ตอนที่ 14 ภาพลวงในพิณ
เมื่อเสี่ยวเฉินไปได้ครึ่งทาง เขาใช้สัมผัสเทพมองข้างหลังและเห็นว่าเสี่ยวหวังเอ๋อยังไม่กล้าเหยียบโซ่ เขาส่ายหน้าและถอนหายใจ เขากลับไปอุ้มเอวบางของนางด้วยแขนหนึ่งข้างและไปอีกฟากอย่างนุ่มนวล
“เขาทำแบบนั้นได้ยังไง?! นั่นมันขี้โกง! ต้องหักคะแนน!”
คนพากันบ่นอีกครั้ง
ศิษย์บนพื้นกระแอม
“พวกเขามากันเป็นกลุ่ม นี่ไม่ใช่การโกง”
ต่อมาเสี่ยวเฉินก็ได้ถึงอีกฟากของหน้าผา เสี่ยวฮั่นมองพวกเขาอย่างเย็นชา
“เชื่องช้านัก ข้าคิดว่าเจ้าตกกันไปแล้ว”
เสี่ยวเฉินยิ้มเบา ๆ และวางเสี่ยวหวังเอ๋อลง นางหน้าแดงก้มหน้า
“ขอบใจนะเสี่ยวเฉิน”
นางไม่เคยคิดเลยว่านางจะต้องขอความช่วยเหลือจากชายที่นางเคยดูถูก
สี่ชั่วโมงต่อมาทุกคนก็ได้มาถึงอีกฟาก เสี่ยวเฉินและอีกสองคนได้ 10 คะแนนอย่างไม่ต้องสงสัย เสี่ยวเฉินก้มลงมองหน้าผาและกระซิบกับตัวเอง
“นังผีนั่นคงตกไปนะ แล้วก็ขอให้ศิษย์พี่คนนั้นรับนางไม่ทัน…”
แต่เมื่อเขาพูดก็มีเสียงกระดิ่งเงินแหลมดังที่ด้านหลังเขา
“เสี่ยวเฉิน! พูดถึงข้าอีกแล้วรึ?”
เสี่ยวเฉินสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียง เขาหันไปฝืนยิ้ม
“ว่าไง! แม่นางชางก่วน ไม่เจอกันนานนะ!”
ชางก่วนหยานหัวเราะเบา ๆ นางกระพริบตา
“ไม่ต้องสุภาพนักก็ได้ อีกไม่นานเราจะได้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันแล้ว สบายใจได้ ข้าจะเป็นศิษย์พี่คอยดูแลเจ้าเอง”
“ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักรึ…”
เสี่ยวเฉินรู้สึกราวกับว่าเมฆดำกำลังเคลื่อนตัวมาทางเขา
ตระกูลชางก่วนนั้นเองก็เป็นตระกูลจอมยุทธที่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับตระกูลเสี่ยว แต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ยอดฝีมือจากตะวันตกเฉียงใต้คนหนึ่งได้มาสอนตระกูลชางก่วนถึงวิชาพิษอันฉาวโฉ่
ชางก่วนเฟยผู้เป็นบิดาของชางก่วนหยานและเพื่อนสนิทที่สุดของบิดาเสี่ยวเฉิน แต่เมื่อเสี่ยวเฉินยังเด็กนั้น ชางก่วนหยานได้เสกตะขาบดำมากัดเขา ซึ่งเงาในวัยเด็กตอนนั้นยังคงหลอกหลอนเสี่ยวเฉินมาถึงทุกวันนี้
ในตอนนี้ ในศาลาเล็กบนเขาหลิงไถ มีสี่คนนั่งอยู่บนเบาะ กระจกบานใหญ่ที่ตรงกลางได้ฉายภาพสถานการณ์ด้านล่างภูเขา
หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวอายุน้อยชุดขาว นางเป็นคนที่บินมายังศาลานี้มาก่อน นางมีนามว่าไป่หยิงเป็นผู้เฒ่าสาม ข้างกายนางคือผู้เฒ่าสองที่ถือเข็มทิศดาวในมือ ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นผู้เฒ่าสี่และผู้เฒ่าห้า
ผู้เฒ่าสองลูบเครา
“คนมาสอบรอบนี้เองก็ใช้ไม่ได้เหมือนเดิม…”
ผู้เฒ่าสามไป่หยิงพูดอย่างสบายใจ
“ไม่ต้องรีบร้อน นี่เป็นแค่รอบแรก แล้วบางคนก็ดูเหมือนจะฝึกวิชายุทธมาด้วย อย่างน้อยพวกเขาก็เหนือกว่าขอบเขตชำระร่างมาแล้ว”
“จริงตามนั้น แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าเขามีเส้นปราณกี่เส้น…”
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ศิษย์อีกสองคนได้มาถึงกลุ่มผู้คน หนึ่งในนั้นมีม้วนแผ่นไผ่ เขาเปิดอ่าน
“เอาล่ะ ต่อไปเป็นรอบสอง…หืม? พิณ หมากรุก เขียน วาด?”
เขาขยี้ตาในตอนที่ประกาศเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้อ่านผิด
“ว่าไงนะ?! ศิษย์พี่ทำอะไรเนี่ย? ดีดพิณ หมากรุก วาดเขียน? แล้วรอบต่อไปจะเป็นอะไร? ห้าตำราห้าเรื่องรึ?”
ผู้เข้าสอบโห่ร้อง
ศิษย์ที่อ่านจ้องศิษย์น้องข้าง ๆ
“เจ้าโง่! เจ้าหยิบแผ่นไผ่ผิดไม่ใช่เรอะ?”
ศิษย์น้องทำหน้าขมขื่น
“ไม่ใช่นะ…ผู้เฒ่าสองเป็นคนเพิ่มรอบนี้ให้การสอบยากขึ้นเพื่อเพิ่มคุณภาพของศิษย์…”
เสี่ยวฮั่นและเสี่ยวหวังเอ๋อขมวดคิ้วแน่น ส่วนเสี่ยวเฉินยังคงเงียบและยิ้ม เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสอบรอบนี้โดยแท้ เขาได้ฝึกวาดฝึกเขียนกับแม่มาตั้งแต่เด็กและเรียนวิธีเล่นหมากรุกจากปู่ ส่วนพิณนั้น เขามีความเชี่ยวชาญอย่างสูงสุด บอกได้เลยว่าเขาเป็นผู้เล่นพิณที่ดีที่สุดในโลกไม่เป็นสองรองใคร
ก่อนหน้านี้ หลิงหยินที่รู้จักกันในนามเซียนเหมียวหยินได้สอนวิชาพิณกับเขาด้วยตัวเอง ในเวลานั้น หลิงหยินจะเป็นคนเป่าขลุ่ยและเสี่ยวเฉินจะดีดพิณข้างกายนาง พวกเขาโค่นสัตว์ประหลาดและอสูรนับไม่ถ้วนด้วยวิธีการนี้
เมื่อผู้คนกำลังจะปั่นป่วน ศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามากระแอม
“ทุกคนสบายใจได้ การสอบรอบนี้มิได้เป็นการสอบตามที่เจ้าจะได้ยิน ต่อให้เจ้าดีดพิณ เล่นหมากรุก วาดเขียนไม่เป็น เจ้าจะทำมันได้ในแดนฝัน ทุกคนจะต้องเลือกแดนฝันของตัวเอง มาเริ่มรอบนี้กันเลย”
เมื่อพูดจบ เขาแกว่งแขนไปข้างหลัง เมฆและหมอกได้สลายไปเผยให้เห็นถ้ำทั้งสี่ แต่ลำถ้ำจะมีค่ายกลอยู่ พิณหยกคือม่านแรก ตารางหมากรุกเป็นม่านที่สอง กระดาษอยู่บนม่านที่สาม และภาพวาดทิวทัศน์งดงามอยู่ม่านที่สี่ ในภาพเขียนนี้มีภูเขานับไม่ถ้วนที่สูงเสียดฟ้าแทงทะลุเมฆาขึ้นไป มีสัตว์หายากทุกชนิดในพงไพร มันดูมีชีวิตชีวาราวกับมีชีวิตอยู่จริง ๆ
ทุกคนเลือกแดนฝันที่พวกเขาคุ้นเคย เสี่ยวหวังเอ๋อกำหมัดลังเลอยู่นานก่อนจะเข้าแดนฝันวาด เสี่ยวฮั่นเตะก้อนหินให้กระดอนไปมาและหยุดที่หน้าแดนฝันเขียน เขาส่ายหน้าและเดินเข้าไป
เสี่ยวเฉินดีดพิณได้ดีที่สุดถ้าเทียบกับสามศิลปะอื่น ดังนั้นเขาจึงเข้าไปสู่แดนฝันพิณ เมื่อเดินผ่านม่านไปแล้วบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป เขายืนอยู่ที่หน้าผา มอกเย็นรายล้อมรอบตัวเขาราวกับอยู่ในดินแดนของความฝัน มีเส้นทางและตำหนักมากมายที่ลอยอยู่บนอากาศ เหล่ากระเรียนบินไปเป็นระยะ และยังมีวิหคหายากนับไม่ถ้วนพร้อมกับสตัว์ป่าที่อยู่บนภูเขาเบื้องล่าง
ดวงตาของเขารื้นชุ่มเพราะนีคือยอดเขาราตรีม่วงที่เขาและอาจารย์อยู่ด้วยกันในครั้งก่อน มียอดเขาทั้งหมดเจ็ดยอดในนิกายครามพิสดาร และยอดเขาราตรีม่วงคือหนึ่งในนั้น
เสียงพิณดัง เสี่ยวเฉินมองไปหาต้นเสียงเห็นชายหนุ่มที่ดูเหมือนกับเขานั่งลงบนพื้น ชายหนุ่มสวมชุดขาวบริสุทธิ์พร้อมตราแยกแดงห้อยเอว ตรงหน้าเขาคือพิณหยกที่เปล่งแสงหลากสีสัน มีรอยสลักอันซับซ้อนดั่งมังกรคำรามและวิหคเพลิง สายพิณทั้งเจ็ดดูได้ทั้งปลอมและจริงดั่งภาพลวงตา
ทะเลเมฆเกิดขึ้นไปสู่ด้านตรงข้าม คนหนึ่งยืนอย่างงดงาม นางสวมชุดสีเขียวอ่อนขี่กระบี่
“ท่านอาจารย์มาแล้วรึ”
ชายหนุ่มชุดขาวกล่าว
แม่นางในชุดเขียวอ่อนพยักหน้าแผ่วเบา
“ชะตาเจ้าจมอยู่ในปริศนาที่ข้ามิอาจแก้ไข วันนี้เจ้าก้าวหน้าขึ้นหรือไม่?”
ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้มทุกข์ใจ
“จิตพิณในพิณเจ็ดสายตัวนี้หยิ่งผยอง บอกว่าข้าอ่อนแอเกินไป…มันโมโหและไม่พูดอะไรกับข้ามาหลายวันแล้ว”
นางในชุดเขียวอ่อนพยักหน้า
“เฉินเอ๋อ อย่าเพิ่งท้อใจ รัตติกาลเป็นจิตบรรพกาล ยากนักที่จะถูกเขายอมรับ เล่นเพลงให้ข้าฟังหน่อย”
“ได้เลย!”
เมื่อเขาพูด เขายื่นมือไป สายลมพัดแขนเสื้อและเส้นผมของเขาร่ายรำ นิ้วของเขาขยับอย่างอัศจรรย์เมื่อบทเพลงล่องลอยไปถึงปลายสวรรค์ฟ้าดิน เสียงพิณก้องกังวลอยู่เป็นเวลานาน
เพลงนี้ราวกับจะเล่นไปหลายพันปี
เสี่ยวเฉินตาแดงก่ำ เขาอยากจะกรีดร้องแต่มิอาจส่งเสียงออกมาได้เลย ตอนนี้เขาอยู่ใกล้กับอาจารย์แต่กลับดูไกลจนเอื้อมไม่มีวันถึง
ในตอนนั้นเอง พิณหยกได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า แม้เขาจะรู้ว่าเขาต้องเล่นพิณเพื่อผ่านการสอบ แต่เขาก็เพียงต้องการที่จะมองอาจารย์ของเขาแม้จะเป็นเวลาเพียงแค่ 30 นาที
สุดท้ายเวลาก็ได้หมดลง และเขาถูกย้ายออกมาจากแดนฝัน
ผู้เข้าสอบหลายคนออกมาแล้ว เสี่ยวหวังเอ๋อเลือกแดนฝันวาดและได้มาห้าคะแนน เสี่ยวฮั่นโชคดีได้เจ็ดคะแนน ส่วนเสี่ยวเฉินนั้นลุ่มหลงในแดนฝันพิณจนถูกนับว่าสอบตกด้วยศูนย์คะแนน
เสี่ยวหวังเอ๋อเห็นเปลือกตาแดงของเสี่ยวเฉิน นางถามเบา ๆ
“เจ้าเป็นอะไร? เจ้าดีดพิณเก่งไม่ใช่รึ?”
เสี่ยวเฉินไม่ตอบอะไร เสี่ยวฮั่นยิ้มเย็นชา
“ภาพลวงตานั้นเกิดจากดวงใจ บางทีเขาอาจได้เห็นสิ่งที่อยากจะเห็นตลอดมา”
ศิษย์ผู้ทำหน้าที่คุมสอบพูดเสียงดัง
“เอาล่ะ เงียบได้แล้ว พวกเจ้าทำได้ดีในรอบนี้ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่ได้แบกรับสิ่งใดในหัวใจมากมายนัก รอบต่อไปให้ระวังด้วยเพราะพวกเจ้าอาจเจ็บตัวได้ รอบต่อไปจะมีทั้งหมด 30 คะแนน”
เขาแกว่งแขน แปดถ้ำมืดปรากฏที่หน้าผา
“เจ้าต้องผ่านถ้ำให้ได้ใน 90 นาที เจ้าเข้าไปพร้อมกันได้แต่จะไม่เห็นหรือได้ยินกันในถ้ำ อีกเรื่องก็คือ ถ้าเจ้าตกรอบนี้ เจ้าจะถูกคัดออกและต้องต่อการทดสอบครั้งหน้า”
ทุกคนสะดุ้งทันทีที่ได้ยิน คำพูดของศิษย์พี่หมายความว่าพวกเขาจะต้องผ่านถ้ำนี้หรือกลับบ้านไป หลังจาก 90 นาทีนี้พวกเขาอาจจะสอบตกก็ได้ หลายคนจึงรีบเข้าไปในถ้ำ
เสี่ยวหวังเอ๋อเค้นหมัดและพูดอย่างกระวนกระวาย
“รอบนี้อะไรอีกล่ะ? ถ้าเราตกรอบนี้ เราก็ไม่มีโอกาสแล้ว!”
เสี่ยวฮั่นถอนหายใจอย่างเย็นชาและเดินไปในถ้ำที่สาม เสี่ยวเฉินพูดขึ้นมาก่อน
“ตรงนั้นเป็นทางตัน ข้าแนะนำถ้ำที่ห้า”
เหล่าศิษย์ตกใจเมื่อได้ยินเขาพูด
เสี่ยวเฉินตั้งสติและเดินไปยังถ้ำที่ห้าด้วยรอยยิ้ม เสี่ยวหวังเอ๋อพูด
“เดี๋ยวก่อน!”
นางรีบวิ่งตามเขา เสี่ยวฮั่นลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าถ้ำที่ห้าเช่นกัน
คนที่เหลือเองก็ลังเลและรีบไปยังถ้ำที่ห้า
หลังจากที่ทุกคนเข้าถ้ำไปแล้ว ศิษย์คนหนึ่งส่ายหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“วิ่งเร็วไปก็ไม่ช่วยอะไร ค่ายกลฉีเหมินตันเจี้ยมิใช่สิ่งที่ความเร็วจะช่วยได้”
ศิษย์อีกคนยิ้ม
“ว่าก็ว่าเถอะ เจ้าเกือบจะไม่ผ่านการสอบรอบนี้ ธูปสามก้านแทบจะไหม้หมด”
“ฮื่ม! เจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าเท่าไหร่ มาขี่กระบี่แข่งกันไหม? มาดูกันว่าใครจะไปถึงก่อน?”
“เจ้าแน่ใจนะ? คนแพ้ต้องรับใช้คนชนะสามเดือน!”
เมื่อเขาพูดจบพวกเขาก็ขี่กระบี่เข้าไป หนึ่งคนไปทางซ้ายและอีกคนไปทางขวา พวกเขามุ่งหน้าไปสู่อีกฟากของภูเขา