ตอนที่แล้วตอนที่ 10 บงการ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12 ชางก่วนหยาน

ตอนที่ 11 นิกายสามพิสุทธิ์


เสี่ยวยี่ฟานเห็นสีหน้าไม่ดีของลูกชายและถามด้วยความห่วงใย

“มีอะไรรึลูก?”

เสี่ยวเฉินตั้งสติและฝืนยิ้ม

“ไม่มีอะไรท่านพ่อ”

ในตอนนี้เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเสียจิตวิญญาณไป สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่มีคนจัดฉากเอาไว้

“ไปกันเถอะนายน้อย อย่าให้ท่านเซียนต้องรอนาน”

หลิวรั่วเก็บสัมภาระของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว นางจะตามเสี่ยวเฉินไปในฐานะสาวใช้ นางจะไม่เข้าร่วมกับนิกายสามพิสุทธิ์หรือรับการทดสอบ

เสี่ยวเฉินพยักหน้าและเดินไปหานางแต่ชูฉิงเรียกเขาให้หยุด นางถอนหายใจและหยิบบางอย่างที่เหมือนกับตราออกมา

“ข้ารู้ว่าตอนนี้ข้าพูดอะไรไม่ได้แล้ว เจ้าต้องระวังตัวให้ดี หากมีผู้ใดทำให้เจ้าลำบาก จงแสดงสิ่งนี้กับเขา”

เสี่ยวเฉินรับตราไปโดยที่ไม่รู้ว่ามันทำมาจากสิ่งใด มันสลักไว้ด้วยลวดลายที่ซับซ้อนอย่างสุดยอดที่เขาไม่รู้จัก เขาพยักหน้าตอบ

“ท่านแม่ เชื่อใจข้านะ ข้าจะไม่เป็นไร”

ผู้เฒ่าในโถงเมฆบินหลายคนนั้นต้อนรับชายหนุ่มชุดขาวอายุราวยี่สิบปีอย่างนอบน้อม เขามีกระบี่เล่มยาวบนหลังและนั่งนิ่งบนเก้าอี้ เขาพยักหน้าให้สาวใช้ที่รินถ้วยชาให้เขาและดูเจ้ายศเจ้าอย่างเป็นอันมาก

หลายคนรวมตัวกันด้านนอกโถง เสี่ยวหวังเอ๋อมีใบหน้าสดใส นางสวมชุดสีชมพูในวันนี้ นางดูเหมือนกับองค์หญิงน้อยผู้เป็นที่รัก ชายคนหนึ่งสวมชุดสีนกเป็ดน้ำยืนข้างนาง เขารุ่นราวคราวเดียวกับเสี่ยวเฉิน เขาดูเย็นชาและเงียบราวกับเป็นก้อนน้ำแข็งหมื่นปี เขามีนามว่าเสี่ยวฮั่น

เสี่ยวเฉินเดินไปที่โถงและทักศิษย์พี่จากนิกายสามพิสุทธิ์ จากนั้นพวกเขาก็กำลังจะออกเดินทาง

ผู้เฒ่าสิบคนและคนตระกูลเสี่ยวมากมายมาส่งพวกเขาที่ประตูภูเขา เสี่ยวหวังเอ๋อหันมาโบกมือให้คนเหล่านั้น

“กลับบ้านได้แล้วสหายข้า! แล้วเจอกันนะ!”

ชายหนุ่มชุดขาวเองก็หันไปยิ้มด้วยความอบอุ่น

“ท่านผู้อาวุโส ท่านกลับไปได้แล้ว”

มีรถม้ารอที่ตีนเขาอยู่แล้ว หลังจากพวกเขาขึ้นรถม้า เสี่ยวหวังเอ๋อได้เปิดม่านมาโบกมือลาผู้คนจนกระทั่งมองไม่เห็นพวกเขา

ชายหนุ่มชุดขาวจากนิกายสามพิสุทธิ์ยิ้มอย่างอ่อนโยน

“ข้ายังไม่ได้แนะนำตัว ข้ามีนามว่าเจิงหยิง เรียกข้าว่าศิษย์พี่เจิงก็พอ”

เสี่ยวหวังเอ๋อนั่งหลังตรงและยิ้มทันที

“ยินดีที่รู้จักพี่เจิงหยิง ข้าเสี่ยวหวังเอ๋อ เรียกข้าว่าหวังเอ๋อก็ได้”

เสี่ยวเฉินวางกล่องพิณไว้ข้าง ๆ และยิ้มเล็กน้อย

“ยินดีที่ได้พบศิษย์พี่เจิง ข้าชื่อเสี่ยวเฉิน”

เสี่ยวฮั่นมองท้องฟ้าครามและขยับริมฝีปากอย่างเย็นชา

“เสี่ยวฮั่น”

เจิงหยิงพยักหน้ามองหลิวรั่วและถาม

“แล้วข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอะไรล่ะ?”

หลิวรั่วนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอยู่เสมอ ตอนนี้นางก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไร เสี่ยวเฉินยิ้ม

“นางเป็นน้องสาวข้า นางคุ้นเคยกับการอยู่กับข้า นางจะติดตามข้าไปที่นั่นและไม่รับการทดสอบ”

วันนี้เป็นวันที่งดงามแจ่มใสในฤดูใบไม้ผลิ หลังจากที่รถม้าแล่นออกจากเมือง ใบหน้าและฝูงนกขมิ้นได้ต้อนรับพวกเขาพร้อมกับฝูงผีเสื้อร่ายรำท่ามกลางบุบผา เสี่ยวหวังเอ๋อพูดด้วยรอยยิ้ม

“พี่เจิงหยิง ทำไมเราถึงไม่ขี่กระบี่ไปเล่า?”

เจิงหยิงยิ้มเขิน ๆ

“พลังบ่มเพาะข้าต่ำต้อย ข้าขี่กระบี่ได้แค่ใกล้ประตูภูเขาของนิกายเท่านั้นเอง”

ตลอดทาง เสี่ยวหวังเอ๋อได้ถามคำถามประหลาดมากมาย นางดูเหมือนอยากจะสนิทกับเจิงหยิงให้ได้ แต่คำถามของนางนั้นทำให้เขาดูอึดอัดอยู่เสมอและหน้าแดงอยู่เป็นระยะ

“เรื่องเส้นปราณ ข้าไม่แน่ใจว่าศิษย์น้องมีมากเพียงใด เจ้าจะรู้เมื่อไปทดสอบที่นิกาย”

“ก็ได้…”

เสี่ยวหวังเอ๋อพยักหน้าและถามอีกครั้ง

“เราจะได้ฝึกตั้งแต่ที่ถึงนิกายเลยไหม? ข้าขอเป็นศิษย์ของศิษย์พี่เจิงหยิงได้รึเปล่า?”

เจิงหยิงเกาหัวและยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

“เจ้าจะต้องรับการทดสอบก่อนเมื่อไปถึง นิกายเราจะรับศิษย์ในเพียงห้าคนและศิษย์นอก 50 คน การแข่งขันนั้นเข้มข้น ขอให้พวกเจ้าทุกคนโชคดี…”

เสี่ยวเฉินมองเสี่ยวฮั่นและเห็นว่าเขามั่นใจ เสี่ยวเฉินนั้นมั่นใจว่าเสี่ยวฮั่นประสบความสำเร็จในวิชายุทธเหนือกว่าเสี่ยวหยวน เขาเชื่อว่าเสี่ยวฮั่นนั้นเจียมตัวไม่เปิดเผยพลัง

เสี่ยวหวังเอ๋อถามอีกครั้ง

“ตำหนักม่วงที่ศิษย์พี่เจิงหยิงพูดถึงมันอยู่ที่ใดรึ? มันคือบ้านของเหล่าเซียนรึเปล่า?”

นางดูไร้เดียงสาเมื่อนางพูด

เจิงหยิงยิ้ม

“ไม่ใช่แบบนั้น มันคือสถานที่ที่มีนิกายของเหล่าผู้บ่มเพาะพลัง พลังปราณที่นั่นอุดมสมบูรณ์กว่าโลกมนุษย์ ถ้าเจ้าไปถึงขอบเขตตั้งฐานแล้วเจ้าจะมีโอกาสถูกส่งไปที่ตำหนักม่วง คนที่จะถูกส่งไปนั้นมีจำกัดในทุกรอบ”

“เข้าใจแล้ว!”

เสี่ยวหวังเอ๋อพยักหน้าถามอีกครั้ง

“ศิษย์พี่เจิงหยิง ศิษย์พี่อยู่ระดับไหนในขอบเขตตั้งฐานรึ?”

เจิงหยิงเกาหัวและยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

“ความจริงก็คือข้ายังไม่ถึงขอบเขตตั้งฐานน่ะ ข้าเป็นขอบเขตชำระปราณขั้นหก”

“สุดยอด!”

“ไม่หรอก คนที่สุดยอดคือศิษย์พี่ม่อหยู เขาเป็นขอบเขตชำระปราณขั้นเก้าแล้ว เขาเป็นศิษย์ที่น่าจะได้ไปยังตำหนักม่วงมากที่สุด”

“ว้าว! ศิษย์พี่ม่อหยูแข็งแกร่งแค่ไหนกันนะ!”

เสี่ยวหวังเอ๋อจำชื่อนี้และตำหนักม่วงไว้ในใจ

สามวันผ่านไป รถม้าได้ออกมาจากเขตเมฆา ระหว่างทาง เสี่ยวหวังเอ๋อเป็นคนที่พูดมากที่สุด กลับกัน เสี่ยวฮั่นเพียงแค่ไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่มองท้องฟ้าครามเรื่อยไป

พวกเขาเข้าใกล้เขตสงบแล้ว ภูเขาเขียวมากมายและธารน้ำใสไหลลงมา มีภูเขาขนาดมหึมานับไม่ถ้วนที่สูงถึงเมฆ ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือเขาหลิงไถเพราะเป็นที่ตั้งของนิกายสามพิสุทธิ์

นานมาแล้ว นิกายสามพิสุทธิ์นั้นไม่เป็นที่รู้จักบนโลก จากนั้นวันหนึ่งก็มีคนบนสะพานเห็นบุรุษคนหนึ่งบินผ่านแสงสะท้อนในแม่น้ำ เขาหวาดกลัวขนหัวลุกและถามคนไปทั่ว กลายเป็นว่ามีนิกายบ่มเพาะพลังบนภูเขา ตั้งแต่นั้นมานิกายสามพิสุทธิ์ก็เป็นที่รู้จักต่อคนในจำนวนที่มากขึ้น

ผลที่ได้คือมีผู้คนนับไม่ถ้วนเข้าไปที่ภูเขานั้นด้วยความหวังจะได้เจอเซียนและใฝ่หาวิถี แต่เมฆและหมอกหนาจนพวกเขาไม่พบเส้นทาง ในหลายร้อยปีที่ผ่านมานิกายสามพิสุทธิ์ได้เริ่มรับศิษย์เป็นจำนวนมาก

ในตอนนี้ มีศาลาขนาดเล็กบนภูเขา ชายชราเส้นผมและเคราขาวกำลังดูการเคลื่อนไหวของเข็มทิศดวงดาวในมือของเขา เขาขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อดวงดาวขยับบนเข็มทิศดาว มือเขาเริ่มสั่น

นางในชุดขาวบินมาข้างเขาราวกับผี นางลอยอยู่โดยไม่แตะพื้น

“ศิษย์พี่ดูอะไรอยู่รึ?”

“ใครกัน?!”

ชายชราตกใจจนเมื่อสั่นและโยนเข็มทิศดาวทิ้ง แต่มันก็ชนกำแพงและเด้งกลับมาชนหน้าเขา เขาหันไปจ้องสตรีชุดขาวและขมวดคิ้ว

“ศิษย์น้องสาม? เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

“ข้ามาถามว่าศิษย์ใหม่ปีนี้ของเรามารึยัง ไม่เห็นต้องตกใจเลย”

นางในชุดขาวนั้นงดงามแต่เยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง นางมองเข็มทิศดาวเมื่อนางพูด แต่นางขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ศิษย์พี่ผนึกเข็มทิศดาวนี้เมื่อ 16 ปีก่อนไม่ใช่รึ? ทำไมถึงเอามันออกมาอีกแล้ว?”

ชายชราหันหน้ากลับไป เขามองเข็มทิศดาวและถอนหายใจ

“ศิษย์น้องสาม เจ้ายังจำเรื่องประหลาดบนท้องฟ้าตอนนั้นได้ไหม?”

“หมายถึงดวงดาวทั้ง 9 เรียงเป็นเส้นตรงรึ? จากนั้นมันก็กลายเป็นแสงทรงพลังยิงไปที่เขตเมฆา?”

ชายชราพยักหน้า เขาขมวดคิ้วแน่น

“เจ้าจำแปดคำที่ปรากฏบนเข็มทิศนี้ได้หรือไม่? ‘เทพอสูรกลับมา สูญสิ้นมาเยือน’ ตลอดมาไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่เมื่อสามวันก่อนตอนที่ข้าดูดาว ข้าเห็นเส้นทางที่เข็มทิศดาวบอก! ข้าจึงนำมันออกมายืนยันและเห็นเป็นเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นดาวร้ายยังขยับเข้ามาใกล้เราในสามวันนี้ ข้ากลัวว่าเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น…”

นางคิ้วขมวด

“จะบอกว่านิกายวายุนภากำลังจะกวาดล้างเรางั้นหรือ? พวกเขามีคนหนุนหลังในตำหนักม่วง พวกเราชนะไม่ได้แน่ถ้าเผชิญหน้าตรง ๆ”

ชายชราเหลือบมองนางอย่างเย็นชา

“ก็บอกให้เจ้าอ่านตำราดูบ้าง เจ้ารู้เรื่องยุคสูญสิ้นหรือไม่? ยุคสูญสิ้นคือจุดจบของทั้งโลกบ่มเพาะพลัง ผู้บ่มเพาะพลังทั้งมวลจะจมลงสู่วัฏสงสารและเริ่มใหม่อีกครั้ง ไม่ว่านิกายวายุนภาจะยิ่งใหญ่เพียงใด พวกเขาก็สูญสิ้นเช่นกัน!”

นางพยักหน้าเบา ๆ

“เข้าใจแล้ว แล้วถ้าทุกคนต้องตายอยู่ดีแล้วเราจะกังวลอะไรล่ะ?”

“นี่เจ้า…”

ชายชราไม่รู้จะพูดอะไร เขาถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง เขาลูบเคราและกลับไปที่เรื่องเดิม

“ยุคสูญสิ้นน่าจะเกิดขึ้นเมื่อเจ็ดพันปีก่อนในยุคสุดท้ายของผู้บ่มเพาะพลัง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรการสูญสิ้นถึงได้ถูกแก้ไข ไม่มีบันทึกคงเหลืออยู่เลย ถ้าหากมันเกิดขึ้นครั้งนี้ ทุกสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้จะต้องแตกดับ ข้ากลัวว่าพวกเซียนที่สูงส่งในตำหนักม่วงก็แทบเอาตัวไม่รอด ไม่ต้องพูดถึงการพูดถึงเซียนพเนจรบนโลกมนุษย์แบบพวกเรา น่าเสียดายที่เราส่งศิษย์ยอดเยี่ยมไปหลายคนตลอดมา”

นางยืนมือไพล่หลัง นางหันไปมองท้องฟ้า

“ฟังดูมีเหตุผล ถึงได้มีคนพูดว่า ‘ฟ้าดินไร้ความรัก ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับการปั้นสุนัข’”

ชายชราโมโหเมื่อได้ฟังนาง

“ข้าขอร้องเจ้านะ เจ้าไปอ่านตำราบ้างไหม? มันคือ ‘ให้อาหารสุนัข’ ไม่ใช่ ‘ปั้นสุนัข’ !”

นางพยักหน้าเบา ๆ อีกครั้ง

“มันก็แค่คำเดียวน่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ท่านก็เป็นศิษย์พี่ข้า ศิษย์พี่ก็แก้ให้ข้าแล้วกัน”

“เจ้า…”

ชายชราพูดไม่ออกอีกครั้ง เขาลูบเคราถอนหายใจ

“ศิษย์ใหม่เกือบจะมาถึงแล้ว หวังว่าจะมีคนมีพรสวรรค์บ้างนะ”

“สบายใจได้ศิษย์พี่ พวกที่มีพรสวรรค์น่ะไปที่นิกายวายุนภากับนิกายกระบี่คลื่นเย็นหมดแล้ว ไม่ต้องหวังอะไรหรอกนะ…”

“นี่เจ้า! ศิษย์น้องสาม! เจ้าจะพูดอะไรดี ๆ บ้างได้ไหม?! เราก็มีศิษย์ที่มีพรสวรรค์อยู่ไม่ใช่เรอะ?”

นางตอบ

“ก็เป็นศิษย์พี่นี่นา ศิษย์พี่พูดถูกทุกอย่างนั้นแหละ…”

“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การสอบเข้าครั้งนี้จะต้องยากกว่าเดิม เราต้องเลือกยอดคนในหมู่ยอดคน มิเช่นนั้นการประลองกระบี่เก้าแดนปีหน้า นิกายสามพิสุทธิ์จะต้องเป็นที่โหล่อีกแน่ จะอย่างไรนิกายเราก็เป็นนิกายเดียวที่ได้รับสืบทอดมรดกของราชาเซียนในยุคนั้น…”

ชายชราถอนหายใจไม่หยุด นางยิ้มอย่างเย็นชา

“มรดกของราชาเซียน นิกายสามพิสุทธิ์เป็นเบี้ยรองบ่อนมาหลายปีแต่ไม่มีราชาเซียนที่ไหนกลับมาเลยนะ”

นี่เป็นต้นเดือนสี่ ในตะวันออกของเขาหลิงไถมีเมืองเล็กหลายร้อยกิโลเมตรไกลออกไป มันเคยเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้มันขยายตัวเป็นเมืองใหญ่ที่มีนิกายสามพิสุทธิ์สนับสนุนการคลังให้

ในทุกสามปีหรือห้าปี เมืองหลิงไถจะคึกคักด้วยงานหนึ่งซึ่งนั่นคือพิธีรับศิษย์ของนิกายสามพิสุทธิ์ คนหลายพันคนจะมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงาน คนส่วนใหญ่นั้นเป็นขุนนางหรือตระกูลชนชั้นสูง ส่วนคนอื่นนั้นมาจากตระกูลพ่อค้า

เหตุผลที่พิธีรับศิษย์ได้ดึงดูดคนมาเป็นจำนวนมากนั้นมิใช่ว่านิกายสามพิสุทธิ์เป็นนิกายที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่กลับกันเป็นเพราะว่ามันเป็นนิกายที่ต้องการคุณสมบัติน้อยที่สุด ผู้คนสามารถเข้าสู่นิกายได้ด้วยเส้นปราณเดียวเท่านั้น ส่วนนิกายอื่นอย่างนิกายวายุนภานั้นต้องมีอย่างน้อยสามเส้นปราณ

หลายคนที่มีสามเส้นปราณยังคงถูกปฏิเสธได้ แทนที่พวกเขาจะรอเวลานับปี พวกเขาก็เลือกเข้านิกายสามพิสุทธิ์แทน ดังนั้นจึงมีคนที่มาสอบเข้าในจำนวนที่เยอะยิ่งกว่าเดิม ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องเท่าใดนัก แม้แต่คนที่ไร้เส้นปราณก็มาที่นี่เพื่อความสนุกสนาน

แน่นอนว่ามีนิกายมากมายสำหรับการบ่มเพาะพลังบนโลกใบนี้ มีเพียงนิกายสามพิสุทธิ์ นิกายเก้าเมฆา และนิกายกระบี่เย็นที่นับเป็นนิกายหลักทั้งสี่ เหตุผลที่ไม่เป็นสามนิกายหลักน่ะหรือ? ก็เพราะว่าพวกเขานั้นอ่อนแอ พวกเขาจะถูกนับว่าเป็นนิกายหลักได้อย่างไร?

นั่นก็เพราะว่าตำนานกล่าวว่าผู้ตั้งนิกายนั้นเป็นราชาเซียนที่มายังโลกมนุษย์เมื่อพันปีก่อนรึ?

ยามพลบคล่ำ เสี่ยวเฉินและคนอื่น ๆ มาถึงเมือง ผู้คนเดินกันมากมายบนถนนอันแออัด หลายคนขายของอย่างโอสถจิตลับ โอสถสอบผ่านแน่นอน จะคืนเงินถ้าสอบตก สมุนไพร…คืออะไรเทือกนั้น

เสี่ยวเฉินส่ายหน้าและยิ้มเมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้ เขาหยุดเดินเมื่อสังเกตเห็นบางอย่าง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด