ตอนที่ 17 ขัดแย้ง
มีสองคนยกศีรษะขึ้นมาเงียบ ๆ ด้วยความสงสัย เป็นชางก่วนหยานที่นอนละเมอ พวกเขาหัวเราะ ชางก่วนหยานที่หลับลึกยังคงละเมอต่อไป
“กัดเลยเสี่ยวเฮ่ย! นั่นแหละ! แบบนั้น! กัดมัน! เจ้าคนขี้เหนียวที่ไม่ยอมให้ข้าแตะพิณ…”
เสี่ยวเฉินหน้าหมอง นางถึงกับฝันถึงความแค้นต่อเขาเชียวรึ? เขาลุกขึ้นยืนเดินเซไปทางองค์ชายฉีที่หลับอยู่ เขาหยิบชุดที่ถอดเปลือยครึ่งท่อนนั้นมาห่มให้ชางก่วนหยาน
เช้าวันต่อมา เสี่ยวเฉินตื่นขึ้นเพราะเสียงทะเลาะวิวาทอย่างหนัก
“ตื่นเลยนะเจ้าหมูสองตัว! ชุดข้าอยู่ไหน? ใครกันที่ถอดเสื้อผ้าข้า! อ๊ากก!”
“อ๊ากก! นี่มันชุดใครเนี่ย! สกปรกชะมัด! เอาไปจากตัวข้าเลยนะ!”
“อ๊ะ! ขอร้องนะแม่นาง! ไม่เอาแมงมุมแล้ว! ข้าไม่ใช่คนเอาไปไว้ตรงนั้นนะ!”
“อ๊ากกก! ไม่ใช่ข้าเหมือนกัน! ช่วยด้วยศิษย์พี่ลั่ว!”
“ใจเย็นก่อนศิษย์น้อง! อ๊าย อย่านะ! อย่าโยนแมงมุมมาตรงนี้!”
เสี่ยวเฉินขยี้ตาหาว
“คึกคักอะไรกันแต่เช้าเชียว พวกเจ้าคิดจะตื่นมาทักทายอสูรที่ยังไม่นอนรึ? เฮ้ย! ใครขว้างรองเท้ามาที่ข้า!”
จากนั้น องค์ชายฉีสวมเสื้อผ้าที่สภาพซอมซ่อและองค์ชานหยานก็สวมรองเท้าที่ขาดครึ่ง ทั้งสองร้องโหยหวนออกมาจากถ้ำและร้องไห้กับสภาพเหมือนขอทานของตัวเอง
องค์ชายจ้าวที่เห็นภัยพิบัติแก่ตัวเองนั้นหนีไปข้างนอกนานแล้ว
หลายชั่วโมงต่อมา เสี่ยวเฉินได้ตามรอยเท้าของสัตว์ป่า เขาเจอพุ่มไม้ที่มีแก้วเปล่งประกายมากมายแขวนเอาไว้ นี่คือแก้วแปดสีที่เขาเคยเก็บมาก่อนโดยใช้วิธีการเดียวกัน
“เจออีกแล้วรึ! ศิษย์พี่เสี่ยวสุดยอดเลย!”
สามองค์ชายรีบวิ่งมาหาเขาด้วยความดีใจ เมื่อเห็นบางอย่างผิดปกติเสี่ยวเฉินก็เลิกคิ้วด้วยความระแวง
“พวกเจ้าสามคน กลับไปเดี๋ยวนี้!”
เสี่ยวเฉินตะโกน
สามองค์ชายนั้นดีใจจนไม่ทันได้ยินคำเตือนของเสี่ยวเฉิน
ท้องฟ้ามืดในทันที องค์ชายจ้าวพึมพำ
“อะไรกัน? ฟ้ามืดได้อย่างไร? ฝนจะตกรึ!”
แต่ขาขององค์ชายฉีนั้นหยุดนิ่ง เขาจิ้มไหล่องค์ชายจ้าวให้เขามองด้านบน เขาเงยหน้าและเห็นหมีตัวใหญ่ขนาดเท่าภูเขาลูกเล็ก ๆ กำลังมองพวกเขา มันง้างขากรรไกรกว้างเหมือนกับอุโมงค์ น้ำลายของมันหยดลงมาจากปากด้วยความหิวโหย…
“หนีไปเ จ้าพวกโง่!”
เสี่ยวเฉินกระโดดขึ้นด้วยความเร็วปานสายฟ้า เขาใช้ก้าวซ้อนเซียนไปถึงสามองค์ชายในพริบตาและแกว่งแขนซัดพวกเขาไปยังจุดปลอดภัย
“โฮก!”
หมียักษ์ซัดกรงเล็บลงมาอย่างเกรี้ยวกราด กรงเล็บคมดั่งมีดโกนจนกระบี่ต้องละอาย เสี่ยวเฉินรู้สึกถึงสายลมรุนแรงที่พัดผ่านใบหน้าเขาไป ทุกส่วนของผิวใบหน้าเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เขาตอบสนองได้ทันท่วงทีเช่นกัน เขาซัดฝ่ามือสวนกลับไป เกิดเสียงดังก้องหูเมื่อทั้งคู่ปะทะกันตามด้วยแรงระเบิดอย่างน่ากลัว ฝุ่นควันกระจัดกระจายขึ้นฟ้า ต้นไม้โดยรอบสั่นสะเทือน เสี่ยวเฉินพยุงตัวกับพื้นไม่ไหวจนกระเด็นไปหลายศอก
แต่หมียักษ์นั้นไม่เพียงแต่จะแข็งแรง มันยังเร็วมากอีกด้วย มันไม่รอให้เขากระทบพื้นก่อนจะกระโจนเข้าใส่ กรงเล็บของมันเตรียมจะฉีกกระชากเขาทั้งเป็น
“ศิษย์น้อง ระวัง!”
ลั่วชางหยานร่ายมนต์ กระบี่ในมือนางเปล่งแสงสีเขียวและพุ่งออกจากมือนางไปที่หมี แทงทะลุึไหล่ขวาของมันจนโลหิตทะลักออกมา
“โฮกกกก!
หมียักษ์ที่โกรธเกรี้ยวซัดกรงเล็บใส่เสี่ยวเฉินที่ล้มถึงพื้นแล้ว เขาใช้พลังปราณโจมตีด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง เงาสีทองสองเงาที่คล้ายกับมังกรพุ่งออกมาจากแขนไปสู่ศัตรู ฝ่ามือมังกรคำรามซัดโดนหมีโดยตรง แต่ดูเหมือนว่ามันจะทำอะไรไม่ได้
“กลับมา ศิษย์น้อง!”
ลั่วชางหยานตะโกนให้เสี่ยวเฉินและนางใช้ความเร็วที่มากขึ้นบังคับกระบี่เขียวและฟันรังสีกระบี่เป็นพายุฝนใส่สัตว์ประหลาด ปราณกระบี่ซัดใส่หมี ลำตัวที่มีขนหนาของมันเปียกชุ่มโลหิต มันหันหลังหนีไปด้วยความกลัวตาย
เสี่ยวเฉินหน้าซีด เขาหอบหายใจ เขาเหนื่อยล้าเต็มที่จากการใช้ฝ่ามือมังกรไปสามครั้งอย่างต่อเนื่อง ลั่วชางหยานรีบมาช่วยเขา
“ศิษย์น้องเสี่ยว เจ้าบาดเจ็บไหม?”
เสี่ยวเฉินเพียงแค่ส่ายหน้า
“ทำไมข้าถึงทำอะไรมันไม่ได้ล่ะ?”
“มันคือสัตว์ประหลาดในรูปของหมียักษ์ มันมีพลังชำระปราณขั้นสี่ เกราะป้องกันของมันหนาและสูงสุดในบรรดาสัตว์ประหลาดขั้นสี่”
เสี่ยวเฉินพยักหน้าเมื่อเขาเข้าใจแล้ว
“อย่างนั้นรึ…”
เขานั้นเป็นผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตชำระปราณขั้นหนึ่งเพียงเท่านั้น ยากอยู่แล้วที่เขาจะทำอะไรกับศัตรูขั้นสี่ได้
สามองค์ชายด้านหลังนั้นหวาดกลัวจนแทบฉี่ราด จากนั้นเสียงก็ดังมาจากไม่ไกล
“บังเอิญจริง ข้าเจอแก้วแปดสีอีกแล้ว”
เสี่ยวเฉินหันไป เป็นม่อหยูที่นำคนมามากกว่ายี่สิบคน เสี่ยวเฉินรู้ว่าเขาจะต้องรู้ว่าเกิดการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตรงนี้และเข้ามาดูเพื่อปล้นอะไรสักอย่าง ด้วยพลังอันไร้เทียมทานและกลุ่มคนจำนวนมากก็ทำให้เขาเป็นศัตรูที่ต้องหลบเลี่ยงแล้ว เสี่ยวเฉินฝืนยิ้มบาง ๆ
“อ๊ะ! ศิษย์พี่ม่อหยู เจ้าสัตว์ประหลาดเพิ่งจะโดนข้ากับศิษย์พี่ไล่ไป รับแก้วพวกนี้ไปเลย เรามีของเรามากพอแล้ว”
ม่อหยูหน้าหมองเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเฉินกำลังล้อเลียนเขา เขาอยากจะเอาชนะเสี่ยวเฉินในการสอบโดยการใช้กำลังชิงแก้วแปดสี แต่เสี่ยวเฉินกลับเลี่ยงภัยอย่างง่ายดาย
ในตอนนั้น องค์ชายฉีรีบมาจากด้านหลัง เสี่ยวเฉินรีบกลับไปหาพวกและกระซิบ
“คนคนนั้นแข็งแกร่ง”
องค์ชายจ้าวเองก็มาจากข้างหลัง
“เจ้าพวกโง่! รู้ไหมว่าพวกเราเป็นใคร?”
“เอ๋?”
ม่อหยูพูดเมื่อหยิบแก้วแปดสี
“เจ้าพวก…สามสวะไม่ใช่รึ?”
แต่เขาไม่รอให้ตัวเองพูดจบ เขาดีดนิ้วและส่งปราณกระบี่ไปบนพื้น ทำให้เกิดรอยแยกและโคลนที่กระจายใส่ลั่วชางหวาน
“ระวังนะ ศิษย์แท้เจ้านิกาย”
ม่อหยูพูดอย่างเย็นชา มีหนามที่เสียดแทงในคำพูดของเขา เขาจงใจทำให้ลั่วชางหยานอับอายอย่างอุกอาจ กลุ่มยี่สิบคนของพวกเขาเริ่มหัวเราะหยาม พวกเขาดูจะพอใจที่ตัวเองโชคดีและมีหัวหน้าม่อหยูเป็นผู้นำ
เสี่ยวเฉินจ้องมองพวกเขากลับอย่างเยือกเย็น พวกเขาทนได้ที่ไม่มีแก้วแปดสี แต่การที่ม่อหยูทำให้ลั่วชางหยานอัปยศนั้นตั้งใจเพื่อเพิ่มสถานะของตัวเองกับผู้ติดตามอย่างชัดเจน เขารู้ดีกว่าสิ่งนี้จะถูกปลูกฝังให้พวกเขาคอยรังแกศิษย์พี่ลั่วต่อไปในอนาคต เสี่ยวเฉินจึงลงมือ เขาใช้ก้าวซ้อนเซียนและพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่การเคลื่อนไหวของเขานั้นทำให้แม้แต่ลั่วชางหยานตกใจ
“ศิษย์น้อง! อย่านะ!”
เสี่ยวเฉินรีบลงมือ พลังฝ่ามือมังกรคำรามเอ่อล้นดั่งคลื่นคลั่ง สายลมพัดหวน กลุ่มยี่สิบคนที่ไม่ทันตั้งตัวยังคงเพลิดเพลินในความฝันที่ได้รังแกคนอื่นและโดนพลังมหาศาลซัดใส่จนกระเด็นไปข้างหน้า
เมื่อเห็นว่าได้โอกาส ม่อหยูกระโจนเข้าใส่เสี่ยวเฉิน เขาเรียกพลังออกมาซัดเสี่ยวเฉินที่กำลังตอบกลับด้วยพลังของเขา ฝ่ามือทั้งสองปะทะกันจนเกิดคลื่นกระแทกในป่า เสี่ยวเฉินรู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ส่งตรงมาถึงเขาในแขนจนเจ็บแทบระเบิด แม้ว่าฝ่ามือมังกรคำรามจะเป็นวิชาที่ไร้เทียมทาน แต่มันก็เทียบไม่ได้กับม่อหยูที่มีพลังเหนือกว่า เขาตีลังกากลับจุดปลอดภัยและเริ่มถอย
เมื่อเห็นว่าเขากำลังหนี ม่อหยูโกรธแค้นและรีบไล่ตามทันที แต่ลั่วชางหยานก็ได้กระโดดมาขวางเสี่ยวเฉินพร้อมชักกระบี่ขึ้นมา นางพูดด้วยเสียงที่เยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง
“พอได้แล้วม่อหยู เจ้ารังแกศิษย์ใหม่ด้วยพลังของเจ้าได้ยังไง!”
ทุกสิ่งเงียบกริบในทันที คนของม่อหยูหยุดนิ่งและมองไปที่เสี่ยวเฉินอย่างหวังเกรง
“คนคนนั้นมีความสามารถ เขาเป็นคนรุ่นเราจริงรึ?”
ม่อหยูใบหน้าหมองดั่งเถ้าถ่าน เขาตอบด้วยเสียงที่เยือกเย็นพอกัน
“ดีมาก เจ้ามีพื้นฐานดี น่าเสียดายที่บางครั้งคนที่เลือกทางผิดจะได้พบจุดจบที่น่าเศร้า ไม่ว่าเจ้าจะมีพื้นฐานดีเพียงใด…”
เขาจ้องมองอีกครั้งด้วยความอาฆาตก่อนจะหันกลับไปพร้อมกับคนของเขา
“เจ้าเป็นอะไรไหมศิษย์น้อง?”
ลั่วชางหยานรอจนกระทั่งม่อหยูไป นางรีบหันมามองเสี่ยวเฉิน สามองค์ชายนั้นไม่มีทางรู้ว่าเสี่ยวเฉินตกอยู่ในสภาพใดเพราะเป็นคนที่ไร้พลัง แต่ลั่วชางหยานนั้นรู้ว่าเสี่ยวเฉินจะต้องทนรับกระบวนท่าจากม่อหยูและบาดเจ็บจากภายในอยู่แน่นอน นางอยากจะใช้พลังช่วยเขาฟื้นฟู แต่เสี่ยวเฉินยกมือหยุดนาง
“ข้าไม่เป็นไร”
“เจ้าประมาทเกินไปแล้ว เขาเป็นขอบเขตชำระปราณขั้นเก้านะ”
ชางก่วนหยานเดินมาเห็น นางใช้นิ้วเล่นกับกระดิ่งในระหว่างนิ้วของนาง
องค์ชายจ้าวสาปแช่ง
“ถ้าข้ามีกองทัพแสนนายของข้า…”
แต่จากนั้นเขาก็เงียบทันทีด้วยสายตาแข็งกร้าวของลั่วชางหยาน
นางเรียกขวดหยกออกมาและรินโอสถเล็ก ๆ ออกมาสองเม็ด ชางก่วนหยานยกมือห้ามลั่วชางหยาน
“ไม่เป็นไรหรอกศิษย์พี่ เขาคนนี้มีร่างอมตะ เขาตกหน้าผาแล้วยังไม่ตายเลยนะ”
เสี่ยวเฉินยิ้มตอบและคืนโอสถให้ลั่วชางหยาน
“ใช่แล้ว แผลข้าจะฟื้นฟูเอง มีคนเรียกข้าว่าเฉินอมตะ ไม่ว่าแผลจะเล็กหรือใหญ่ก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
ทีแรกลั่วชางหยานยังคงเป็นห่วงบาดแผลของเสี่ยวเฉิน แต่นางก็สบายใจเมื่อฟังเรื่องจากทั้งสองคน เสี่ยวเฉินมองไปยังทิศทางที่ม่อหยูและพรรคพวกเดินไป การทดสอบพลังของเขาเมื่อครู่นั้นไม่ใช่เพราะการสอบในตอนนี้ แต่เป็นการประเมินพลังของคู่แข่งม่อหยู ในนิกายบ่มเพาะพลังที่เล็กเช่นนี้จะต้องมีเรื่องเลวร้ายอยู่แน่ เขาต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่าเขาไม่ใช่ศิษย์ชั้นดีของนิกายครามพิสดารอีกต่อไปแล้ว แต่เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่มาฝึกตนให้แข็งแกร่งขึ้น
พวกเขาเดินทางอีกครั้งหลังจากผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ด้วยความสามารถในการจัดการกับค่ายกลของเสี่ยวเฉินก็ยากที่จะมีม่านพลังวิเศษอะไรที่ขวางทางพวกเขาได้ เมื่อถึงพลบค่ำ พวกเขาก็หาแก้วแปดสีได้ราว 50 ถึง 60 ก้อนแล้ว เมื่อถึงแสงสุดท้ายก่อนตะวันลับฟ้า พวกเขาได้เจอถ้ำที่จะพักค้างแรมในที่สุด
เสี่ยวเฉินเองก็ได้พบสมุนไพรหลากหลายชนิดที่หาได้ยากในโลกภายนอก มันเป็นวัตถุดิบที่ใช้หลอมโอสถเพื่อฟื้นพลัง
แสงสีส้มสว่างจากเปลวเพลิงที่ลุกด้านในถ้ำ
“ข้าหิว! เราออกไปหานกป่ากันไหม? เราไม่รอดแน่ถ้ากินแต่ผักในป่า!”
องค์ชายจ้าวถาม เขาครวญครางกับกองผักในอ้อมแขน
“พูดได้ดี!”
องค์ชายอีกสองคนกระโดดขึ้นด้วยความดีใจ ลั่วชางหยานขมวดคิ้ว
“มันมืดแล้ว อย่าได้ออกไปตอนกลางคืน และเจ้าก็จะไม่มีทางเจอนกป่าในป่านี้ด้วย”
“เจ้าสนใจงูรึเปล่าล่ะ?”
ชางก่วนหยานถามในทันทีที่นางเดินเข้ามา มีงูพันนอยู่รอบแขนนาง มันแลบลิ้นไปมาไม่หยุด สามองค์ชายทรุดลงกับพื้นด้วยความตกอกตกใจและกอดกันแน่น
“พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้รึยัง?”
เสี่ยวเฉินเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
“ถามงูข้าสิ”
ชางก่วนหยานลูบหัวงูนาง
“เป็นเด็กดีนะเสี่ยวฮั่ว อย่าเลื้อยไปที่มืด ๆ ล่ะ อย่าให้คนไม่ดีจับเจ้าไปกิน”
น่าแปลกที่เจ้างูเหมือนจะเข้าใจทุกคำที่นางพูดและพยักหน้าตอบ
เช้าวันต่อมา พวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาเที่ยงพวกเขาก้ได้เจอกับกลุ่มอื่นและมีเสียงกระซิบ
“เจ้าได้ยินไหม? มีข่าวว่าศิษย์พี่ม่อหยูโดนอสูรงูโจมตี พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าในถ้ำก็มีงูอยู่เต็มไปหมด น่าขนลุกสุด ๆ ไปเลย”
“ใช่ แล้วก็มีคนบอกว่ามีหลายคนที่โดนงูพิษกัดจนต้องโดนส่งขึ้นเขาไปช่วยชีวิตด้วย”
“…น่ากลัวนักจริง ๆ”
สามองค์ชายตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อพวกเขาได้ยินข่าวนี้และเย็นไปถึงคอ เมื่อกลุ่มนั้นเดินไปไกลแล้วลั่วชางหยานก็หยุดเดิน นางเหลือบมองพวกเขาตาแข็ง
“อย่าทำให้คนพวกนั้นไม่พอใจอีกจะได้ไหม?”
ชางก่วนหยานเพียงแค่แลบลิ้นออกมาและเสี่ยวเฉินก็ยิ้มซุกซนกลับไป “อสูรงู” ที่พวกเขาพูดถึงจะต้องเป็นฝีมือของชางก่วนหยาน ลั่วชางหยานมองเขา
“เจ้าไม่ได้มีแค่วิชาพื้นฐานติดตัว แต่เป็นขอบเขตชำระปราณขั้นหนึ่งด้วยใช่ไหม?”
“ว่าไงนะ!”
สามองค์ชายกระโดดขึ้นด้วยความตกใจ พวกเขาพูดพร้อมกัน
“ศิษย์พี่เสี่ยวนำหน้าในวิถีเซียนไปแล้ว! ไม่แปลกเลยที่บอกว่าไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว”
เสี่ยวเฉินพยักหน้าก่อนจะหันไปหาสามองค์ชาย
“อย่าได้เอาไปบอกใคร เดี๋ยวข้าจะเข้านิกายไม่ได้”
สามองค์ชายเดินมาประสานมือเข้าด้วยกันและตะโกน
“พวกข้าสาบาน พวกข้าจะทำเหมือนไม่รู้เรื่องนี้!”
พวกเขาเดินทางต่อไปอีกหกชั่วโมงจนพลบค่ำ จนถึงตอนนี้พวกเขาสะสมแก้วแปดสีได้เกือบร้อยก้อนแล้ว พวกเขาเข้าใกล้ยอดเขาหลิงไถขึ้นเรื่อย ๆ อีกหนึ่งวันการทดสอบจะจบลง
พวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากด้านหลัง ลั่วชางหยานรีบเข้ามาขวางเสี่ยวเฉินและคนอื่น ๆ เพื่อคุ้มกัน
“ข้าไม่คิดเลยว่าศิษย์พี่ลั่วจะเร็วกว่าพวกเรา”
เด็กสาวสวมชุดแดงพูดขึ้นมา มียี่สิบคนที่เดินตามหลังนาง