู่เจิงเสวี่ย นางเมินทุกคนและมองเพียงแค่เสี่ยวเฉิน
“ข้าจะไปแล้ว”
เสี่ยวเฉินรู้ว่านางจะต้องมาเพื่อพูดอะไรบางอย่างกับเขาและเดินไปหานางพลางกระซิบ
“ไปข้างนอกกันเถอะ”
ทั้งสองออกจากโถงประชุมท่ามกลางสายตาผู้คนมากล้น ในที่หนึ่ง เสี่ยวเฉินเอ่ยปาก
“แม่นางมู่ ขอบคุณท่านมาก”
มู่เจิงเสวี่ยส่ายหน้า
“เจ้าต้องการให้ข้าเตือนพวกเขาว่าอย่าทำให้เจ้าลำบากในอนาคตหรือไม่?”
เสี่ยวเฉินส่ายหน้า เขาพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“เรื่องนั้นไม่จำเป็น”
การเตือนพวกเขาไม่ช่วยอะไร หลังจากนางจากไป คนเหล่านี้จะทำตามสิ่งที่พวกเขาต้องการอยู่ดี
“เจ้าต้องการให้ข้ามอบวิชาชั้นหนึ่งให้หรือไม่? ข้าไม่รู้ว่าชั้นหนึ่งที่สองชั้นที่เจ้าพูดหมายถึงสิ่งใด แต่ชั้นหนึ่งของวิชาข้านั้นจะทำให้เจ้าไร้เทียมทานในหนึ่งเดือน”
มู่เจิงเสวี่ยมองเขาและพูดต่อ
เสี่ยวเฉินรู้ว่าเหตุที่นางมาช่วยเขาถึงขั้นนี้ก็เพราะว่าเขาเองก็เคยเป็นผู้บ่มเพาะพลังเฉกเช่นกัน เขารู้ดีว่าเมื่อผู้บ่มเพาะพลังจำเป็นต้องสำเร็จกรรม มิเช่นนั้นจะเกิดวิบากกกรรมในการบ่มเพาะพลังในอนาคต เลวร้ายที่สุดอาจจะเกิดอสูรภายในที่ครอบงำนางและนำพานางไปสู่การเป็นอสูร
การช่วยนางให้ผ่านพ้นค่ายกลในวันนั้นคือสาเหตุ การช่วยเขาตอบแทนคือผลลัพธ์ ถ้าหากนางไม่สำเร็จกรรมครั้งนี้ นางจะต้องล้มเหลวในการผ่านวิบัติอย่างแน่นอน และสุดท้ายนางจะกลายเป็นเซียนชั้นเลว เสี่ยวเฉินกล่าว
“แม่นางมู่มิได้ติดค้างสิ่งใดข้าเลย”
มู่เจิงเสวี่ยไม่ตอบกลับ นางเดินอยู่ครู่หนึ่ง นางหยุดเดินและกล่าว
“เจ้าอยากจะบ่มเพาะพลังจริง ๆ หรือไม่ ต่อให้วันหนึ่งมันจะคร่าชีวิตเจ้าไปและพรากทุกสิ่งไปตลอดกาล”
เสี่ยวเฉินยิ้มอย่างขื่นขม
“ข้าปรารถนาให้มีคนฆ่าข้าเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่มีสิ่งใดให้รีรอ”
“ช่างเถอะ จะรับไว้หรือทิ้งไปก็ได้ ข้าคงสิ้นหวังในการเป็นเซียนหากไม่สำเร็จกรรมครั้งนี้…”
มู่เจิงเสวี่ยถอนหายใจและซัดหมัดใส่ลำตัวเขาทันควัน
“อั่ก!”
เสี่ยวเฉินกระอักเลือดออกมาพร้อมกับกระเด็นลอยออกไป หมันนี้แทบจะบดขยี้กระดูกทุกชิ้นและกล้ามเนื้อทุกมัดของเขา คนตระกูลเสี่ยวตะโกนร้องเพราะไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น
แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านั้น มู่เจิงเสวี่ยได้ส่งพลัง 11 สายในฝ่ามือสู่ร่างกายของเขา
เสี่ยวเฉินได้ยินเพียงเสียงเลือนพร่า
“ตั้งแต่ที่ข้ายังเด็ก ข้าได้เห็นสิ่งที่ผู้อื่นมิอาจเห็น เจ้าน่ะมีเส้นปราณ และยังมี 12 เส้นปราณเต็มที่เหนือใคร เพียงแต่มีคนผนึกมันไว้เมื่อเจ้าเกิดมา และชะตาของเจ้าได้ถูกฝืนเปลี่ยนโดยพลังวิเศษอันสูงส่งบางประการ…”
“ข้าใช้อายุขัยสามในสิบส่วนของข้าเพื่อปลดผนึกเส้นปราณของเจ้า ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะเปลี่ยนชะตาตนหรือไม่ และโลกมนุษย์นี้ไม่คู่ควรกับเจ้า มาที่ตำหนักม่วงในสักวันหนึ่ง อาจมีเพียงแค่ตำหนักม่วงเท่านั้นที่จะไขปัญหาในใจเจ้าได้…”
เสี่ยวเฉินหมดสติไปในที่สุดเมื่อได้ยินคำสุดท้าย เมื่อตื่นขึ้น เขาพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงโดยมีพ่อเขาอยู่ไม่ห่าง เขาไม่ได้หลับมาหลายวันแล้ว
“เฉินเอ๋อ!”
เสี่ยวยี่ฟานน้ำตาไหลด้วยความสุขเมื่อเห็นลูกชายฟื้นตื่น เสี่ยวเฉินหนักในหัวและมึนงง ในฝัน เขาดูเหมือนจะได้ยินมู่เจิงเสวี่ยพูดเสียหลายครั้ง
‘เจ้าน่ะมีเส้นปราณ และยังมี 12 เส้นปราณเต็มที่เหนือใคร เพียงแต่มีคนผนึกมันไว้เมื่อเจ้าเกิดมา…’
“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว แม่นางมู่อยู่ที่ใดรึ? นางไปแล้วหรือ?”
เขาลุกขึ้นนั่งและถามด้วยความคาดหวังเพราะเขายังคงมีคำถามค้างคาใจในหลายเรื่องกับมู่เจิงเสวี่ย
“นางสกุลมู่รึ? ทำไมนางถึงทำร้ายเจ้าในวันนั้น?”
เสี่ยวยี่ฟานถามด้วยความอยากรู้
เสี่ยวเฉินส่ายหน้า
“ไม่เลย นางมิได้ทำร้ายข้า นางช่วยข้า…”
ในตอนนี้ เขารู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของพลังปราณรอบตัว นี่คือพลังปราณจากฟ้าดินที่เขาคุ้นเคยในครั้งนั้น!
เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นใบหน้าซูบผอมของผู้เป็นพ่อ เขากล่าว
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว ท่านพ่อคงเหนื่อยใช่หรือไม่ โปรดกลับไปพักเถอะ”
เสี่ยวยี่ฟานยังคงห่วงใยลูกชายเขาเล็กน้อย แม้บาดแผลของเสี่ยวเฉินจะรักษาตัวเองได้ด้วยเหตุผลประหลาด เขาก็ถูกทำร้ายโดยเซียน!
“ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ ท่านพ่อไม่ต้องห่วงข้าแล้ว”
เสี่ยวเฉินส่ายหน้าพูด เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าเขารับรู้ถึงปราณจริงหรือไม่ และต้องหมุนเวียนปราณในตัวให้ได้
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เจ้าพักก่อน ข้าจะมาใหม่ทีหลัง”
เสี่ยวยี่ฟานถอนหายใจและเดินจากไป ที่ประตู เขาหันกลับมามองราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว
“ท่านพ่อมีเรื่องอื่นอีกหรือ?”
เสี่ยวยี่ฟานยิ้ม
“ไม่มีอะไรหรอกลูก เอ่อ…เรื่องงานแต่งงานของเจ้ากับหวงฟูชิงเอ๋อ อาจจะ…”
เสียงของเขาจางหายไป
“เรื่องงานแต่งมีอะไรรึ?”
เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วถาม
“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าพักเถอะ”
เสี่ยวยี่ฟานยิ้มและเดินออกจากห้อง
คิ้วที่ขมวดของเสี่ยวเฉินคลายลง ตระกูลหวงฟูนั้นเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ และการแต่งงานของเขากับหวงฟูชิงเอ๋อนั้นถูกหมั้นหมายไว้นานมาแล้ว แต่ตั้งแต่ที่ตระกูลหวงฟูรู้ว่าเขามิอาจฝึกวิชายุทธได้ พวกเขาก็ตั้งใจที่จะยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ในหลายปีที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็ลดความเกรงใจต่อตระกูลเสี่ยวลง
แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญอีกแล้ว สิ่งสำคัญคือเขาต้องแน่ใจว่าเขาบ่มเพาะพลังได้จริงแล้วหรือไม่ เขากระโดดลงจากเตียงในทันทีและรีบไปที่สวน เขานั่งสมาธิลงและเริ่มใช้เคล็ดบ่มเพาะครามพิสดาร
ในพริบตานั้น พลังปราณรอบตัวเขาพุ่งเข้าสู่ร่างกายเขาราวพิรุณกระหน่ำ เส้นปราณทั้ง 12 เส้นเปล่งแสงจาง ๆ เป็นสีขาว
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เสี่ยวเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ
“มันกลับมาแล้ว! ในที่สุดมันก็มาแล้ว!”
เขากำหมัดแน่นจนกำปั้นแทบสลาย คำพูดของมู่เจิงเสวี่ยกลับมาในหัวเขาอีกครั้ง มีคนจงใจผนึกเส้นปราณของเขาเอาไว้และถึงกับเปลี่ยนแปลงชะตาของเขา ใครกันที่ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานมาตลอด 16 ปี? เขาอยากจะฉีกกระชากคนคนนั้นให้เป็นชิ้น ๆ!
มู่เจิงเสวี่ยใช้อายุขัยของนางถึงสามในสิบส่วนเพื่อช่วยเขา อายุขัยนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่าเสียยิ่งกว่าชีวิตมนุษย์ เพราะชีวิตมนุษย์นั้นมีขีดจำกัด เช่นเดียวกับผู้บ่มเพาะพลัง
ในการเป็นเซียน ผู้บ่มเพาะพลังต้องไปขึ้นขอบเขตถัดไปในช่วงเวลาจำกัด ถ้าหากล้มเหลวแล้วก็มีโอกาสที่จะพลาดการเป็นเซียนไปตลอดชีวิต และยังจำเป็นต้องใช้โชคชะตาและอายุขัยในวัฏสงสารด้วย แน่นอนว่ามันมิอาจทำเรื่องนี้ไปได้ตลอด เมื่อโชคชะตาจบลงเมื่อใด ดวงวิญญาณจะจางหายไปตลอดกาล
เสี่ยวเฉินถอนหายใจยาว มู่เจิงเสวี่ยใช้อายุขัยสามนสิบส่วนเพื่อให้กรรมของนางเสมอกัน นางมิได้ติดค้างสิ่งใดกับเขาอีกแล้ว แต่เป็นเขาที่ติดค้างนาง นี่เป็นอีกหนึ่งกรรมที่เขาต้องสำเร็จมันให้ได้ในอนาคต
บุบผาเบ่งบานในสวน สายลมเย็นทำให้เสี่ยวเฉินรู้สึกสบายตัว เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งและตัดสินใจไปสู่ขอบเขตชำระปราณขั้นหนึ่งเป็นอันดับแรก
เขาใช้เคล็ดบ่มเพาะครามพิสดารต่อไป นิกายครามพิสดารนั้นถูกกล่าวว่าเป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในการฝึกตนเป็นเซียน และเคล็ดบ่มเพาะพลังนั้นวิเศษยอดเยี่ยม เขาได้มีสิ่งเหล่านั้นติดตัวมาแต่กำเนิด เขาไม่จำเป็นต้องนึกถึงการใช้วิชาเหล่านั้นราวกับว่ามันทำงานด้วยตัวเอง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ร่างกายของเขาไปถึงสภาวะอันสุดยอด ในตอนนี้ เขารู้สึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างแม้จะหลับตา เขาเห็นดอกไม้ข้างบ่อน้ำที่ร่ายรำตามสายลมและระลอกน้ำที่กระเพื่อมออก เขาเห็นฝูงปลาที่เริ่มดำน้ำลึกลงไป
นี่คือการที่ผู้บ่มเพาะพลังปลดปล่อยสัมผัสเทพออกมาสังเกตสิ่งรอบข้างด้วยหัวใจ
ต่อมา เสี่ยวเฉินลืมตาและลุกขึ้นช้า ๆ มนุษย์ธรรมดาต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือแม้กระทั่งหลายปีในการบ่มเพาะร่างกายจนถึงขอบเขตชำระปราณขั้นหนึ่ง แต่ 12 เส้นปราณของเขาและความชำนาญในเคล็ดบ่มเพาะครามพิสดารนั้นทำให้เขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
ในตอนนี้ เขารู้สึกถึงพลังอันไร้ขีดจำกัดในร่างกาย แม้จะใช้วิชาเพียงเล็กน้อยก็จะมีแสงสีขาวสว่างจากพลังปราณที่ฝ่ามือเขา เขาตบฝ่ามือลงมา แสงสีขาวได้แปรเปลี่ยนเป็นมังกรทองแล่นไปที่พื้น แผ่นดินไหวสะเทือนเป็นเสียงร้องมังกรคลั่งดังก้องตระกูลเสี่ยว
เฉกเช่นดั่งภูเขาไฟที่หลับใหลมานับพันปี เมื่อปะทุแล้วจึงมิอาจหยุดลง ทั้งสวนและครึ่งภูเขาเริ่มสั่นสะเทือน ถ้าหากเขาปล่อยให้พลังฝ่ามือกระจายออกไป มันจะต้องทำลายเรือนเถาวัลย์ม่วงนี้ไปจนหมดสิ้น เสี่ยวเฉินจึงนำพลังนั้นไปที่กำแพงซึ่งแตกสลายในทันทีด้วยแรงกระแทกของฝ่ามือ ฝุ่นควันลอยขึ้นมาเป็นเวลายาวนาน
นี่คือฝ่ามือมังกรคำราม เป็นวิชาฝ่ามือพื้นฐานของนิกายครามพิสดาร ฝ่ามือมังกรคำรามนั้นมีเก้ากระบวนท่าและนี่เป็นเพียงแค่กระบวนท่าแรก
มังกรคำรามส่งเสียงต่อไปราวกับสายฟ้า ผู้เฒ่าหลายคนที่ฝึกวิชายุทธอยู่รู้สึกถึงพลังอันดุร้ายและจับจ้องไปยังต้นตอของพลังทันที พวกเขารีบมาที่เรือนเถาวัลย์ม่วง
พวกเขาต่างตกตะลึงเมื่อเห็นรอยแตกบนพื้นและกำแพงที่พังทลาย ส่วนเสี่ยวเฉินนั้นยืนอยู่ท่ามกลางเศษหินแหลกละเอียดและเสื้อผ้าที่ร่ายรำตามสายลม