บทที่ 86 นักฝึกสัตว์อสูรในเมืองใหญ่
เวลาเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับโชคชะตา
บางครั้ง มันก็เร็วมากเป็นพิเศษ และบางครั้ง มันก็ช้ามากเป็นพิเศษ
ตัวอย่างเช่น ในระหว่างการเพิ่มแต้ม ซืออวี๋รู้สึกว่าเวลานั้นเร็วมากเป็นพิเศษ
หลังจากเพิ่มแต้ม อ่านหนังสือ และนอนหลับ ซืออวี๋ก็รู้สึกว่าเขาไม่มีอะไรให้ทำเลย ในชั่วพริบตาก็ได้มาถึงวันที่สี่เดือนกันยายนแล้ว
ซืออวี๋ตื่นก่อนรุ่งสาง ท้ายที่สุด เขาต้องไปทันให้เวลาบินช่วงเช้า เขตผิงเฉิงอยู่ค่อนข้างไกลจากสนามบินเมืองทุ่งน้ำแข็ง เขาจึงทำได้เพียงแค่เสียสละเวลานอนเท่านั้น
“หาววว…” ในบ้านฝึกฝน ซืออวี๋ผู้ที่กำลังหาวได้เริ่มเก็บกระเป๋าเดินทางของเขา ดวงตาของเขาดูง่วงนอนมาก
เมื่อเขาเก็บของเสร็จ รถด่วนที่เขาจองไว้ก็ได้จอดรอเขาแล้ว หลังจากเข้าไปในรถ ซืออวี๋ก็หรี่ตาลงและพักผ่อนช่วงสั้นๆ
“คนหล่อ เรามาถึงแล้ว”
เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เดิมทีซืออวี๋ใช้การทำสมาธิเพื่อชดเชยความง่วงของเขา ทว่าเมื่อเขาได้ยินคนขับรถเรียกเขา เขาก็หายง่วงแล้ว
เมื่อเห็นหน้าตาอันซื่อสัตย์ของคนขับรถ เขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายน่าจะกล่าวออกมาจากหัวใจ
“เรามาถึงแล้วเหรอ? ขอบคุณมาก”
ซืออวี๋ยิ้มออกมาและจ่ายค่าโดยสาร จากนั้นเขาก็ลงจากรถพร้อมกับกระเป๋าเดินทางและโบกมือลาคนขับรถ
แม้ว่ามันถูกเรียกว่ากระเป๋าเดินทาง อันที่จริง มันเป็นกระเป๋าใบเล็กซึ่งมีเอกสารประจำตัวและขวดน้ำ สำหรับของอย่างอื่น พวกมันถูกโยนเข้าไปในลูกปัดซากปรักหักพังแล้ว…
ซืออวี๋เหลือบมองไปที่เวลา ตอนนี้แปดโมงครึ่งแล้ว เขารู้สึกว่าเขากินอะไรได้บ้าง?
เขามองไปรอบตัวและตระหนักว่ามีฝูงชนอยู่ที่สนามบิน สำหรับสิ่งที่เขากินได้ ซืออวี๋เห็นเพียงแค่แพนเค้กไข่ ห่อเนื้อ ไส้กรอกย่าง และข้าวโพดต้ม… เนื่องจากตอนนี้ยังเช้าอยู่ ซืออวี๋จึงซื้อนมถั่วเหลืองหนึ่งถ้วยและห่อเนื้อเพื่อกินพวกมัน
[พวกเจ้าจัดการด้วยตัวเองเลย] ซืออวี๋กล่าวกับอีเลฟเว่นและบักกี้ในลูกปัดซากปรักหักพังอยู่รอบคอของเขา
จากนั้นเขาก็เริ่มวิ่งไปที่สนามบิน ตอนนี้ก่อนที่ซืออวี๋จะขึ้นเครื่องบิน เขาก็มีคำถาม หากเครื่องบินเป็นจักรกลชีวิต ใครรับผิดชอบเรื่องห้องน้ำล่ะ? แม้ว่ามันจะสามารถลบสภาพแวดล้อมภายในได้ แต่ช่างกลผู้ที่รักสะอาดคงไม่สามารถเป็นนักบินได้…
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซืออวี๋ก็ลงทะเบียนเสร็จและผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว ในตอนแรก เขากังวลว่าลูกปัดซากปรักหักพังอาจเป็นสิ่งของต้องห้าม ทว่าดูเหมือนว่าพวกเขาจะตรวจไม่พบอะไรเลย
ความปลอดภัยของสายการบินนี้ย่ำแย่มาก!
จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนยัดระเบิดเข้าไปในอุปกรณ์เก็บของที่มองไม่เห็นและนำมันขึ้นมาบนเครื่องบินล่ะ?
เอ่อ… ดูเหมือนจะไม่ต้องลำบากเช่นนั้น ท้ายที่สุด นักฝึกสัตว์อสูรนั้นแหละที่เป็นระเบิดเคลื่อนที่
“เที่ยวบินสู่เมืองหลวงโบราณกำลังจะออกเดินทางแล้ว…” ในพื้นที่รอ ซืออวี๋ได้ยินเสียงประกาศ เขาเริ่มหยิบโทรศัพท์และเริ่มแสกน
[ชื่อ] : อัสนีเอ็มฟิฟตี้
[คุณสมบัติ] : จักรกล
[ระดับเผ่าพันธุ์] : ผู้บัญชาการขั้นกลาง
[ระดับการเติบโต] : ???
[ทักษะเผ่าพันธุ์] : ???
[หมายเหตุ] : จักรกลชีวิตเทียม ใช้สำหรับการต่อสู้ การขนส่ง และการลาดตระเวน
เมื่อมองดูข้อมูลของเครื่องบินแล้ว มีช่องว่างเปล่ามากเกินไป ซืออวี๋ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่ควรจะพบกับนกที่บินมาชนเครื่องบินเช่นนี้ใช่ไหม? แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์อสูรนก แต่มันก็อาจจะถูกยิงตกก่อนที่มันจะได้เข้าใกล้เครื่องบิน
“สารบัญทักษะนี้ไม่ได้บันทึกข้อมูลที่ละเอียดเกี่ยวกับทักษะของเครื่องบินเลย… ทว่านั่นก็เป็นเรื่องปกติ หากมีรายละเอียดถูกเผยแพร่มากเกินไป หากมีการปล้นเครื่องบินจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ?” จิตใจของซืออวี๋เต็มไปด้วยความคิดมากมาย เขาปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับเครื่องบินไม่ได้
“เฮ้อ เตรียมตัวออกเดินทางกันเถอะ” ซืออวี๋ลุกขึ้นมาจากที่นั่งและมองออกไปนอกกระจก เขาแตะลูกปัดซากปรักหักพังที่คอของเขาและสูดหายใจเข้าลึก
เมืองทุ่งน้ำแข็ง สนามบินทุ่งน้ำแข็ง
ในไม่ช้า เครื่องบินจักรกลชีวิตที่ชื่อว่าอัสนีเอ็มฟิฟตี้ก็บินขึ้นไปอย่างเชื่องช้า หลังจากเครื่องขึ้นแล้ว ซืออวี๋ก็ไม่พบความแตกต่างระหว่างมันกับเครื่องบินธรรมดาเลย บางทีหลังจากเผชิญหน้ากับอันตราย มันอาจจะแสดงคุณสมบัติที่แท้จริงออกมาในร่างจักรกลชีวิตก็ได้
แม้ว่าซืออวี๋จะต้องการสัมผัสว่านักบินช่างกลและเครื่องบินลำนี้จะมีการตอบสนองยังไงต่อสภาพอากาศอันเลวร้าย แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้เครื่องบินลำนี้เกิดปัญหาได้ เขาไม่ใช่เด็กประถมที่ชอบสร้างปัญหา
เครื่องบินสีขาวที่สวยงามได้พาดผ่านท้องฟ้า แบ่งท้องฟ้าออกเป็นสองส่วน เมื่อซืออวี๋ได้ยินการแจ้งเตือนว่าเที่ยวบินกำลังจะสิ้นสุดลง ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ
ซืออวี๋ออกจากการทำสมาธิและมองออกไปนอกกระจก เมืองที่ไม่คุ้นเคยปรากฎขึ้นในสายตาของเขา อาคารนับไม่ถ้วนก็ใหญ่ขึ้น
…
ที่สนามบินเมืองหลวงโบราณ
หลังจากมาถึงจุดหมาย ซืออวี๋ก็รีบออกจากฝูงชนที่หนาแน่น เขาไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่แออัด
หลังจากออกไปอย่างรวดเร็ว ซืออวี๋ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและเริ่มเปิดการนำทางไปยังมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ
พื้นที่ทั้งหมดของวิทยาเขตและสถานที่ฝึกฝนต่างๆ ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณเทียบได้กับขนาดของทั้งเขตผิงเฉิง มันใหญ่มาก กล่าวตามตรง พื้นที่ของเก้ามหาวิทยาลัยหลักแห่งตงหวงนั้นกว้างขวางมาก
ด้วยเหตุนี้ วันเปิดมหาวิทยาลัยเหล่านี้จึงกินเวลาประมาณหนึ่งเดือน มิฉะนั้น ผู้สมัครที่มาจากสถานที่อันห่างไกลเพื่อเตรียมตัวอาจไม่สามารถเดินได้ทั่วมหาวิทยาลัย
ซืออวี๋ไม่ได้วางแผนที่จะเดินทั่วมหาวิทยาลัยตั้งแต่วันแรก ในวันนี้ เขาจะทำความคุ้นเคยกับเส้นทางก่อน
“สาขาการต่อสู้ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณนั้นไม่ดีมากนัก และสาขาการเพาะพันธุ์ก็เช่นกัน มีเพียงสาขาโบราณคดีที่ดูเหมือนจะดีงั้นเหรอ?”
ซืออวี๋พึมพำในใจในขณะที่เขาสำรวจ และนึกถึงเรื่องเล่าตามอินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวนี้เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยขั้นนำอื่นเช่นกัน การที่ทุกมหาวิทยาลัยมีสาขาที่ดีของตัวเองนั้นเป็นเรื่องปกติ
ยิ่งกว่านั้น แม้ว่ามันจะเป็นสาขาที่ไม่เป็นที่นิยม แต่มันก็ไม่ได้อ่อนแออย่างแท้จริง ยังมีผู้ที่เก่งกาจจำนวนมากรวมตัวกันที่สาขาเหล่านั้น โดยพื้นฐานแล้ว นักศึกษาล้วนเป็นนักฝึกสัตว์อสูรมืออาชีพอายุประมาณ 20 ปี ส่วนอาจารย์มีตั้งแต่ระดับปรมาจรย์ พลังของพวกเขานั้นทรงพลังมาก
“วิทยาเขตทางเหนือใกล้ที่สุดซึ่งเป็นอาณาเขตของสาขาการต่อสู้ ไปดูที่นั่นกันก่อนดีกว่า” หลังจากยืนยันตำแหน่งแล้ว ซืออวี๋ก็เริ่มออกเดินทาง
[พวกเจ้าต้องการออกมาพักหายใจไหม?] ในเวลาเดียวกัน ซืออวี๋ก็เอ่ยถามอีเลฟเว่นและบักกี้ในลูกปัดซากปรักหักพัง
“อู๋!”
“จิ๋!”
“ตกลง” ซืออวี๋ยักไหล่อย่างอดไม่ได้ เขาทำได้เพียงแค่ไปด้วยตัวเองเท่านั้น
ซืออวี๋ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาเดินทางนานเพียงใด ทว่าในไม่ช้าเขาก็ได้มาถึงประตูทางเหนือของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ
เนื่องจากบังเอิญว่ามันเป็นวันเปิดมหาวิทยาลัย จำนวนผู้คนที่มารวมตัวกันที่นี่จึงมหาศาล ประตูขนาดใหญ่ที่สูงนับร้อยเมตรตั้งเรียงกันเป็นแถว มันช่างสง่างามและงดงามมาก ด้านนอกประตู นักฝึกสัตว์อสูรรุ่นเยาว์และสัตว์อสูรของพวกเขามองไปที่คำว่า ‘มหาวิยาลัยเมืองหลวงโบราณ’ ด้านบนด้วยความคาดหวัง หัวใจของพวกเขาเต้นแรงมาก
กลุ่มนักฝึกสัตว์อสูรนี้ดูราวกับพ่อแม่ที่พาลูกมาดูมหาวิทยาลัย แน่นอน ลูกของพวกเขาก็คือสัตว์อสูร
“...” ซืออวี๋มองไปที่นักฝึกสัตว์อสูรคนอื่นที่มาพร้อมกับสัตว์อสูรของพวกเขา ในขณะที่เขาอยู่เพียงลำพัง เขารู้สึกอึดอัดใจในทันที
ในชีวิตก่อนของเขา เมื่อเขาออกไปเล่นกับเพื่อนของเขา คนอื่นต่างก็มีแฟนสาวติดตามไปด้วย แต่เขากลับไม่มี นั่นคือเรื่องปกติ
ในปัจจุบัน การอวดแฟนสาวไม่เป็นที่นิยมแล้ว การอัญเชิญสัตว์อสูรหายากออกมานั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก
ซืออวี๋ต้องการที่จะอวดอสูรกินเหล็กของเขา ทว่าน่าเสียดาย อสูรกินเหล็กตัวนี้คิดว่าการเดินเล่นนั้นเป็นเรื่องเสียเวลาและปฎิเสธที่จะออกมา มันกล่าวกับเขาว่าให้เรียกมันออกเมื่อมีการต่อสู้
“ถ้าเช่นนั้นเราหาคู่ต่อสู้ดีกว่า!” ซืออวี๋คาดการณ์ว่าด้วยนักฝึกสัตว์อสูรรุ่นเยาว์จำนวนมากที่นี่ ต้องมีสถานที่สำหรับต่อสู้ในมหาวิทยาลัย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้า
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอังเอิญหรืออะไรบางอย่าง ทว่าก่อนที่เขาจะก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้น เขาก็เห็นชายหนุ่มที่แต่งตัวหรูหราที่ตะโกนพร้อมกับถือไม้เซลฟี่
“สาขาต่อสู้! มีใครต้องการต่อสู้ไหม? ข้าอยู่ยงคงกระพัน พวกเจ้าจะมาเมื่อไหร่ก็ได้”
เสียงตะโกนของเขาดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากในทันที ทำให้หลายคนมองเขา
คนทั่วไปไม่กล้าที่จะตะโกนเช่นนั้น พวกเขากลัวว่าจะดูไม่ดีในสายตาคนอื่น
อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกคนเห็นว่าเขาถืออุปกรณ์บางอย่าง พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเขาถึงกล้าหาญเช่นนี้
“สตรีมเมอร์เหรอ?” หลายคนยิ้มและพบว่าเรื่องน่าสนใจ
ซืออวี๋กก็พบว่านั่นน่าสนใจเช่นกัน ทว่าคำกล่าวต่อไปของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาหันหลังและจากไป
“เงื่อนไขก็คือระดับกึ่งมืออาชีพและสัตว์อสูรทั้งสองตัวควรอยู่ระดับเหนือธรรมชาติ ต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง พวกระดับต่ำอย่ามายุ่ง”
ดี ลาก่อน!
ซืออวี๋รู้สึกเจ็บปวดมาก คนแบบไหนกัน? มีใครอยากเข้าร่วมกับมาตรฐานนี้กัน?
อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากที่อีกฝ่ายตะโกนออกมา ชายหนุ่มอายุเท่ากับซืออวี๋ก็กล่าวด้วยความสนใจว่า “ข้าเอง”
ซืออวี๋ :“…”
ระดับกึ่งมืออาชีพหมายความว่าเขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูรที่เหนือกว่าระดับฝึกหัด ทว่าเขาไม่ผ่านการประเมินมืออาชีพ
กล่าวตามเหตุผลแล้ว คนหนุ่มสาวที่มาดูมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณยังไม่ใช่นักฝึกสัตว์อสูรมืออาชีพ ท้ายที่สุด ทุกคนมาที่นี่เพื่อลงืะเบียนในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม หากไม่ใช่นักฝึกสัตว์อสูรมืออาชีพ ผู้คนที่นี่มักจะมีสองระดับ
ฝ่ายหนึ่งคือมิติฝึกสัตว์ระดับหนึ่งเช่นซืออวี๋ และสัตว์อสูรอยู่ในระดับปลุกตื่น
อีกฝ่ายหนึ่งคือระดับกึ่งมืออาชีพที่มาถึงระดับสองของมิติฝึกสัตว์อสูรและสัตว์อสูรของพวกเขาก็อยู่ในระดับเหนือธรรมชาติ ทว่ายังไม่ได้เข้าร่วมการประเมิน
เห็นได้ชัดว่าในบรรดารุ่นเยาว์กลุ่มนี้ที่วางแผนจะสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ มีกลุ่มอัจฉริยะที่มีมิติฝึกสัตว์อสูรระดับสองและได้บ่มเพาะสัตว์อสูรของพวกเขาจนถึงระดับเหนือธรรมชาติทั้งสองตัวแล้ว
“ยังมีเวลาเหลืออีกสี่เดือน ไม่ต้องรีบ เมื่อถึงเวลา อีเลฟเว่นและบักกี้ก็ควรจะอยู่ระดับเหนือธรรมชาติเช่นกัน”
ซืออวี๋ปลอบตัวเอง
“สหาย เจ้าต้องการต่อสู้ไหม?” ตามที่คาดไว้ นักฝึกสัตว์อสูรที่มายังวิทยาเขตทางเหนือไม่ใช่ขี้ขลาด เมื่อมีคนเปิดก็ต้องมีคนตาม มีนักฝึกสัตว์อสูรคนหนึ่งมาเชิญซืออวี๋เข้าร่วมการต่อสู้
ซืออวี๋เหลือบมองเขาและเอ่ยถามว่า “สัตว์อสูรของเจ้าอยู่ระดับไหน?”
“เหนือธรรมชาติขั้นต่ำ” ชายหนุ่มผู้นี้กล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ
ซืออวี๋กล่าวว่า “ตกลง ข้าแทบจะรอไม่…”
ชายหนุ่มผู้นี้เอ่ยถามว่า “แล้วเจ้าล่ะ?”
“ระดับปลุกตื่นขั้นเก้า”
ชายหนุ่ม : ( ̄ _, ̄)
เขากลอกตาและหันจากไป เขารู้สึกว่าการต่อสู้กับซืออวี๋เป็นการเสียเวลาเปล่า ทิ้งซืออวี๋ผู้ที่สับสนไว้ข้างหลัง
เจ้าดูถูกใครกัน?!
ถ้าข้าอยู่ระดับปลุกตื่นแล้วทำไมเหรอ? ไม่ใช่ว่าข้าไม่สามารถต่อสู็ได้ด้วยอสูรกินเหล็กระดับปลุกตื่นขั้นเก้า!
“อ่าา นี่…” กล่าวโดยย่อแล้ว ซืออวี๋ไร้คำกล่าวในขณะที่เขามองดูอีกฝ่ายจากไป
จากนั้นซืออวี๋ก็วิเคราะห์เรื่องนี้ อสูรกินเหล็กในปัจจุบันอาจสามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับเหนือธรรมชาติที่แท้จริงได้
แน่นอน นั่นต้องขึ้นอยู่กับอีกความเชี่ยวชาญทักษะของอีกฝ่ายไม่สูงมากนัก และระดับเผ่าพันธุ์ของเขาก็ไม่สูงมากเช่นกัน ในขณะเดียวกัน คู่ต่อสู้ก็ไม่ควรมีพรสวรรค์การเสริมพลัง…
เอ่อ ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ปลอดภัยเล็กน้อย
“ลืมไปเถอะ ข้าจะไม่ต่อสู้แล้ว ข้าเดินดูรอบๆ ก็พอแล้ว” ซืออวี๋หาว เขาตัดสิใจที่จะเดินดูบริเวณโดยรอบและกลับไปนอน!
…
ในวิทยาเขตทางเหนือของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ มีห้องโถงต่อสู้จำนวนมาก
ในระหว่างการเปิดมหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยได้สนับสนุนให้นักฝึกสัตว์อสูรรุ่นเยาว์ที่มาดูนั้นต่อสู้กัน
สำหรับกรรมการ พวกเขาเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นอาสาสมัคร ตราบใดที่มหาวิทยาลัยมอบหน่วยกิตแก่พวกเขา คนจำนวนมากก็เต็มใจที่จะมาที่นี่และทำหน้าที่เป็นเอ็นพีซี
“บัดซ* ดุเดือดมาก”
ในขณะที่ซืออวี๋เดินไปรอบๆ เขาก็มาถึงห้องโถงต่อสู้ ขนาดของห้องโถงต่อสู้นั้นใหญ่กว่าสนามประลองที่แข่งขันกันเพื่อเข้าสู่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการในตอนนั้นมาก มันถูกแบ่งออกเป็นหลายสนามประลอง และในตอนนี้ก็มีชีวิตชีวามาก
เขาเพิ่งมาถึงขอบสนามประลองในตอนที่เขาได้ยินเสียงคนกรีดร้องออกมาจากด้านข้าง
ซืออวี๋มองไปที่สนามประลอง นักฝึกสัตว์อสูรสองคนที่อาจแก่กว่าเขาไม่มากนักกำลังต่อสู้กันอยู่
หนึ่งในสัตว์อสูรทั้งสองฝั่งก็คือเต่าจระเข้วารีดำ และอีกตัวคือกิ้งก่าศิลาดิน ระดับการเติบโตของสัตว์อสูรทั้งสองตัวอยู่ระดับเหนือธรรมชาติ ดังนั้นพลังของพวกมันก็แข็งแกร่งอย่างผิดปกติ
นี่เป็นเพราะหลังจากที่สัตว์อสูรเข้าสู่ระดับเหนือธรรมชาติ ระดับพลังงานของพวกมันจะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ
หากพลังงานของสัตว์อสูรระดับปลุกตื่นเป็นเหมือนกันกรแสลมอันอ่อนแอ ถ้าเช่นนั้นพลังงานของสัตว์อสูรระดับเหนือธรรมชาติก็เหมือนกับกระแสลมอันบางเบาที่มีคุณภาพสูงยิ่งกว่า
การเปลี่ยนแปลงแปลงของพลังงานที่เกิดจากทักษะสัตว์อาูรก็คือการเพิ่มพลังของทักษะ!!
บูมมม
ในสนามประลอง กิ้งก่าศิลาดินได้สร้างกำแพงทรายขึ้นมา แม้ว่ามันจะเป็นทักษะระดับต่ำ แต่เมื่อพิจารณาจากความเร็วการควบแน่นและโครงสร้างกำแพง ความเชี่ยวชาญของมันได้ถูกฝึกฝนจนถึงขั้นชำนาญแล้ว
“กรรร!!!”
อย่างไรก็ตาม กำแพงทรายก็ได้ถูกทำลายโดยปืนใหญ่น้ำที่ควบแน่นอยู่ในปากของเต่าจระเข้วารีดำ มันประสบความสำเร็จในการใช้ทักษะโดนกิ้งก่าศิลาดิน
ทักษะระดับกลาง ปืนใหญ่น้ำ!
จากลักษณะแล้ว ความเชี่ยวชาญทักษะของมันยังไม่ถึงขั้นชำนาญ ทว่าเพราะการยับยั้งทางคุณสมบัติของมัน มันจึงทำให้กิ้งก่าศิลาดินถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ที่นี่ยาวนานมากซึ่งต่างจากการต่อสู้ระดับฝึกหัดที่สั้นมาก หลังจากที่กิ้งก่าศิลาดินกระเด็นออกไปสองสามเมตร มันก็ยืนขึ้นในทันทีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และมองไปที่คู่ต่อสู้ของมันด้วยความโกรธ
“พรสวรรค์การเสริมพลังน้ำ พรสวรรค์ต้านทานธาตุ…”
ในระหว่างของการโจมตีทั้งสอง ความผันผวนของธาตุน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนได้ล้อมรอบตัวนักฝึกสัตว์อสูรของเต่าจระเข้วารีดำ นี่เป็นพรสวรรค์ธาตถน้ำทั่วไปที่ใช้เพื่อเสริมพลังทักษะธาตุน้ำของเต่าจระเข้วารีดำ แม้ว่ามันเชี่ยวชาญปืนใหญ่น้ำขั้นช่ำชอง แต่หลังจากถูกเสริมพลังในตอนนี้ ในด้านของพลัง มันก็ไม่ด้อยไปกว่าปืนใหญ่น้ำขั้นชำนาญแล้ว
สำหรับพรสวรรค์ของนักฝึกสัตว์อสูรของกิ้งก่าศิลาดิน มันเรียบง่ายกว่ามาก มันเป็นที่รู้จักกันในชื่อพรสวรรค์ต้านทานธาตุ มันสามารถทำให้สัตว์อสูรมีความต้านทานต่อการโจมตีธาตุได้ ดังนั้นแม้ว่ากิ้งก่าศิลาดินจะเผชิญหน้ากับปืนใหญ่น้ำ มันก็ยังคงต้านทานได้โดยตรง สภาพของมันดูราวกับจะยังคงต่อสู้ได้อีกหลายครั้ง
การต่อสู้ระดับกึ่งมืออาชีพและระดับมืออาชีพกลายเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์
“โชคดีที่ข้าไม่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้” เมื่อมองไปที่การต่อสู้ของพวกเขา ซืออวี๋ก็หัวเราะในใจ
หลังจากการต่อสู้นี้ นักฝึกสัตว์อสูรทั้งสองคนเหล่านี้ก็คงจะอ่อนแอลงชั่วขณะ ไม่รู้ว่าพวกเขาเตรียมอาหารเสริมไว้ไหม
สารบัญทักษะของเขายังคงดีที่สุด ตราบใดที่เขาเพิ่มแต้มตามปกติ เขาสามารถสั่งพวกมันได้ตามใจในการต่อสู้ ไม่จำเป็นต้องพยายามมากเช่นเดียวกับนักฝึกสัตว์อสูรคนอื่นเลย พวกเขายังต้องใช้พละกำลังและพลังงานอย่างมาก
ในทางกลับกัน เมื่อซืออวี๋เผชิญหน้ากับนักฝึกสัตว์อสูรที่มีพรสวรรค์การเสริมพลังในอนาคต เขาอาจต้องทุกข์ทรมาณเล็กน้อย เมื่อถึงเวลานั้น ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับผลของการเพิ่มแต้มของขา
“หากเป็นระดับนี้ ข้าคิดว่าอีเลฟเว่นสามารถสู้ได้ อย่างไรก็ตาม มันอาจต้องต่อสู้ด้วยพลังต่อสู้ทั้งหมดของมันและเอาชนะในการโจมตีเดียว เช่นเดียวกับมังกรตัวนั้น…”
ซืออวี๋ระบุความแตกต่างระหว่างอีเลฟเว่นและสัตว์อสูรทั้งสองตัวบนสนามประลองได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพราะเผ่าพันธุ์ของสัตว์อสูรทั้งสองตัวนี้ไม่สูงมากนัก พวกมันไม่ใช่เผ่าพันธุ์ระดับผู้บัญชาการ ยิ่งกว่านั้น ระดับการเติบโตของพวกมันก็ยังอยู่ในระดับเหนือธรรมชาติขั้นต่ำ มิฉะนั้น หากคุณสมบัติของอีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นอีกเล็กน้อย อีเลฟเว่นอาจไม่มีโอกาส
หลังจากนั้น ซืออวี๋ก็เดินต่อไป
เขาค้นพบว่าสัตว์อสูรที่กล้าออกไปและต่อสู้ที่นี่นั้นมีระดับเหนือธรรมชาติเป็นอย่างน้อย
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องปกติ ยังคงมีเวลาเหลืออีกสี่เดือนก่อนการประเมินมืออาชีพ ในเวลานี้ สัตว์อสูรที่ยังไม่ถึงระดับเหนือธรรมชาติจะไม่มีโอกาสมากนักที่จะเข้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้
ในขณะเดียวกัน ซืออวี๋ก็ยังค้นพบว่าสัตว์อสูรกลุ่มนี้มีทักษะที่ขั้นช่ำชองอย่างน้อยหนึ่งทักษะ ในบางครั้ง เขาสามารถเห็นสองทักษะผสานที่เรียบง่าย เรื่องนี้ทำให้ซืออวี๋ถอนหายใจด้วยอารมณ์ นักฝึกสัตว์อสูรรุ่นเยาว์เหล่านี้ที่เตรียมตัวำสหรับการประเมินมืออาชีพนั้น…
คู่ต่อสู้ของเขาในอีกสี่เดือนจะไม่ใช่ระดับเดียวกับคนที่เขาต่อสู้เพื่อแย่งชิงน้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการ
คนเหล่านั้นก็เป็นเช่นเดียวกับเขาซึ่งยังไม่ผ่านเงื่อนไขการเข้าร่วมการประเมินมืออาชีพ
หากเขาเข้าร่วมการประเมินมืออาชีพที่สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเมืองหลวงโบราณ เขาอาจจเผชิญหน้ากับกลุ่มนักฝึกสัตว์อสูรที่มีมิติฝึกสัตว์อสูรระดับสองและมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะมีสัตว์อสูรระดับเหนือธรรมชาติสองตัว…
ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากการประเมินมืออาชีพมีปีละครั้ง คนรวยรุ่นสองบางคนสามารถเพิ่มสองระดับได้ในหนึ่งปี พวกเขาอาจทำสัญญากับสัตว์อสูรสามตัว ส่วนผู้ที่มีสัตว์อสูรระดับผู้บัญชากรก็ไม่ควรจะหายากนัก…
“ข้าเข้าใจแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะเป็นมือใหม่ แต่นี่ก็เป็นเช่นเดียวกับการสอบจูนินในนารูโตะ มีคนในระดับเกะนินซึ่งต่ำสุดที่สามารถทำสิ่งที่บ้าคลั่งได้ เช่น เปิดประตูแปดด่าน หรือใช้พลังของสัตว์หาง…”
เช่นเดียวกับที่ทุกคนรับรู้ เกะนินนั้นแข็งแกร่งที่สุด
ในทำนองเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มสัตว์ประหลาดซ่อนอยู่ในการประเมินมืออาชีพ
ไม่น่าแปลกใจที่หลู่ชิงี้กล่าวว่าการประเมินมืออาชีพของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเมืองหลวงโบราณนั้นท้าทายมากและเขาควรใช้ลูกปัดซากปรักหักพังเพื่อพัฒนาให้เร็วยิ่งขึ้น…
ไม่มีการรับประกันว่าจะผ่านการประเมินมืออาชีพเพียงแค่เข้าสู่ระดับมืออาชีพและมีสัตว์อสูรระดับเหนือธรรมชาติ
นั่นก็เป็นเพราะเหตุผลนี้เช่นกันที่ทำให้การประเมินมืออาชีพในเมืองใหญ่เหล่านี้ยากยิ่งกว่าในเมืองเล็กมาก นี่เป็นเพราะหากผ่านการประเมินมืออาชีพในเมืองใหญ่ มีโอกาสสูงที่จะได้รับการคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำและบริษัทชั้นนำ
นี่เป็นสิ่งเดียวกันบน ‘โลก’ บริษัทชั้นนำทั้งห้าร้อยแห่งจะไม่รับสมัครคนจากมหาวิทยาลัยทั่วไป อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงเป่ยอาจถูกแย่งชิงโดยองค์กรต่างๆ การประเมินมืออาชีพก็เป็นเช่นเดียวกัน
รูปแบบนี้ยังสร้างปรากฎการณ์อันแปลกประหลาดเช่นกัน
คนที่ผ่านการประเมินมืออาชีพได้อย่างง่ายดายในเมืองเล็กไม่ยอมแพ้และพยายามสมัครเป็นเวลาหลายปีในเมืองใหญ่ ความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้อาจดูไร้สาระ ท้ายที่สุด การประเมินมืออาชีพไม่มีการจำกัดอายุหรือจำนวนครั้งในการพยายาม เวลาสะสมของพวกเขาจึงสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!
เป็นไปได้ที่จะพบผู้อาวุโสอายุ 80 ปีในการประเมินมืออาชีพ
แน่นอน แม้ว่าชายชราดังกล่าสจะผ่านการประเมินมืออาชีพ แต่ก็คงไม่มีมหาวิทยาลัยหรือบริษัทไหนที่จะคัดเลือกเขา… แม้ว่าเขาจะได้รับอันดับหนึ่งในปีนี้ก็ตาม เขามีศักยภาพไม่มากนัก ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณมีการจำกัดอายุของผู้สมัคร
ดังนั้นแม้ว่าความแข็งแกร่งจะสำคัญ แต่ศักยภาพและพรสวรรค์ที่แสดงออกมาก็มีความสำคัญเช่นกัน
“ไม่มีปัญหา…”
แม้ว่าซืออวี๋จะรู้สึกกดดัน แม้ว่าเขาจะเริ่มช้า แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่าไม่มีปัญหา
สิ่งที่เขาต้องทำก็คือการเพิ่มแต้ม และไม่ต้องรีบร้อน แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็ไม่ต้องเป็นอันดับหนึ่งในปีนี้ เพียงแค่ผ่านการประเมินก็ถือว่าเขาได้รับชัยชนะแล้ว!
…
ตลอดช่วงบ่าย ซืออวี๋ได้เฝ้าดูการต่อสู้ ส่วนใหญ่ก็เพื่อดูประสิทธิภาพของพรสวรรค์ฝึกสัตว์อสูรของนักฝึกสัตว์อสูรหลายคน เขาไม่ยอมรับว่าเขากำลังมองหาสาวหูสัตว์
น่าเสียดาย หลังจากเฝ้าดูตลอดทั้งบ่าย เขาก็ค้นพบว่านักฝึกสัตว์อสูรเหล่านี้มีพรสวรรค์ประเภทเสริมพลัง เขาไม่เห็นพรสวรรค์พิเศษด้านการต่อสู้เลย เรื่องนี้ทำให้จิตวิญญาณของซืออวี๋ชุ่มชื่น
เมื่อใกล้ถึงช่วงเย็น ซืออวี๋ก็ได้ออกจากห้องโถงต่อสู้ในวิทยาเขตทางเหนือและมุ่งหน้าไปยังโรงแรมสิบดาวที่เขาจองไว้ล่วงหน้า
แม้ว่าเขาจะอยู่ในลูกปัดซากปรักหักพังได้ แต่เนื่องจากเขารวยแล้ว เขาจึงต้องการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย
ในคืนนั้น ซืออวี๋ได้ทานอาหารมื้อใหญ่ในโรงแรม เขากลับไปที่ห้องของเขาหลังจากที่เขากินจนอิ่มหน่ำสำราญ เขานอนบนเตียงและเริ่มทำสมาธิด้วยหินไร้ตัวตน
หลังจากเดินเล่นมาทั้งวัน นี่ก็ได้เวลาสำหรับการฝึกฝนอย่างหนักแล้ว…
ผ่านไปสักพัก ซืออวี๋ก็ลืมตาขึ้นมา
“วันนี้ข้ายังไม่ได้เพิ่มแต้มเลย ข้ารู้สึกดีมาก หินไร้ตัวตนหนึ่งก้อนอาจดูเหมือนไม่เพียงพอสำหรับข้าอีกต่อไป ข้ารู้สึกว่าด้วยสมาธิในปัจจุบันของข้า ข้าอาจใช้หินไร้ตัวตนสองก้อนพร้อมกันได้!”
“ไม่สิ สามก้อน!”
“เดี๋ยวก่อน มีหินไร้ตัวตนหลายก้อนในคลัง หินไร้ตัวตนสามก้อนก็ไม่เลวเลย บัดซ* หากข้าสามารถสร้างค่ายกลรวมจิตวิญญาณเช่นเดียวกับหินจิตวิญญาณในนิยายบ่มเพาะได้นะ!”
Fanpage : ผีเสื้อกลางคืน