ตอนที่ 4 เส้นปราณ
มู่เจิงเสวี่ยเห็นเขาส่ายหน้าและพูดเบา ๆ
“ยอมแพ้เถอะ เคล็ดวิชาโบราณเหล่านั้นหายไปกับจุดจบของยุคสมัยก่อนแล้ว”
นางคิดว่าเสี่ยวเฉินนั้นมองหาเพียงแค่วิชาบ่มเพาะโบราณ
เสี่ยวเฉินไม่พูดอะไร เคล็ดวิชาโบราณรึ? มิใช่ว่าวิชาบ่มเพาะครามพิสดารของเขาเป็นวิชาที่ดีที่สุดแล้วหรืออย่างไร? แต่เขาได้ลองบ่มเพาะมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนและไม่มีอะไรได้ผล เขามิอาจรู้สึกได้ถึงพลังปราณเลย
“เหตุใดท่านถึงบ่มเพาะได้ถึงขอบเขตตั้งแกน แล้วข้าสัมผัสไม่ได้ถึงพลังปราณเลย?”
เขาถามคำถามที่อยากรู้มากที่สุด
มู่เจิงเสวี่ยมองเขาด้วยความงุนงง นางกล่าว
“ข้าคิดว่าเจ้าเป็นบุรุษที่รู้เรื่องบ่มเพาะมากมาย แต่ใยถึงได้ถามคำถามเรียบง่ายน่าขันเช่นนั้นเล่า?”
เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว
“น่าขันรึ? ข้าไม่รู้จริง ๆ”
มู่เจิงเสวี่ยส่ายหน้าและไม่พูดอะไร
“บอกข้าเถอะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้าไม่รู้จริง ๆ”
เสี่ยวเฉินหมดความอดทน
“ยื่นมือมาให้ข้าสิ”
เสี่ยวเฉินดึงชายเสื้อและยื่นมือไปตามที่นางบอก
มู่เจิงเสวี่ยวางสองดัชนีประกบกัน แสงสีขาวจาง ๆ สว่างที่ปลายดัชนีของนาง นางกดปลายดัชนีทั้งสองที่ข้อมือเขา จากนั้น นางขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายนางจึงบอก
“เจ้าไม่มีแม้แต่เส้นปราณเดียว เจ้าจะสัมผัสพลังปราณได้อย่างไร?”
“เส้นปราณรึ? มันคืออะไร?”
เสี่ยวเฉินสับสน เมื่อเขาบ่มเพาะในนิกายครามพิสดาร เขาไม่เคยได้ยินถึงสิ่งที่เรียกว่าเส้นปราณเลย
มู่เจิงเสวี่ยส่ายหน้าและตระหนักได้ว่าเขาไม่รู้อะไรเลย
“เส้นปราณเป็นพื้นฐานของผู้บ่มเพาะพลัง ผู้บ่มเพาะจำเป็นต้องมีเส้นปราณอย่างน้อยหนึ่งเส้นเพื่อสัมผัสพลังปราณจากฟ้าดิน ผู้ที่มีสามเส้นปราณจะมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ผู้ที่มีหกเส้นปราณนั้นไร้เทียมทาน ผู้ที่มีเก้าเส้นปราณนั้นเป็นดั่งเซียน ส่วนผู้ที่มีสิบสองเส้นปราณที่มากที่สุดนั้น ไม่มีผู้ใดมีสิบสองเส้นปราณมาหลายพันปีแล้ว”
หลังจากฟังนางครู่หนึ่ง เสี่ยวเฉินถามคำถามที่เขาชิงชังจะถาม
“หมายความว่า ข้าบ่มเพาะพลังไม่ได้เพียงเพราะข้าไม่มีแม้แต่เส้นปราณเดียวหรือ?”
มู่เจิงเสวี่ยพยักหน้า
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
เสี่ยวเฉินราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่กลางตัว ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องเส้นปราณมาก่อนและทุกผู้ทุกคนบ่มเพาะพลังได้เสมอภาค แม้แต่คนที่พรสวรรค์เลวร้ายที่สุดยังบ่มเพาะได้ถึงขอบเขตชำระปราณตั้งแต่อายุแปดถึงสิบปี และจากนั้นจึงทุ่มเทให้มากกว่าเดิมเพื่อไปถึงขอบเขตตั้งฐาน ผู้ที่มีพรสวรรค์ดีกว่านั้นจะถึงขอบเขตตั้งแกนหรือแม้กระทั่งขอบเขตก่อวิญญาณได้ พรสวรรค์ของเขาไร้เทียมทานในยุคสมัยนั้น แต่ตอนนี้กลับ…
เขารู้สึกหมดหวัง เป็นกฎสวรรค์หรือที่บงการคน? เขาไม่ควรจะมีชีวิตอยู่แม้กระทั่งในตอนนี้ด้วยซ้ำ เทพลงโทษและทรมานเขาเพียงเพราะว่าเขารอดชีวิตจากวิบัติหรือ?
เขาลุกขึ้นยืนและเดินอย่างไม่มั่นคงออกจากถ้ำ ในที่สุดเขาก็ได้คำตอบที่อยากรู้เสมอมา แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้าย
“เจ้าช่วยข้าสลัดจากค่ายกลนั้น ข้าให้พลังกับเจ้าได้หนึ่งชั้น ในหนึ่งเดือน ข้าจะทำให้เจ้าเอาชนะผู้บ่มเพาะพลังหน้าไหนก็ได้ที่ขอบเขตต่ำกว่าตั้งฐาน”
มู่เจิงเสวี่ยพูดไล่หลังเขา
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ…”
เสี่ยวเฉินพูดด้วยเสียงอ่อนล้า
มู่เจิงเสวี่ยถอนหายใจและพึมพำขณะคิด
“เขาไม่มีแม้แต่เส้นปราณเดียวได้อย่างไร? มีอะไรที่ไม่ถูกต้อง! ข้าเพิ่งจะรู้สึกว่า…หรือว่าเขา…นี่! รอเดี๋ยว! กลับมาก่อน!”
นางเงยหน้าด้วยความกตตะลึง แต่เสี่ยวเฉินนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
เขากลับมาที่เรือนเถาวัลย์ม่วงที่เขาอยู่อาศัย เสี่ยวเฉินซัดกำปั้นใส่ต้นไทรต้นใหญ่จนใบไม้สั่นไหว
“ทำไมกัน!”
เขาตะโกนใส่ท้องนภาและซัดหมัดใส่ต้นไม้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไปถึงเนื้อไม้ มือทั้งสองข้างของเขาชโลมไปด้วยโลหิต
“ทำไมกัน! ท่านอาจารย์ ท่านอยู่ที่ไหน?”
“ทำไมถึงช่วยข้า? ทำไมถึงทำให้ข้าต้องทรมานเช่นนี้? บอกข้า…”
หลังจากตื่นจากการหลับใหลอันยาวนาน หลายพันปีได้ผ่านพ้นไป นี่คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับเขา แต่กลับไม่มีผู้ใดให้เขาพูดคุยด้วย
“ทำไมถึงทิ้งข้าตามลำพังไว้ในโลกใบนี้? ทำไมข้าถึงตายไม่ได้? อาจารย์ ฆ่าข้าเถอะ ได้โปรด…”
เขาโหยหวนอย่างทุกข์ทนและกำท่อนไม้ด้วยมือทั้งสองข้าง นิ้วมือของเขาเจาะทะลุเนื้อไม้ขณะที่โลหิตไหลอาบเนื้อไม้ แต่มันไม่สำคัญเลย เพราะบาดแผลบนนิ้วของเขาจะต้องหายใจสามวันโดยไม่มีแม้กระทั่งแผลเป็น
“นะ…นายน้อย! ข่าวร้าย!”
เสียงแตกตื่นดังมาจากด้านนอก เสี่ยวเฉินหันไปเห็นสาวน้อยเสื้อแดงมาหาเขาอย่างรีบร้อน นางชื่อหลิวรั่ว แม่ของเขาพานางมาจากโจรภูเขาเมื่อหลายปีก่อน นางคนนี้เป็นสาวรับใช้ แต่เสี่ยวเฉินนั้นดูแลนางประดุจน้องสาวตั้งแต่ที่เขายังเด็ก
“หลิวรั่ว พักหายใจก่อน มีเรื่องอะไรรึ?”
“ลุงยี่ฟาน…ลุงยี่ฟาน…”
หลิวรั่วหายใจหอบขณะที่พูดบอกเขา
เสี่ยวเฉินจับไหล่ของนาง
“ใจเย็นลงก่อน เกิดอะไรขึ้นกับพ่อข้ารึ?”
“ลุงยี่ฟานไปคุยกับผู้เฒ่าในโถงหลัก พวกเขากำลังจะสู้กันแล้ว! นายน้อยรีบไปหยุดเขาเร็ว ลุงยี่ฟานชนะพวกผู้เฒ่าไม่ได้นะ!”
“ว่าไงนะ!?”
เสี่ยวเฉินออกไปจากเรือนทันที โถงเมฆบินเป็นโถงประชุมของตระกูลเสี่ยวซึ่งอยู่ที่เรือนเมฆบิน ก่อนที่เขาจะไปถึงนั้นเขาได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากภายใน คนตระกูลเสี่ยวมากมายอยู่ที่ข้างนอกโถงประชุมและชี้ไปในโถงพลางพูดคุยกัน
ในโถง เสี่ยวยี่ฟานและเหล่าผู้เฒ่าหน้าแดงก่ำ เสี่ยวยี่ฟานเต็มไปด้วยโทสะ
“อีกสามปีแล้วมันจะอย่างไรกัน? หา? โลงศพพวกเจ้าจะเสร็จในอีกสามปีหรืออย่างไร?”
“ทุกคนรู้ว่าลูกเจ้ามันเป็นคนไร้ประโยชน์! ต่อให้มีเวลาอีก 10 ปีก็ทำอะไรไม่ได้!”
ผู้เฒ่าชุดแดงพูดด้วยความโมโห
ผู้เฒ่าอีกคนพูดต่อ
“เสี่ยวยี่ฟาน! อย่าได้ทำตามใจชอบเพียงเพราะเจ้าเป็นลูกเจ้าตระกูล! แม้ว่าเจ้าจะโตแล้วและมีอำนาจในตระกูล พวกข้าก็เป็นผู้อาวุโสของเจ้า! มีมารยาทในคำพูดของเจ้าด้วย!”
เสี่ยวยี่ฟานขึ้นเสียง
“แล้วข้าพูดไม่ดีตรงไหน! เฉินเอ๋อของข้ากำลังจะถึงชั้นหนึ่งแล้ว ให้เวลาเขาอีกสามปีไม่ได้เรอะ?”
“มิใช่ว่าพวกข้าไม่ให้เวลากับเขา! กฎตระกูลถูกตั้งไว้แล้ว! เราผ่อนปรนซ้ำแล้วซ้ำเล่า! เจ้าลบหลู่กฎของตระกูลรึ?”
ผู้เฒ่าชุดแดงขึ้นเสียง
“พอได้แล้ว!”
ถึงตอนนี้ สายฟ้าเยือกเย็นได้เข้ามาในโถงเมื่อเสี่ยวเฉินเดินเข้ามา ผู้เฒ่าชุดแดงชี้เขาและพูดกับเสี่ยวยี่ฟาน
“ดูเถอะ! ลูกเจ้ามาแล้ว! เจ้าพูดว่าลูกเจ้ากำลังจะถึงชั้นหนึ่งเรอะ?”
จากนั้นเขาก็ใช้มือที่คมราวมีดหั่นมุมโต๊ะไม้จันทน์ จากนั้นจึงยื่นให้เสี่ยวยี่ฟาน
“ให้เขาทำลายไม้จันทน์ชิ้นนี้ แล้วข้าจะให้เวลาเขาอีกสามปี!”
เสี่ยวเฉินเดินไปชิงไม้จันทน์และขว้างมันลงพื้น เขาตะโกน
“พอซักที! เสี่ยวเฉินผู้นี้จะไม่ทำให้พวกท่านลำบากอีกแล้ว! ข้าจะออกจากตระกูลหลังจากวันเกิดท่านปู่เดือนนี้!”
เสี่ยวยี่ฟานมองเขา
“เฉินเอ๋อ…”
เสี่ยวเฉินเหวี่ยงชายเสื้ออย่างเย็นชา
“ท่านพ่อไม่ต้องไปอ้อนวอนพวกเขา! ไม่รู้เรื่องแผนลับสกปรกของพวกมันรึ?”
หลังพูด เขามองผู้เฒ่าแต่ละคนด้วยสายตาเยือกเย็นที่แช่แข็งคนได้
แน่นอนว่าพวกเขาอยากจะให้เสี่ยวเฉินไปให้พ้นหน้าเพื่อที่เสี่ยวยี่ฟานจะได้ไร้ซึ่งทายาท และนางนั้นพวกเขาจะเข้ามาทำลายอำนาจของเสี่ยวยี่ฟาน
ผู้เฒ่าชุดแดงพูดเสียงล้ำลึก
“เสี่ยวเฉิน เจ้าไม่ฝึกฝนวิชายุทธ เจ้าทำได้แต่เล่นดนตรีกับวาดเขียน เจ้าจะโทษคนอื่นได้หรือ? เจ้าเอาแต่คิดว่าจะกลายเป็นผู้บ่มเพาะพลัง เจ้าจะบ่มเพาะพลังได้รึถ้าเจ้ายังไม่ถึงชั้นหนึ่งด้วยซ้ำ?!”
เขาสะบัดชายเสื้อเช่นกัน
มีหลายคนยืนอยู่หน้าประตูโถงประชุม ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินฝ่าฝูงชนเข้ามา เขาคือเสี่ยวหยวน เขายืนกอดอกยิ้มอย่างเย็นชา
“ถ้าเจ้าเป็นยอดฝีมือดนตรี หมากรุก งานวาดเขียน เจ้าจะทำอะไรในตระกูลเสี่ยวของเรา? ถ้าคนอื่นรู้เข้าอาจจะคิดว่าตระกูลเสี่ยวเริ่มขายภาพวาดกับบทกวีก็ได้”
คำพูดของเขาเรียกเสียงหัวเราะจากคนจำนวนมาก ส่วนเสี่ยวยี่ฟานนั้นสภาพย่ำแย่กว่าเดิม แต่เพราะเสี่ยวหยวนเป็นลูกชายของพี่ใหญ่และเป็นอัจฉริยะในตระกูลเสี่ยว เขาจึงโต้ตอบอะไรไม่ได้
จนถึงตอนนี้ เสียงเย็นชาของสตรีดังมาจากด้านนอก
“ถ้าเจ้าได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดทำร้ายคนอื่นอีก”
บรรยากาศจมสู่ความเยือกเย็น