ตอนที่แล้วตอนที่ 9 มนต์อสูรพิสดาร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 นิกายสามพิสุทธิ์

ตอนที่ 10 บงการ


“ว่าไงนะ!”

เสี่ยวเฉินลุกขึ้นยืนทันที

“ทำไมเจ้าเพิ่งมาบอกข้า!”

เขารีบออกไปจากสวนตรงไปหาพ่อเขาทันที

“ใช่ ข้าคิดว่าเป็นเซียนสีซู เจ้านิกายสามพิสุทธิ์ ดูเหมือนว่าแม้แต่ตระกูลเราก็ได้รับพรจากสวรรค์ให้มีคนเป็นเซียนได้ เราไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวตระกูลหวงฟูอีกต่อไป”

เสี่ยวยี่ฟานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เขายังอยู่ที่นี่หรือไม่?”

เสี่ยวเฉินถามด้วยความวิตก

“เขากลับไปเมื่อสองวันก่อนแล้ว มีข่าวว่ามีบุบผาชั่วร้ายประหลาดที่ดูดกลืนดวงวิญญาณมนุษย์ เขากับปู่เจ้าไปกับอาจารย์หลิงจื้อจากวิหารใบไม้ผลิเพื่อสืบเรื่องนี้”

เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วด้วยความท้อใจ เขานั้นแทบจะไม่สนใจเรื่องบุบผาชั่วร้าย เขาถามอีกครั้ง

“สามคนที่เซียนสีซูเลือกคือใครบ้างรึ?”

เสี่ยวยี่ฟานครุ่นคิดก่อนตอบ

“เสี่ยวฮั่น เสี่ยวหวังเอ๋อ และสุดท้ายเป็นพี่เจ้า เสี่ยวหยู…”

เสี่ยวเฉินตัวสั่นเครือด้วยความผิดหวัง โชคในการเป็นเซียนของเขาเล็ดรอดผ่านมือไปแล้วหรือ? เสี่ยวยี่ฟานเห็นสีหน้าหม่นหมองของลูกชาย

“พวกเขาจะออกเดินทางในอีกไม่กี่วัน พี่สาวเจ้าฝากบอกว่านางอยากจะบอกลาเจ้าก่อนนางออกเดินทาง”

“อย่างนั้นรึ…”

เสี่ยวเฉินตอบ เสียงของเขามีความหม่นหมองที่หนักอึ้ง ไม่นานเสี่ยวเฉินที่ดูหมดสภาพก็ได้ไปยังสวนที่เต็มไปด้วยบุบผาบานสะพรั่ง ใบไม้ร่วงโรยลงมาอย่างงดงามท่ามกลางสายลมอ่อนในสวนพร้อมกับกลิ่นหอมของบุบผา มันทำให้ทั้งจิตใจและดวงวิญญาณสดชื่นขึ้นแก่ทุกคนที่เดินเข้ามาในสวนสวรรค์แห่งนี้

ในตอนนั้น เสี่ยวเฉินรู้สึกถึงพลังอันรวดเร็วมาจากด้านหลัง เขารีบหมุนเท้าและพบปลาบกระบี่สีเขียวหยุดอยู่ที่หน้าผาก ที่ปลายกระบี่นั้นเปล่งแสงเยือกเย็น สาวน้อยอายุราวสิบเจ็ดปีถือกระบี่เล่มนี้

ผิวนางเรียบเนียนราวหิมะ คิ้วนางคมเข้มชัดเจน นางสวมชุดสีม่วงลายดอกไม้ เส้นผมตรงยาวถึงหลัง นางยืนพร้อมกับแสงที่อาบตัวราวแสงศักดิ์สิทธิ์ขนชุดสีม่วงของนาง

นางคือเสี่ยวหยู คุณหนูสามแห่งตระกูลเสี่ยว นางเป็นลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยวเฉินที่อายุแก่กว่าสามเดือน

เสี่ยวหยูหัวเราะชอบใจ

“ทำไมเจ้าไม่หลบกระบี่ข้าล่ะเจ้าหนู? ได้ยินมาว่าเจ้าสู้เป็นแล้ว นี่ล่ะเวลาดี! มาประลองกับข้า!”

มันแทบจะไม่เป็นความลับแก่ทุกคนในตระกูลเสี่ยวว่าคุณหนูสามนั้นเป็นคนที่รักในวิชายุทธ นางมีวิชากระบี่อันลึกล้ำจนแม้กระทั่งเสี่ยวหยวนยังต้องละอาย เสี่ยวหยวนนั้นไม่เคยกล้าอวดดีต่อหน้านาง

เสี่ยวเฉินหลักกระบี่เบา ๆ และถาม

“พี่มีเหตุอะไรถึงต้องลาข้ารึ?”

เสี่ยวหยูเก็บกระบี่เข้าฝักและหัวเราะเบา ๆ

“ตาเฒ่าคนหนึ่งมาที่นี่เมื่อสองวันก่อน บอกว่าข้ากำเนิดมาพร้อมเส้นปราณ เขาอยากรับข้าเป็นศิษย์ ฮื่ม วิชากระบี่ของพ่อข้าแข็งแกร่งกว่าวิชาของเจ้านั่นแน่นอน”

เสี่ยวเฉินเงยหน้า

“แต่นั่นมิใช่สำนักทั่วไป…มันคือนิกายบ่มเพาะพลังนะ…”

เสี่ยวหยูระเบิดเสียงหัวเราะ

“จะเป็นอะไรก็ช่าง ข้าไม่คิดจะเข้าร่วมกับพวกมันอยู่แล้ว อ๊ะ! บังเอิญนัก! เจ้าไปแทนข้าสิ!”

“ท่านพี่…”

กลับกลายเป็นเช่นนี้ เสี่ยวหยูต้องการเจอเขามิใช่เพื่อการบอกลาครั้งสุดท้าย แต่เป็นการให้เขาไปแทนนางโดยรู้อยู่เต็มอกว่าเสี่ยวเฉินนั้นสนใจและศึกษาการฝึกฝนเป็นเซียนอยู่ตลลอด

แม้จะอาจมีคำถามถึงเรื่องเทพและพลังเหนือธรรมดา แต่ย่อมไม่มีผู้ใดยอมทิ้งโอกาสไล่ล่าตามฝันและชีวิตนิรันดร์ไปได้ บางคนถึงกับวางอุบายกับคนอื่นเพียงเพื่อให้ได้โอกาสครั้งเดียวในชีวิตอันหาได้ยากนี้ แต่ถึงกระนั่นนางกลับยอมทิ้งโอกาสให้กับเขา…

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วเจ้าหนู เสี่ยวฮั่นกับเสี่ยวหวังเอ๋อเองก็ถูกเลือก เจ้าจะต้องไปทดสอบก่อนจึงจะถูกยอมรับอย่างแท้จริง ข้าหงุดหงิดเสี่ยวหวังเอ๋อที่นางเอาแต่คอยตามเสี่ยวหยวนทุกวันมานานแล้ว เจ้าต้องเก่งกว่าสองคนนั้นนะ”

เสี่ยวเฉินยิ้มเบา ๆ

“แน่นอน ขอบคุณมากนะท่านพี่”

เสี่ยวหยูใช้แขนข้างหนึ่งเกี่ยวคอเขามาใกล้นาง

“จงจำให้ขึ้นใจ เอาแม่สาวหวงฟูกลับมาเป็นภรรยาเจ้าให้ได้ในสามปี และคิดบัญชีกับชิ่นฉิวที่ทำให้เจ้าต้องขายหน้า”

เสี่ยวเฉินฝืนยิ้มกลับ แม้แต่เสี่ยวหยูก็ได้ยินข่าวนี้ เขากลับไปที่เรือนเซียนวารี เขาต้องการจะไปบอกข่าวกับพ่อแม่ เสี่ยวยี่ฟานนั้นดีใจมากแต่ซูฉิงอารมณ์ร้ายจนน่ากลัว

“เจ้าจะไปไม่ได้นะ!”

เสียงกรีดร้องทำให้เสี่ยวเฉินและพ่อของเขารวมถึงหลิวรั่วที่กำลังทำความสะอาดสะดุ้งโหยงพร้อมกัน เสี่ยวเฉินหันมาหาแม่และพบว่าสีสันบนใบหน้านางหายไปจนหมดจนซีดราวกับผี เขาไม่เคยได้พบได้เห็นแม่ในสภาพนี้มาเกินสิบปีแล้ว

“ท่านแม่…”

“ข้าพูดจริงนะ! เจ้าไปไม่ได้! ทำไมเจ้าจะต้องออกไปเรียนวิถีการเป็นเซียนด้วย! เจ้าจะต้องอยู่บ้านไม่ออกไปไหน!”

ซูฉิงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว

เสี่ยวยี่ฟานงุนงงและตกใจเพราะเขาไม่เคยเห็นภรรยาของเขาโกรธจนถึงขั้นนี้ เขาต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะตั้งสติได้และเดินไปคุยกับซูฉิงอย่างอ่อนโยน

“เจ้าโมโหอะไรรึซูฉิง…”

ซูฉิงมองเขา

“ข้าไม่เคยต่อต้านท่านและจะไม่มีวันกล้าขัดคำที่ท่านชี้แนะ แต่ครั้งนี้ข้าไม่ยอม”

นางเรียกคนคุ้มกันที่ยืนอยู่ด้านนอกเข้ามา

“พวกแก! พาตัวนายน้อยกลับไปที่เรือนเถาวัลย์ม่วง! ห้ามให้เขาออกไปไหนหนึ่งเดือน!”

ชายสองคนเข้ามาจากด้านนอก เสี่ยวยี่ฟานชี้พวกเขาทั้งสองและสั่ง

“หยุดเดี๋ยวนี้! ยืนอยู่ตรงนั้น!”

เขาจับตัวชูฉิงและค่อย ๆ พานางไปนั่งบนเก้าอี้ เขายิ้มอย่างอ่อนโยน

“เจ้าดูสิซูฉิง ลูกเราโตแล้วนะ เราต้องเข้าใจว่าเรายื้อเขาไม่ได้นาน เขาต้องออกไปเจอความยิ่งใหญ่ของโลกและใช้พรสวรรค์ของตัวเอง…”

ชูฉิงพูดโต้กลับตั้งแต่ที่เขายังพูดไม่จบ

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าจะไม่มีวันยอมให้เขาจากเราไป”

เสี่ยวเฉินแทบไม่เชื่อหู ทำไมกัน? ทำไมแม่เขาจึงห้ามให้เขาศึกษาวิถีการเป็นเซียน? เขาจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนและหาอาจารย์ของเขาได้อย่างไรถ้าหากเขาถูกห้ามเช่นนี้?

เขาคุกเข่าลง

“ท่านแม่ ข้าขอโทษ ข้าเตรียมใจมาแล้ว ข้าได้แต่ขอให้ท่านแม่ให้อภัยลูกอกตัญญูคนนี้ ถ้าท่านแม่ยังคงอยากจะหยุดข้…”

“เจ้า!”

ซูฉิงหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม เสี่ยวยี่ฟานเศร้าหมอง

“อ๊ะ! เจ้าทำอะไรน่ะลูก! ลุกขึ้นมา!”

หลิวรั่วขมวดคิ้วด้วยความเศร้า

“นายน้อยลุกขึ้นเถอะ อย่าทำให้คุณผู้หญิงซูโมโหไปเลย”

แม้แต่นางเองก็ตกตะลึงกับความโมโหของซูฉิง

“ข้าขอโทษนะท่านแม่ แต่ข้าจะไม่ลุกจนกว่าท่านแม่จะยอมให้ข้าไป”

ชูฉิงในความโกรธเกรี้ยวคว้าไม้ปัดฝุ่นที่หลิวรั่วถืออยู่และเดินกระทืบเท้าไปหาเสี่ยวเฉิน

“เจ้าจะไม่ลุกขึ้นเรอะ?”

เสี่ยวเฉินเงียบ เสี่ยวยี่ฟานพูดกับคนเฝ้ายามสองคน

“พวกเจ้ามองอะไร! กลับไปประจำที่!”

“ครับใต้เท้า!”

พวกเขาทั้งสองตอบและเดินไปทันที

ชูฉิงอดกลั้นโทสะอันเข้มข้นและกำลังจะฟาดเสี่ยวเฉินด้วยไม้ปัดฝุ่น แต่หลิวรั่วเข้ามาขวางในทันทีและร้องไห้ นางพยายามปกป้องเสี่ยวเฉินจากการฟาดอันโกรธเกรี้ยว

“อย่านะคุณหญิงซู! ข้าขอร้อง!”

ชูฉิงชะมัดมือและโยนไม้ปัดฝุ่นทิ้งกับพื้นก่อนจะเดินจากไป นางกลับมาในอีกไม่นาน

“ฟังข้านะ การไล่ตามการเป็นเซียนมิใช่สิ่งที่เจ้าคิด เจ้าไม่รู้ว่ามันต้องแลกกับราคาที่น่ากลัวขนาดไห…”

เสี่ยวเฉิยเงยหน้า

“ข้ารู้ ท่านแม่ การเดินทางสู่วิถีเซียนนั้นมีอันตรายสูงสุดที่รออยู่ข้างหน้า แต่ข้ามีคำถามในหัวใจที่ต้องการคำตอบ คำถามที่ต้องตอบด้วยวิธีการนี้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นข้าคงเสียใจไปตลอดชีวิต”

หลายชั่วโมงผ่านไป ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปทางตะวันตก ริมฝีปากซีดขาวของซูฉิงขยับในที่สุด

“ลุกขึ้นเถอะ…”

“ทะ ท่านแม่…อนุญาตข้าแล้วรึ?”

เสี่ยวเฉินพูดด้วยความดีใจ

ซูฉิงไม่ตอบ เสี่ยวยี่ฟานมองหลิวรั่วที่เข้าใจสัญญาณท่าทางของเขาและเข้ามาช่วยพยุงนายน้อยขึ้น เสี่ยวยี่ฟานหัวเราะ

“คืนนี้ข้าจะทำกับข้าว”

จากนั้นเขาจึงเตรียมกับข้าวเต็มโต๊ะ แต่ไม่มีใครหยิบตะเกียบขึ้นมากินได้ น้ำตาไหลอาบแก้มซูฮิงเงียบ ๆ นางฝืนใจอดทนต่อความเศร้าในการที่จะต้องเห็นลูกชายจากไป

… …

ในคืนนั้น จันทราสีเงินอยู่บนนภา เสี่ยวเฉินมองพระจันทร์กลมสว่าง เขานอนไม่หลับเพราะคิดถึงสาเหตุที่แม่ของเขาไม่ยอมอนุญาตให้เขาเข้าสู่วิถีเซียน และจู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่ามู่เจิงเสวี่ยเคยบอกเขาว่ามีคนที่จงใจผนึกเส้นปราณของเขาโดยใช้พลังที่แข็งแกร่งและเปลี่ยนชะตาของเขา

ความคิดนั้นทำให้เขาลุกขึ้นจากพื้น หรือว่าจะเป็นฝีมือของแม่เขา? ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ที่แม่ของเขาจะมีพลังมหาศาลอย่างนั้น แต่จะมีเหตุผลเบื้องหลังการปฏิเสธของแม่ล่ะ? นางเป็นใครกันแน่…

เสี่ยวเฉินนอนไม่หลับเพราะคิดถึงเรื่องนี้ตลอดคืน สองวันผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในวันที่สาม ศิษย์นิกายสามพิสุทธิ์ได้มาที่ตระกูลเสี่ยวเพื่อพาสามคนไปสู่นิกาย

ที่เรือนเซียนวารี ใบหน้าซูฉิงว่างเปล่าไร้อารมณ์ นางถามอีกครั้ง

“เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหม?”

เสี่ยวเฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรแสดงความแน่วแน่ บนแผ่นหลังของเขามีกระเป๋าใส่พิณหยก

เสี่ยวยี่ฟานให้เครื่องรางนำโชคกับลูกชาย เขากระซิบ

“แม่ทำสิ่งนี้ให้เจ้า ภายในนั้นเสี้ยวหยกโลหิตที่เป็นมรดกตระกูลเรา มันถูกแบ่งเป็นสี่ส่วนและหนึ่งส่วนนี้เป็นของเจ้า”

เสี่ยวเฉินรับเครื่องรางจากพ่อ แต่ทันทีที่เขาสัมผัสมันเขาก็รู้สึกถึงสิ่งที่คุ้นเคยกับเขาที่สุด เขาใส่สัมผัสเทพลงไปและพบว่ามันคือเสี้ยวของหยกสังสารวัฏ!

หยกสังสารวัฏนั้นเป็นหยกโลหิตที่เก่าแก่เป็นอย่างยิ่ง เป็นสมบัติที่อยู่ได้หลายยุคสมัยเพื่อปกป้องดวงวิญญาณของผู้ครอบครอง ในยุคสมัยก่อน เป็นอาจารย์เขาที่ผนึกดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ในหยกสังสารวัฏแต่เขาไม่เคยรู้ว่ามันแตกและมาอยู่ที่ตระกูลเสี่ยว!

แต่ในตอนนี้ เขารู้สึกหวาดกลัวและกังวล เกิดอะไรกับเขากันแน่? การตื่นขึ้นมาของเขาในยุคนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องที่ถูกบงการเอาไว้โดยคนที่เขาไม่รู้!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด