ตอนที่ 15 ลั่วชางหยาน
แท้จริงแล้วในถ้ำนี้เองก็เป็นแดนฝัน แต่มันติดตั้งค่ายกลฉิเหมินตันเจี้ยเอาไว้ ถ้าหากหลุดจากค่ายกลออกมาได้ก็จะไปถึงอีกฟากฝั่งได้
ในถ้ำนั้นมืดมิดแต่มีแสงสว่างจาง ๆ จากค่ายกล เส้นทางนั้นเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา บางครั้งมีหินแหลมหล่นจากด้านบน บ้างหลังมีกำแพงหินปรากฏมาบดบังเส้นทาง ที่อันตรายที่สุดนั้นคือพื้นที่จู่ ๆ จะกลายเป็นเหวไร้ก้นบึ้ง
หลายคนเดินวนเรื่อยไปจนกระทั่งเจอทางตันซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขาสอบตก บางคนหวาดกลัวและเสียขวัญ เมื่อพวกเขามาถึงจุดเดิมที่เคยอยู่ พวกเขาก็โมโหและก่นด่าสาปแช่งตลอดทาง
แต่เสี่ยวเฉินนั้นเป็นผู้ชำนาญค่ายกล และความซับซ้อนอันตรายของค่ายกลฉีเหมินตันเจี้ยนั้นเป็นเพียงวงกตเด็กเล่นสำหรับเขา เขาเดินสามก้าวและเปลี่ยนเป็นสองก้าว เดินเป็นแนวราบและกระโดดเป็นแนวดิ่ง สุดท้ายเขาก็หลุดจากค่ายกลฉีเหมินตันเจี้ยไร้เทียมทานของนิกายสามพิสุทธิ์มาได้อย่างไม่ยากเย็น
ทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ประจักษ์แก่สายตาเสี่ยวเฉิน หุบเขาเขียว บุบผาบานสะพรั่ง ผีเสื้อที่ร่ายรำและธารน้ำไหล เหนือหุบเขาขึ้นไปเต็มไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่
แสงสว่างจ้าทำให้เขาหรี่ตา เขาสูดหายใจและรู้สึกสดชื่นในทันที เสียงดังมาจากด้านซ้าย
“ฮ่าฮ่า! ศิษย์น้อง ข้าเร็วกว่า! เจ้าต้องไปทำความสะอาดแทนข้าสามเดือน!”
“หึ! ข้าต่างหากที่ชนะ!”
อีกเสียงดังมาจากทางขวาของเสี่ยวเฉิน
แสงกระบี่สองสายตกลงสู่พื้นพร้อมกัน เมื่อพวกเขาเห็นเสี่ยวเฉินพวกเขาก็จ้องเขาด้วยความตกตะลึง
“นี่เจ้า! เจ้าเร็วกว่าพวกข้าได้ยังไง? เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?! เจ้าโกงรึ?”
เสี่ยวเฉินชี้ไปข้างหลังและพูดด้วยใบหน้าไร้เดียงสา
“ข้าเพิ่งมาถึงน่ะ”
ศิษย์ทั้งสองมองหน้ากันอยู่นานราวกับวิญญาณหลุดจากร่าง นี่เป็นการทำลายสถิติหลายร้อยปีของนิกายสามพิสุทธิ์ แม้กระทั่งศิษย์พี่ม่อหยูที่มีพรสวรรค์ที่สุดในนิกายยังต้องใช้เวลา 30 นาทีกว่าจะถึงที่นี่
ผ่านไปนานกว่าที่ศิษย์ทั้งสองจะได้สติและแทบจะคุกเข่า พวกเขาพูดเสียงดัง
“ท่านอาจารย์! โปรดรับการคารวะจากพวกข้าด้วย!”
ในตอนนี้ ในศาลาเล็กบนเขาหลิงไถ ผู้เฒ่าสองหัวเราะกับเข็มทิศดาวในมือ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! นี่แหละที่ศิษย์นิกายเราควรจะเป็น! ดูเหมือนว่าชิงเจินสีผู้นี้จะมีผู้สืบทอดแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! เด็กคนนี้เป็นของข้า ไม่มีใครแย่งจากข้าไปได้หรอก!”
ผู้เฒ่าสี่พูดทันที
“จะบ้าเรอะ! เจ้ามีศิษย์หลายคนแล้ว ไม่คิดว่าพวกเขาะต่อต้านรึไง?”
ผู้เฒ่าห้าลูบเคราขมวดคิ้ว
“เขามาจากไหนกัน? หรือว่าจะเป็นสายลับที่นิกายวายุนภาหรือนิกายกระบี่คลื่นเย็น?”
ชิงเจินสีผู้เป็นผู้เฒ่าสองหัวเราะน้ำตาไหล
“เขาไม่ใช่สายลับที่ไหน เขาเป็นนายน้อยสี่จากตระกูลเสี่ยว ท่านเจ้านิกายไปที่เขตเมฆาเพื่อเยี่ยมตระกูลเสี่ยวและขอเจ้าตระกูลให้สืบเรื่องบุบผาร้ายกลืนวิญญาณ”
ไป่หยิงผู้เฒ่าสามถอนหายใจและพูด
“ข้าเองก็ยังไม่มีศิษย์หลักเลยนะ…”
ผู้เฒ่าสองหัวเราะเมื่อได้ยิน เขาพูด
“ศิษย์น้องสาม เจ้ายังไม่ถึงขอบเขตตั้งแกนด้วยซ้ำ ใครจะอยากติดตามเจ้า?”
ไป่หยิงลุกขึ้นยืนมือไพล่หลังพลางยิ้ม
“พูดอย่างกับจะชนะข้าได้”
ผู้เฒ่าสองหน้าแดงเมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นขอบเขตตั้งแกนแล้ว เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะศิษย์น้องของเขาที่เป็นขอบเขตตั้งฐานเท่านั้น เขาโบกมือพูด
“ไม่เอาน่า เจ้าเองก็บอกว่าไม่อยากมีศิษย์ผู้ชายนี่”
“เรื่องมันเป็นอดีตไปแล้ว คุยกันต่อไปเถอะ ข้าไปก่อน”
นางเดินออกไป ผู้เฒ่าสองตะโกน
“เฮ้! อย่าโกงนะศิษย์น้อง! เจ้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับการสอบไม่ได้!”
“ใครบอกว่าข้าจะไปยุ่งกับการสอบล่ะ?”
นางหายไปในเมฆาพร้อมกับแสงกระบี่เมื่อพูดจบ
ผู้เฒ่าสี่ลูบเครา
“พี่ชิงเจิน อย่าเพิ่งนับไก่ก่อนจะฟักซี่ ลืมแล้วรึว่าเขาสอบตกรอบสอง?”
ผู้เฒ่าสองเหลือบมองเขา
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“จำอสูรภายในที่เจ้านิกายพูดถึงได้หรือไม่? ข้าคิดว่าเด็กคนนี้มีสิ่งที่ต้องแบกรับมากมายเกินไป ถ้าหากเขาจมลงสู่บึงโคลนนั้น จะต้องมีอสูรภายในในตัวเขาแน่ ดังนั้นเขาอาจจะกลายเป็นผู้ฝึกวิชาอสูร…”
“ฮื่ม! หยุดพูดเถอะ! อย่าได้คิดว่าข้าจะให้เด็กคนนี้กับเจ้าแค่เพราะเจ้าพูดแบบนี้…”
ในตอนนี้ ชายชราที่ดูเคร่งขรึมเดินมทาที่ด้านหลังพวกเขา
“คุยอะไรกันอยู่รึ?”
สามผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนทันทีและพูดด้วยความนับถือ
“คารวะศิษย์พี่”
เขาคือผู้เฒ่าหนึ่งแห่งนิกายสามพิสุทธิ์และรับหน้าที่ลงโทษ เมื่อเจ้านิกายไม่อยู่ เขาเป็นผู้มีอำนาจในนิกาย เขามองกระจกและมองผู้เฒ่าสอง
“ผู้อาวุโสจากตำหนักม่วงเพิ่งจะมาถึง”
“ว่าไงนะ!?”
สามผู้เฒ่าตัวสั่น พวกเขาดูกังวลและกลัว ชิงเจินสีรีบพูด
“เขามาที่นี่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นบนฟ้าเมื่อ 16 ปีก่อนรึ?”
ผู้เฒ่าหนึ่งพยักหน้า
“ใช่ เจ้ามากับข้า”
…
ที่ภูเขา การสอบรอบสามจบลงแล้ว ทีแรกมีผู้เข้าสอบ 2,000 คน แต่ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึง 300 คน เสียงคนพูดคุยไม่ได้ดังลั่นแบบแต่ก่อน
เสี่ยวเฉินเป็นคนมาถึงคนแรกและได้ 30 คะแนน เสี่ยวฮั่นมาใน 30 นาทีและได้ 20 คะแนน เขาบาดเจ็บและดูเหมือนกับว่าจะใช้กำลังออกมาจากค่ายกล เสี่ยวหวังเอ๋อออกมาในหนึ่งชั่วโมงและได้ 10 คะแนน
ผู้เข้าสอบที่เหลือแทบจะผ่านไม่ทันเวลาและได้ไม่กี่คะแนนเท่านั้น เสี่ยวเฉินในตอนนี้มีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งนำทุกคน น่าเสียดายที่เขาสอบตกรอบที่แล้ว มิเช่นนั้นเขาจะได้คะแนนเต็ม
ถึงเวลาพลบค่ำ ศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามาเหลือบมองเสี่ยวเฉิน
“พวกเจ้าผ่านแล้วสามรอบ รอบต่อไปค่อนข้างอันตราย ว่าที่ศิษย์ของห้าผู้เฒ่าจะเป็นคนนำเจ้า”
คนเข้าสอบเริ่มตื่นเต้น แม้พวกเขาจะมีวันที่ยากลำบาก พวกเขาก็ดีใจที่จะมีว่าที่ศิษย์ของผู้เฒ่าที่จะนำพวกเขาในรอบสุดท้าย
ไม่นานก็มีแสงกระบี่มาจากยอดเขาและกลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม คิ้วของเขาเหมือนกับกระบี่ ดวงตานั้นเปล่งประกายดั่งดวงดาว ร่างกายเปล่งแสงสีขาวจาง ๆ ราวกับเป็นเซียนจากสวรรค์ เหล่าผู้เข้าสอบมองเขาและอึ้ง
ศิษย์สอบคนบนพื้นคารวะเขาด้วยความนับถือ
“ศิษย์พี่ม่อ!”
เขาคือศิษย์หลักของผู้เฒ่าหนึ่งนามว่าม่อหยู เขามองคนรอบ ๆ และพยักหน้า
สิบคนตามมาพร้อมกระบี่ มีทั้งบุรุษและสตรี พวกเขาต่างดูดีในวัยของตัวเอง เจิงหยิงที่มารับเสี่ยวเฉินกับอีกสามคนก็มาที่นี่ด้วย ศิษย์ในทั่วไปต่างคารวะพวกเขา
ผู้มาเยือนใหม่แล่นลงบนพื้นและยืนเรื่องแถว สตรีชุดสีเขียวอ่อนมาเป็นคนสุดท้าย นางมีอายุน้อยที่สุดราว 18 ปีเท่านั้น ศิษย์ในเหล่านี้เรียกนางว่า ‘ศิษย์พี่’ แต่น้ำเสียงมิได้นับถือนัก มันกลับกลายเป็นความถากถาง โดยเฉพาะเหล่าว่าที่ศิษย์ บางคนถึงกับฉุนเฉียวและพูดบางอย่างที่เกินเลย
แต่นางในชุดสีเขียวอ่อนเพียงแค่ขมวดคิ้วและแสร้งเป็นเฉยเมยต่อคำเหล่านั้น ความเศร้าในคิ้วนางลึกล้ำยากจะลบล้าง
เสี่ยวเฉินใจสั่นเมื่อมองนาง เขารู้ว่าสิ่งนี้เป็นเช่นใด ย้อนกลับไปในตระกูลเสี่ยวที่เขาเป็นนายน้อย แต่ข้ารับใช้บางคนยังกล้าดูถูกเขาต่อหน้าต่อตา
ในตอนนี้ มีคนใกล้ ๆ ถามเบา ๆ
“ศิษย์พี่ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครน่ะ?”
“ทำไมนางถึงดูเป็นแบบนั้น?”
“นางคือลั่วชางหยาน ศิษย์เพียงคนเดียวของเจ้านิกาย”
“ว้าว! ศิษย์แท้ของเจ้านิกาย! นายจะต้องเก่งแน่ ๆ!”
“ฮื่ม! ไม่ใช่หรอก นางเป็นได้แค่พวกขี้แ…ช่างเถอะ”
เสี่ยวเฉินใจสั่นอีกครั้ง
“ลั่งชางหยาน?”
ต่อมา ศิษย์ในทั่วไปคนหนึ่งได้ก้าวเข้ามาและพูด
“ทุกคนจงฟัง การสอบรอบต่อไปจะใช้เวลาสามวัน เจ้าจะต้องแบ่งกันเป็น 15 กลุ่มที่มีศิษย์พี่ 15 คนเป็นผู้นำ จงจำไว้ว่าผลการสอบจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าแต่ขึ้นอยู่กับหัวหน้ากลุ่มด้วยเพราะนี่จะเป็นสิ่งตัดสินว่าพวกเขาจะได้ไปตำหนักม่วงในอนาคตหรือไม่ ดังนั้นจงทำให้ดีที่สุด กลุ่มที่ได้ที่หนึ่งจะได้สิทธิพิเศษซึ่งหัวหน้ากลุ่มจะได้เลือกหนึ่งคนเป็นศิษย์ในได้ทันที”
เมื่อเขาพูดจบ ศิษย์อีกคนพูดต่อ
“ข้าขอแนะนำศิษย์พี่เสียก่อน”
จากนั้นจึงเดินไปยังกลุ่ม 15 คนและเริ่มแนะนำพวกเขาทีละคน
“เขาคือเหวินชิงหยู ศิษย์พี่เหวินจากผู้เฒ่าสี่ ตอนนี้นางมีพลังขอบเขตชำระปราณขั้นหก…”
“เขาคือเจิงหยิง ศิษย์พี่เจิงศิษย์ผู้เฒ่าสาม เขาเป็นขอบเขตชำระปราณขั้นหก…”
สุดท้ายเขาก็เดินไปที่หน้าม่อหยูและคารวะด้วยรอยยิ้มก่อนจะแนะนำ
“นี่คือศิษย์หลักของผู้เฒ่าหนึ่ง ม่อหยู ศิษย์พี่ม่อมีขอบเขตชำระปราณขั้นเก้าแล้ว!”
เมื่อพูดจบ ทุกคนต่างอุทาน ส่วนม่อหยูนั้นยิ้มราวกับคุ้นชิ้นแล้ว ลั่วชางหยานนั้นดูเหมือนจะถูกศิษย์คนนั้นลืมและยืนนิ่ง เขาชี้นางและพูด
“นางเป็นศิษย์เจ้านิกายชื่อลั่วชางหยาน นางขอบเขตชำระปราณขั้นสี่”
“ว่าไงนะ? ศิษย์เจ้านิกายมีพลังแค่ขั้นสี่รึ?”
คนเริ่มพูดคุยกัน แม้แต่ศิษย์ในธรรมดาบางคนยังมีพลังเหนือว่าขั้นสี่ ลั่วชงหยานมองพื้นไม่พูดอะไร ส่วนศิษย์คนอื่นอย่างเหวินชิงหยูนั้นยิ้มอย่างเย็นชา
ศิษย์ในทั่วไปยกมือขึ้นพูด
“เอาล่ะ ทุกคนเงียบได้แล้ว ตอนนี้ให้เดินไปหาศิษย์พี่ที่พวกเจ้าอยากติดตาม…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบคนจำนวนมากก็รีบไปหาม่อหยูแล้ว ม่อหยูนั้นคุ้นเคยกับเรื่องนี้และเริ่มเลือกผู้เข้าสอบที่คะแนนสูง
บางคนรู้ตัวว่าคะแนนน้อยเกินกว่าจะอยู่กลุ่มม่อหยู พวกเขาจึงเดินกลับไปหาเหวินชิงหยู เจิงหยิง และคนอื่น ๆ ส่วนลั่วชางหยานนั้นไม่มีใครเดินไปหา แม้ว่านางจะเป็นศิษย์เจ้านิกายก็ไม่มีใครอยากจะติดตามคนที่มีพลังขั้นสี่เพราะการสอบรอบนี้จะตัดสินว่าพวกเขาจะได้เข้าสู่นิกายหรือไม่
เสี่ยวหวังเอ๋อเดินเข้าาเช่นกัน เจิงหยิงเห็นนางและยิ้ม
“ศิษย์น้องเสี่ยว เจ้ามาถึงรอบนี้แล้ว”
เสี่ยวหวังเอ๋อยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ศิษย์พี่เจิงหยิง…”
นางก้มศีรษะเดินไปหาม่อหยู รอยยิ้มของเจิงหยิงค่อย ๆ แข็งไป
เสี่ยวหวังเอ๋อกำหมัดและเดินไปข้างหน้า นางกัดฟันหันเดินกลับมาและพูดพร้อมยิ้มหวาน
“ข้าคิดว่าข้าจะยังติดตามการนำของศิษย์พี่เจิงหยิง!”
จากนั้นนางจึงโบกมือให้เสี่ยวเฉินกับเสี่ยวฮั่น
“พวกเจ้าสองคนทำอะไรตรงนั้นน่ะ!?”
“ดี ดี…”
เจิงหยิงยิ้มอ่อน
เสี่ยวฮั่นส่ายหน้าและเดินไปหานาง ส่วนเสี่ยวเฉินยืนนิ่ง ม่อหยูมองเขาและพูด
“ศิษย์น้องตรงนั้นน่ะ มากับข้า”
ทุกคนมองเสี่ยวเฉิน เสี่ยวเฉินมองม่อหยู
“ขออภัย”
เขาเดินไปหาลั่วชางหยานด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ลั่ว ยินดีที่ได้พบ ข้าชื่อเสี่ยวเฉิน!”