ตอนที่ 3 ยุคก่อนของผู้บ่มเพาะพลัง
“ท่านผู้อาวุโส ท่านทำร้ายเด็กด้วยพลังมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร? ท่านไม่คิดว่ามันเสื่อมเสียหรือ?”
เสี่ยวจางเฟิงถามด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
ชายชราชุดสีครามตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าจอมยุทธในโลกมนุษย์ที่ช่วยชีวิตคนจากการโจมตีของเขาจะกล้าพูดกับเขาอย่างสุขุมได้ ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นี้จะไม่ธรรมดา
เขาที่เผลอคิดเจ็บปวดที่ท้อง นางในชุดขาวลอบโจมตีเขาและกระบี่ก็ทะลวงผ่านท้องของเขาไป เขาแทบจะหล่นจากฟ้า
เขาตอบสนองได้ทันท่วงทีเพราะพลังบ่มเพาะอันมากล้นและปล่อยหมัดมังกรเพลิงคู่ใส่ท้องของนาง
“อั่ก!”
นางในชุดขาวมิอาจหลบมังกรคู่และกระอักเลือดออกมา นางแทบจะหล่นจากฟ้าเช่นเดียวกับชายชรา
ในขณะนี้ คนตระกูลเสี่ยวหลายคนกรีดร้องออกมา ดูเหมือนว่านางจะหลุดจากค่ายกลมาได้เมื่อได้ฟังคำชี้แนะจากเสี่ยวเฉิน
ทะเลปราณในตันเถียนของชายชราชุดครามเสียหาย เขารู้ว่าเขามิอาจอยู่ที่นี่ได้อีกและหนีไปทันทีในรูปแบบของแสงกระบี่
นางเสียการทรงตัวบนกระบี่และตกลงมาทางศาลาสายรุ้ง
“ตู้ม!”
เศษฝุ่นดินกระจัดกระจาย นางตกพื้นเสียงดังลั่น ผู้คนมองนางอ้าปากค้าง ไม่มีผู้ใดคิดว่าแม้แต่เซียนก็อาจบาดเจ็บและตกจากฟ้าได้ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้นาง
เสี่ยวเฉินรีบไปหานางในทันทีและเห็นใบหน้านางที่ขาวสลับแดงเป็นระยะ เขาพูด
“ถ้าข้าพูดถูก ท่านโดนปราณเมฆาเพลิงซัดใส่ ตอนนี้อย่าเพิ่งใช้เคล็ดบ่มเพาะนะ!”
นางเงยหน้าด้วยความกังขา เสี่ยวเฉินพูด
“นำพลังปราณไปที่จุดเก็บพลังไปที่จุดจ่ายพลัง จากนั้นนำไปที่จุดผนึกจิต สุดท้ายให้พาพลังปราณออกไปยังจุดด่านลับ อย่ารีบร้อน”
นางลังเลครู่หนึ่งเมื่อฟังเขาพูด แต่นางนั้นนางนั่งสมาธิหมุนเวียนปราณ จากนั้นไม่นานร่างหนึ่งได้แล่นผ่านเข้ามา เขาเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปี เขาคือเสี่ยวหยวน นายน้อยหนึ่งแห่งตระกูลเสี่ยวและยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยวเฉิน ในการทดสอบวิชายุทธเมื่อเขาอายุ 16 พลังของเขานั้นถึงชั้นสี่และทำลายสถิติร้อยปีของตระกูลเสี่ยว
“แม่นาง ข้าชื่อเสี่ยวหยวน ท่านบาดเจ็บหนักและมีโอสถชั้นดีหลายชนิดในตระกูลเสี่ยว ท่านต้องการ…”
เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วและพูด
“อย่ารบกวนนาง!”
เสี่ยวหยวนไม่พอใจ
“ไอ้ขี้แพ้อย่างเจ้าอย่างพูดเช่นนี้กับข้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”
แต่ต่อหน้าสาวงาม เขามิอาจเสียความเยือกเย็นไปได้ เขาพูดต่อ
“แม่นาง เจ้าบาดเจ็บหนักเช่นนี้ ถ้าไม่ถูกรักษาทันเวลา…”
นางในชุดขาวพูดอย่างเย็นชา
“บอกให้เขาเงียบซะ!”
เสี่ยวเฉินจ้องเขาและพูด
“เจ้าได้ยินหรือไม่? หุบปาก!”
“เจ้า!”
เสี่ยวหยวนโมโหจนแทบจะผลักเสี่ยวเฉินออกไป แต่เขาไม่กล้าลงมือเมื่อรู้สึกถึงสายตาเยือกเย็นของนางคนนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน นางได้หายใจเข้าลึกและดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก เสี่ยวเฉินยินดีที่ได้เห็นเพราะดูเหมือนว่านางจะไม่เป็นอะไรแล้ว เขาพูด
“ข้ามีคำถาม…”
เขาอยากจะถามว่าเหตุใดเขาจึงไม่รู้สึกถึงพลังปราณจากฟ้าดินและบ่มเพาะพลังได้อย่างนาง
“ขอบคุณเจ้ามาก”
นางจ้องเขาและลุกขึ้นยืน นางมองไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้ม นั่นคือจุดที่สุสานโบราณของตระกูลเสี่ยวตั้งอยู่หลังเขา มันมีความหนาวอย่างสุดขั้วตลอดปี
“ข้าจะพักฟื้นร่างกายที่นี่ ข้าไม่อยากให้ผู้ใดรบกวนข้าในระยะเวลานี้”
หลังพูดจบนางก็ขี่แสงกระบี่และบินไปยังสุสาน
เสี่ยวเฉินถอนหายใจ เขามองไปที่สุสานโบราณ
“ขอบคุณจริง ๆ! นางไม่ได้บินจากไปเลย”
เสี่ยวหยวนสายตาเย็นชา เขากำหมัดจนกำปั้นลั่น เสี่ยวเฉินจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา
“เขามองข้าเพราะอะไร? นางบอกให้เจ้าหุบปากเอง”
หลังพูดจบเสี่ยวเฉินก็เดินไปทางศาลาสายรุ้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขณะที่มองแผ่นหลังเสี่ยวเฉิน สายตาเสี่ยวหยวนยิ่งแค้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เวรนั่นมายืนขวาง แม่นางคนนั้นจะไม่มองข้าได้อย่างไร? เสี่ยวเฉิน ข้าจะต้องทำให้เจ้าถูกขับออกจากตระกูลเสี่ยวแน่…”
ที่สุสานโบราณหลังเขานั้นเป็นพื้นที่หวงห้ามที่สุดของตระกูลเสี่ยว ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไป ผู้ที่ขัดคำสั่งจะต้องถูกจองจำเป็นเวลา 10 ปี เหล่าคนคุ้มหันยืนอยู่ห่างพันศอกจากสุสานเพราะนางในชุดขาวพักฟื้นที่นั่น
สามวันต่อมา เสี่ยวเฉินปรากฏตัวที่ทางเข้าสุสานและลอบเข้าไป เขาพยายามหลากหลายวิธีการในการลอบเข้าสุสานโดยไม่ให้คนคุ้มกันรู้ตัว เขาจะไม่มีวันปล่อยโอกาสนี้ไปแม้จะรู้ว่าบทลงโทษจะหนักหนาเพียงใด มันเป็นสิ่งที่เขาต้องพยายามให้ได้มา
เขาเห็นป้ายสุสานจำนวนมากจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ยิ่งเขาเดินไปไกลเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกหนาวเย็นมากเท่านั้น เขามิได้ฝึกวิชาต่อสู้ เขาจึงตัวสั่นจากการไร้ซึ่งกำลังภายในที่ต่อต้านความหนาว
เขาไม่รู้ว่าเดินมานานเพียงใดจนกระทั่งได้ยินเสียงเบา ๆ มาจากถ้ำ
“เราไม่เคยพบกันมาก่อน เหตุใดจึงเสี่ยงชีวิตมาช่วยข้า?”
เสี่ยวเฉินดีใจและเดินเข้าถ้ำทันที เขาเห็นนางนั่งสมาธิบ่มเพาะพลังอยู่ ใบหน้านางดูดีกว่าเดิมจากเมื่อสามวันก่อน มีขวดหลากสีสันนับสิบขวดวางอยู่ข้างกายนาง เขาเดินไปที่นั่นและเปิดฝาขวด เขานำขวดมาใกล้จมูกและดมมันทีละขวด
“เจ้าไม่รู้รึว่ามันไม่เหมาะสมที่จะเมินคนอื่นหรือแตะต้องของคนอื่นน่ะ?”
นางขมวดคิ้วกล่าว
เสี่ยวเฉินเงยหน้า เขาขมวดคิ้ว
“ท่านทำโอสถทั้งหมดนี่รึ?”
นางส่ายหน้าและชี้ไปที่ขวดหยกขาว
“มีแค่ขวดนี้ ข้าชิงโอสถอื่นมาจากศิษย์นิกายของตาเฒ่าเทียนหยุนนั่น”
“ไม่แปลกเลย ท่านใช้โอสถผิด โอสถบางชนิดจะยิ่งซ้ำเติมบาดแผล”
“อย่างนั้นรึ”
นางพูดเสียงเบา
เสี่ยวเฉินอึ้งเล็ก ๆ หลังจากเงียบไม่นาน เขาถาม
“แม่นาง ข้าควรจะเรียก…”
นางแทบจะถามกลับในทันที
“เจ้าเป็นใคร?”
เสี่ยวเฉินยิ้มอย่างขื่นขมและกล่าว
“บางคนเรียกข้าว่าไอ้ขี้แพ้เฉิน บางคนเรียกข้าว่าเฉินอมตะ แต่ข้ามีนามว่าเสี่ยวเฉิน”
ในชาติที่แล้ว หลิงหยินเองก็ตั้งชื่อเขาว่าเสี่ยวเฉิน ในครั้งนั้นที่เขาถูกทิ้งไว้ที่ตีนเขาครามพิสดาร หลิงหยินได้เก็บเขามาชุบเลี้ยง
“ข้าชื่อมู่เจิงเสวี่ย ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าว่าอะไรรึ?”
เสี่ยวเฉินพักหายใจ เขาพูดคำที่พูดซ้ำในใจมานับครั้งไม่ถ้วน
“หลายปีก่อน อาจจะเจ็ดหรือแปดพันปี เหล่าเซียนและอสูรต่างต่อสู้กัน ราชาเซียนและจ้าวอสูรเหล่านั้นอ้างตนเป็นอมตะและมิอาจถูกทำลาย คนเหล่านั้นไปไหนแล้วหรือ? พวกเขาตายหรือ?”
เงียบอยู่นาน มู่เจิงเสวี่ยส่ายหน้า
“เจ้ามิใช่เพียงผู้เดียว พวกเราทุกคนต่างต้องการรู้คำตอบ แต่สิ่งที่อยู่ในยุคสมัยแห่งผู้บ่มเพาะพลังและยุคสมัยนั้นได้หายไปเมื่อนานมาแล้ว ไร้ซึ่งบันทึกให้อ่าน วิชาบ่มเพาะปริศนาที่ดีที่สุดในยุคนั้นล้วนสูญหาย หลายคนต้องการจะได้เคล็ดวิชาบ่มเพาะโบราณเหล่านั้นแต่ไม่มีผู้ใดหาเจอในหลายพันปีที่ผ่านมา”
“จะบอกว่า ในยุคสมัยนั้น ทุกสิ่งมันจบไปแล้วหรือ…”
เสี่ยวเฉินนั่งลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า เขาคิดอยู่เสมอว่าเป็นเพียงเวลาที่ผ่านพ้นไป และเขาจะได้พบกับอาจารย์ของเขาในสักวันหนึ่ง เขาไม่เคยคิดเลยว่ายุคสัมยได้จบลงไปแล้ว…
คำว่า ‘จบลง’ นั้นหมายถึงทุกคนได้ตายไปแล้ว แม้แต่เหล่าเซียนและอสูร หรือเป็นเพราะว่าดวงวิญญาณของเขาถูกเก็บไว้ในหยกสังสารวัฏที่ทำให้เขารอดจากวิบัติมาได้?
เขาเอาแต่ส่ายหน้า
“ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้! ท่านอาจารย์บ่มเพาะร่างเซียนมาแล้ว ท่านอาจารย์แข็งแกร่ง เป็นไปไม่ได้ที่นางจะตาย! นางต้องรอดชีวิตสิ!”