ตอนที่ 615 สมาคมผู้คุมกฎ
ตอนที่ 615 สมาคมผู้คุมกฎ
“ว่าแต่เข็มทิศมิติที่เป็นของขวัญปริศนาลับเป็นเข็มทิศระดับไหน แล้วมันสามารถเดินทางไปได้ไกลแค่ไหนงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถาม
“มันคือเข็มทิศรุ่น ZR-10 สามารถใช้เดินทางได้หลาย 1,000 ล้านปีแสง โดยมีกลุ่มดาวม้าขาวเป็นศูนย์กลาง และมันก็เป็นหนึ่งในเข็มทิศมิติรุ่นที่ดีที่สุดในดินแดนกฎแล้ว” เฝิงซินเหนียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“1,000 ล้านปีแสง!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง เพราะเขาไม่คิดว่าอุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นนี้จะทำให้เขาสามารถเดินทางได้อย่างอิสระในระยะที่ไกลมากขนาดนั้น
“อย่าพึ่งรีบดีใจเกินไป การเดินทางผ่านเข็มทิศมิติมีค่าใช้จ่าย 100 ปีแสงต่อ 1 คริสตัลแดง หากว่านายต้องการที่จะเดินทางไปกลับในระยะ 1,000 ล้านปีแสง นายก็จำเป็นจะต้องเสียค่าเดินทางอย่างน้อย 20 คริสตัลเหลือง” เฝิงซินเหนียนกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับและพยายามคำนวณค่าใช้จ่ายภายในใจ
ระหว่างการประเมินรอบนี้ขนอุยได้กินคริสตัลต้นกำเนิดระดับ 4 เข้าไปหลายสิบชิ้น แต่เขาก็ยังพอเหลือคริสตัลเหลืองอยู่มากกว่า 1,000 ชิ้น หากเขาเดินทางไปกลับและใช้คริสตัลในส่วนที่เหลือเท่าที่จำเป็น มันก็น่าจะมีคริสตัลเหลือมากพอให้เขาใช้ชีวิตไปได้อีกระยะหนึ่งโดยยังไม่จำเป็นจะต้องหาคริสตัลมาเพิ่มเติม
“ระยะทาง 1,000 ปีแสงนี่มากพอที่ฉันจะเดินทางกลับไปยังพันธมิตรได้หรือเปล่า?” เซี่ยเฟยถาม
“กลุ่มดาวม้าขาวอยู่ห่างจากพันธมิตร 8,700 ล้านปีแสง แน่นอนว่าเข็มทิศรุ่น ZR-10 ยังมีระยะเดินทางไม่มากพอ อย่างน้อยนายจะต้องมีเข็มทิศรุ่น ZR -90 หรือสูงกว่าถึงจะพอเดินทางกลับไปยังพันธมิตรได้”
“แต่ราคาของเข็มทิศรุ่น ZR-10 ก็สูงมากถึง 4,000 คริสตัลเหลืองอยู่แล้ว ส่วนราคาของเข็มทิศรุ่น ZR-90 ขึ้นไปก็มีราคามากกว่า 20,000 คริสตัลเหลือง”
“ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ครอบครองเข็มทิศระดับสูงจำเป็นจะต้องได้รับใบรับรองเดินทางไกลจากสมาคมผู้คุมกฎซะก่อน และคุณสมบัติขั้นต่ำในการขอใบรับรองเดินทางไกลก็จะต้องเป็นนักรบที่มีระดับราชากฎขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันมันไม่มีทางที่นายจะหาวิธีกลับไปยังพันธมิตรได้เลยเว้นแต่ว่านายจะหันหน้าไปพึ่งพาตลาดมืด”
“แต่อย่างที่นายรู้ว่าในตลาดมืดมีแต่ของสกปรก และถ้าหากว่านายต้องการที่จะครอบครองเข็มทิศรุ่น ZR-90 ที่ไม่มีใบรับรอง ฉันก็คิดว่าอย่างน้อยนายควรจะต้องเสียเงินไม่น้อยกว่า 60,000 คริสตัลเหลือง” เฝิงซินเหนียนกล่าว
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่แบะริมฝีปากออกมาอย่างไม่เต็มใจ เพราะระยะขอบเขตของพันธมิตรมีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่เพียงแค่ 72 ล้านปีแสงเท่านั้น แต่ระยะห่างระหว่างพันธมิตรกับดินแดนกฎกลับมีระยะห่างมากถึง 8,700 ล้านปีแสง
หากเขาออกเดินทางด้วยยานรบที่เร็วที่สุดในพันธมิตร มันก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปีกว่าที่เขาจะสามารถเดินทางจากพันธมิตรไปยังดินแดนกฎได้สำเร็จ ซึ่งระยะเวลาการคำนวณนี้เป็นระยะเวลาที่ต้องปราศจากอุบัติเหตุ แต่อย่าลืมว่าในการเดินทางจริง ๆ การเดินทางในพื้นที่ดาวอันไม่รู้จัก มันก็คงจะไม่มีใครกล้าที่จะเร่งความเร็วในการเดินทางอย่างเต็มที่
เมื่อได้ทราบระยะห่างระหว่างดินแดนทั้งสอง เซี่ยเฟยก็ไม่รู้สึกแปลกใจแล้วว่าทำไมระบบเรดาร์แบล็คแบทถึงตกอยู่ในสภาวะที่ไม่เสถียรแบบนั้น เพราะระยะห่างระหว่างทั้งสองดินแดนมันอยู่ไกลเหนือกว่าจินตนาการของเขาตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง
แต่ความจริงในเรื่องนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย และมันก็ทำให้เขาตระหนักได้อย่างแท้จริงว่าเงินคือสิ่งจำเป็นไม่ว่าเขาจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ซึ่งเขาก็คงจะต้องมีความร่ำรวยในระดับเดียวกันกับหยูฮัว เขาจึงจะพอมีเงินซื้อเข็มทิศรุ่น ZR-90 หรือรุ่นที่สูงกว่าได้
“ความจริงแล้วนายไม่จำเป็นจะต้องซื้อเข็มทิศระดับสูง มันก็พอมีวิธีการให้นายเดินทางกลับไปยังพันธมิตรได้ เพียงแต่วิธีการนั้นมันก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการเดินทางผ่านเข็มทิศมิติมาก”
“ธุรกิจบางแห่งในดินแดนกฎช่วยรับรองให้นายเดินทางกลับไปยังพันธมิตรได้เลย แต่การเดินทางไปกลับจำเป็นจะต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 200 คริสตัลเหลืองต่อรอบ และนายยังจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกอย่างน้อย 20 คริสตัลเหลืองในทุก ๆ วันที่นายยังไม่กลับจากพันธมิตร”
เซี่ยเฟยเริ่มทำการคำนวณภายในใจอีกครั้งแล้วมันก็ทำให้เขาได้เพียงแต่ถอนหายใจ เพราะถ้าหากเขาเดินทางกลับไปยังพันธมิตรเป็นเวลา 1 สัปดาห์ มันก็หมายความว่าเขาจะต้องใช้คริสตัลเหลืองไม่น้อยกว่า 500 ชิ้น
“ข้อดีของการใช้บริการธุรกิจพวกนี้คือนายไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสมาคมผู้คุมกฎ นายก็ลองพิจารณาเอาก็แล้วกันว่านายอยากจะกลับบ้านด้วยวิธีไหน?” เฝิงซินเหนียนกล่าว
เพียงแค่การกลับบ้านไปพันธมิตรเพียงครั้งเดียวมันก็จำเป็นจะต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล และถึงแม้ว่าในอดีตเขาจะเคยคิดว่าการใช้ชีวิตในพันธมิตรเป็นการใช้ชีวิตอย่างสิ้นเปลืองเงินตราแล้ว การใช้ชีวิตในดินแดนกฎก็เป็นการใช้ชีวิตที่สิ้นเปลืองเงินตรามากยิ่งกว่า
“จักรวาลนี้มันใหญ่มากขนาดไหนกันแน่?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“ดินแดนกฎครอบคลุมพื้นที่เพียงแค่ 30,000 ล้านปีแสงในจักรวาลอันกว้างใหญ่เท่านั้น ซึ่งนอกเหนือจากระยะทางนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีอะไรหลบซ่อนอยู่ บางทีจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้อาจจะไม่มีจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหนเลยก็ได้” เฝิงซินเหนียนตอบ
“มันไม่มีอะไรที่ไม่มีจุดสิ้นสุดหรอก” เซี่ยเฟยกล่าว
“ตรรกะธรรมดานำมาใช้อธิบายความลึกลับของจักรวาลไม่ได้หรอกนะ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงจะหาคำอธิบายของพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ตั้งนานแล้วใช่ไหมล่ะ?” เฝิงซินเหนียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกไปสักพัก และยิ่งเขาได้ยกระดับขึ้นมาอยู่ในดินแดนระดับสูงมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตระหนักว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยตรรกะและวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่านั้น
“จักรวาลนี้มันจะลึกลับมากจนเกินไปแล้วสินะ” เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
—
เมื่อมองจากระยะไกลสมาคมผู้คุมกฎก็เป็นเพียงแค่อาคารสูง 9 ชั้นและมีลานกว้างขนาดใหญ่ครอบคลุมอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ของอาคาร หลังจากเดินผ่านประตูไม้โบราณขนาดใหญ่ ทางด้านในเป็นสวนที่เต็มไปด้วยแมกไม้เขียวขจีทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีการตกแต่งอย่างสวยงามมาก
คนส่วนใหญ่ในพื้นที่ของสมาคมสวมใส่เพียงแค่เสื้อผ้าสบาย ๆ และมีคนเพียงแค่ไม่กี่คนที่สวมใส่ชุดทำงานที่มีคำว่าผู้คุมกฎปักอยู่บริเวณด้านหลังของเสื้อผ้าเหล่านั้น
“ผู้อาวุโสในสมาคมทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นสูงในดินแดนของเราทั้งหมด เพราะทางสมาคมมีกฎให้เก้าตระกูลชั้นยอดและตระกูลขนาดใหญ่จำเป็นจะต้องส่งตัวแทนมาทำหน้าที่เป็นสมาชิกของสมาคม”
“สมาชิกในสมาคมส่วนใหญ่จึงเป็นเหล่าบรรดาเสาหลักของตระกูลขนาดใหญ่ในอดีตมาก่อน แล้วถ้าหากว่ามันมีเหตุการณ์ที่จำเป็น ทางสมาคมก็สามารถที่จะเรียกใช้กองกำลังจากเก้าตระกูลชั้นยอดมาจัดการเรื่องราวภายในสมาคมได้เลย” เฝิงซินเหนียนกล่าวแนะนำ
“สมาคมผู้คุมกฎเป็นสมาคมที่รวบรวมผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลเข้ามาสินะ การทำแบบนี้ก็จะทำให้ทุกตระกูลไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านกฎที่ออกมาจากสมาคม เพราะผู้อาวุโสที่อยู่ในสมาคมก็จะเป็นตัวแทนที่คอยพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ให้กับตระกูลของตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ใช่แล้ว ดังนั้นอย่าพยายามไปมีเรื่องกับผู้อาวุโสคนไหนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะทำให้นายได้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแน่ ๆ” เฝิงซินเหนียนกล่าวคล้ายกับว่าเขากังวลว่าเซี่ยเฟยจะไปก่อเรื่องภายในสมาคมแห่งนี้เข้าจริง ๆ
ในที่สุดทั้งสองก็เดินเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ลงทะเบียนของเข็มทิศมิติระดับสูง และเนื่องมาจากว่าระยะการใช้งานของเข็มทิศรุ่น ZR-10 สูงถึง 1,000 ล้านปีแสง มันจึงจำเป็นจะต้องเดินทางเข้ามาลงทะเบียนในสมาคมสาขาใหญ่โดยตรง
ซึ่งในกรณีของเข็มทิศมิติที่มีระยะทางเดินทางสั้นกว่า 1,000 ล้านปีแสงก็สามารถที่จะเดินทางไปลงทะเบียนยังสมาคมสาขาอื่น ๆ ได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการควบคุมการเดินทางไกลในดินแดนกฎเป็นเรื่องที่เข้มงวดมากแค่ไหน
“ไอ้หมาน้อย” เฝิงซินเหนียนตะโกนด้วยรอยยิ้มทันทีที่เขาเข้าไปในประตู
“นั่นใคร?!” ชายหนุ่มผู้มีหนวดเคราดกกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่เขายังคงนอนอยู่บนโต๊ะทำงาน
“นี่นายนอนหลับในที่ทำงานกลางวันแสก ๆ แบบนี้เลยเหรอ? ไม่กลัวว่าพวกผู้อาวุโสจะมาต่อว่านายบ้างเลยรึไง” เฝิงซินเหนียนกล่าว
“พี่ซินเหนียน!” คนที่ถูกเรียกว่าไอ้หมาน้อยอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่เขาจะรีบเดินออกจากโต๊ะทำงานหยิบเก้าอี้และถ้วยน้ำชามารองรับแขกที่พึ่งเดินทางเข้ามาภายในห้อง
“เขาคนนี้เป็นเพื่อนรุ่นน้องของฉันเอง ชื่อว่า ‘หลางซุนเย่’ มาจากตระกูลเชฟชิฟเตอร์ที่เป็น 1 ใน 9 ตระกูลชั้นยอด และถึงแม้ว่าเขาจะไว้หนวดเคราหนา แต่ความจริงแล้วเขามีอายุน้อยกว่าฉัน 2 ปี ฉันเลยมักจะเรียกเขาว่าไอ้หมาน้อย” เฝิงซินเหนียนกล่าวแนะนำ
“ผมทำอะไรกับหนวดเคราพวกนี้ได้ที่ไหนล่ะ! พี่ก็น่าจะรู้ว่าผู้ชายทุกคนในตระกูลเชฟชิฟเตอร์ของเราต่างก็มีขนดกแบบนี้เหมือนกันหมด มันเป็นสิ่งที่สืบทอดต่อ ๆ กันมาจากบรรพบุรุษของเราที่คงจะไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงมันได้” หลางซุนเย่ลูบหัวของตัวเองด้วยความเขินอาย
ชายหนุ่มคนนี้มีลักษณะที่ค่อนข้างสุภาพมาก เพราะถึงแม้ว่าเฝิงซินเหนียนจะหยอกล้อเขาไปบ้างแต่เขาก็ไม่ได้ติดใจเอาความกับคำหยอกล้อเหล่านั้นเลย
อย่างไรก็ตามรูปร่างหน้าตาภายนอกของหลางซุนเย่ก็ค่อนข้างที่จะดูแก่เกินอายุไปจริง ๆ นี่ถ้าหากว่าเฝิงซินเหนียนไม่ได้แนะนำอีกฝ่ายให้เขาได้รู้จัก เซี่ยเฟยก็คงคิดว่าหลางซุนเย่น่าจะเป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุไม่น้อยกว่า 40 ปี
“เขาชื่อเซี่ยเฟยเป็นเพื่อนใหม่ของฉันที่เดินทางมาเข้าร่วมกับงานชุมนุมมังกรฟ้า วันนี้ฉันพาเขามาลงทะเบียนเข็มทิศมิติอันใหม่” เฝิงซินเหนียนแนะนำเซี่ยเฟยให้หลางซุนเย่ได้รู้จัก
“เซี่ยเฟย? คนที่ได้อันดับ 1 ของการประเมินรอบที่แล้วน่ะเหรอ?!” หลางซุนเย่ถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ คนนั้นแหละ” เฝิงซินเหนียนกล่าว
“เยี่ยมเลย! เดือนหน้าหากเราต้องเผชิญหน้ากันช่วยให้คำแนะนำฉันด้วย แล้วอย่ามาออมมือให้ฉันนะ” หลางซุนเย่กล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“นายคงไม่จำเป็นจะต้องได้รับคำแนะนำจากฉันหรอก แต่เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากันฉันไม่ออมมือให้นายอย่างแน่นอน” เซี่ยเฟยกล่าวตอบกลับไป
หลังจากนั้นหลางซุนเย่ก็ทำการลงทะเบียนเข็มทิศมิติให้กับเซี่ยเฟย โดยมีค่าลงทะเบียนอยู่ที่ 5 คริสตัลเหลือง นอกจากนี้เขายังมอบบัตรธนาคารให้กับเซี่ยเฟยด้วย เพราะการเดินทางผ่านเข็มทิศมิติทุกครั้งจะเป็นการหักเงินผ่านทางบัตรธนาคาร ดังนั้นถ้าหากเซี่ยเฟยฝากคริสตัลต้นกำเนิดเอาไว้ในธนาคาร มันก็จะช่วยลดความยุ่งยากในกรณีที่เขาต้องการที่จะใช้เข็มทิศมิติ
“ทำไมพี่ถึงถูกมอบหมายให้เป็นตาเหยี่ยว แต่ผมถูกบังคับให้ต้องเข้าร่วมสมาคมผู้คุมกฎแบบนี้เนี่ย! ชีวิตของผมมันจะน่าเบื่อจนเกินไปแล้ว” หลางซุนเย่บ่นหลังจากลงทะเบียนให้เซี่ยเฟยจนเสร็จ
“มันเป็นเพราะว่านายเกิดใน 9 ตระกูลชั้นยอดยังไงล่ะ นายก็รู้ว่าคนธรรมดาไม่มีทางเข้าร่วมกับสมาคมนี้ได้ มันเลยเป็นหน้าที่ของพวกนายที่ต้องมาทำงานในสมาคมผู้คุมกฎ” เฝิงซินเหนียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้อ! ผมเกิดในเก้าตระกูลชั้นยอดแล้วยังไงล่ะ ท้ายที่สุดตระกูลของพวกเราก็ยังเทียบกับตระกูลเฝิงของพี่ที่ทำหน้าที่คอยดูแลกลุ่มมังกรฟ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ” หลางซุนเย่กล่าว
ความสัมพันธ์ของตระกูลภายในดินแดนกฎค่อนข้างซับซ้อนมาก เซี่ยเฟยจึงไม่ค่อยเข้าใจบทสนทนาระหว่างพวกเขามากนัก เขาจึงทำได้เพียงแต่รอคอยและเล่นกับเข็มทิศมิติที่เขาเพิ่งได้รับมาใหม่อย่างเงียบ ๆ
“ช่วงนี้ผู้อาวุโสเซี่ยจงไห่ได้มาถามเรื่องของฉันบ้างหรือเปล่า?” เฝิงซินเหนียนถาม
ทันทีที่ได้ยินชื่อของเซี่ยจงไห่ หลางซุนเย่ก็ขนลุกขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่เขาจะตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่เหยเก
“พี่จะไปพูดถึงเขาทำไม? ผมไม่เห็นว่าเขาจะรู้สึกสนใจเรื่องอะไรในกลุ่มมังกรฟ้าเลย”
ระหว่างตั้งคำถามเฝิงซินเหนียนก็แอบสังเกตดูปฏิกิริยาของเซี่ยเฟยไปด้วย แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย มันจึงทำให้เฝิงซินเหนียนรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย
‘เซี่ยเฟยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลสกายวิงจริง ๆ เหรอ?’ เฝิงซินเหนียนคิดในใจ
“ถ้าฉันจำไม่ผิดวันนี้เป็นวันครบรอบของสมาคมใช่ไหม? ทำไมนายไม่พาฉันกับเซี่ยเฟยไปดูงานของสมาคมล่ะ” เฝิงซินเหนียนกล่าว
“นี่ผมเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย! พี่รู้ไหมว่าเรื่องนี้เป็นข้อดีเพียงข้อเดียวที่ผมได้เข้าร่วมกับสมาคมเลย พวกเรารีบไปดูกันดีกว่าว่าพวกตาแก่นั่นเอาอะไรมาร่วมงานบ้าง” หลางซุนเย่กล่าวพร้อมกับตบขาตัวเองเสียงดัง
***************
มาดีไหมนะ? แต่ก็เหมือนจะดีอยู่นะ เริ่มติดนิสัยขี้ระแวงมาแล้วเนี่ย! 555