ตอนที่ 614 ตระกูลสโนว์ดริฟท์
ตอนที่ 614 ตระกูลสโนว์ดริฟท์
การทดสอบรอบแรกของงานชุมนุมมังกรฟ้าเผ่ามนุษย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งผู้ที่ได้รับคะแนน 100 อันดับแรกจะเป็นผู้ผ่านเข้าไปร่วมทดสอบกับสมาชิกจากตระกูลใหญ่
เมื่อผ่านการประเมินในรอบที่ 2 แล้วการประเมินในรอบที่ 3 จะเป็นการประเมินที่รวมเผ่าพันธุ์ทั้งหมดในงานชุมนุมมังกรฟ้าเข้าด้วยกัน ซึ่งใครที่สามารถผ่านการประเมินในรอบที่ 3 ได้ พวกเขาก็จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมกับกลุ่มมังกรฟ้าที่ยิ่งใหญ่
ในมุมของผู้สมัครไม่มีใครเข้าใจว่ากลุ่มมังกรฟ้าใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินให้คะแนนจริง ๆ กันแน่ แต่ผลลัพธ์ในการตัดสินครั้งนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกสับสนมาก เพราะผู้ชนะอันดับ 1 ในงานประเมินรอบแรกกลับเป็นเซี่ยเฟยซึ่งมีพลังอยู่ในระดับอัศวินกฎขั้นที่ 4 เท่านั้น
ในวันที่ประกาศรายชื่อผู้ชนะชื่อของเซี่ยเฟยได้สร้างความฮือฮาขึ้นมาอย่างมากมาย โดยครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่คนได้อันดับ 1 ของการประเมินเป็นเพียงแค่อัศวินกฎเท่านั้น
ท้ายที่สุดมันก็เป็นเรื่องที่เรารู้กันดีว่าในบรรดาผู้สมัครที่เข้าร่วมการประเมินมีนักสู้ระดับราชากฎอยู่อย่างมากมาย มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้จริง ๆ ว่าเซี่ยเฟยสามารถแทรกขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ท่ามกลางราชากฎเป็นจำนวนมากได้ยังไง
แน่นอนว่าทางกลุ่มมังกรฟ้าย่อมไม่ประกาศรายละเอียดของการประเมิน และมันก็ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับคำตัดสินของกลุ่มมังกรฟ้าด้วยเหมือนกัน เพราะไม่ว่าใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าเบื้องหลังของกลุ่มมังกรฟ้าคือเผ่าเทพที่สูงศักดิ์ การพยายามท้าทายกลุ่มมังกรฟ้าจึงไม่ต่างไปจากการพยายามท้าทายอำนาจของ 1 ใน 2 เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล
แต่ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีใครกล้าออกมาตั้งข้อสงสัยอย่างโจ่งแจ้ง แต่มันก็มีเรื่องซุบซิบนินทาในเรื่องของเซี่ยเฟยอย่างมากมาย ซึ่งมันก็มีแม้กระทั่งข่าวลือที่ว่าเซี่ยเฟยมีความสัมพันธ์กับเผ่าเทพ และบางคนก็จินตนาการไปไกลว่าแท้ที่จริงแล้วเซี่ยเฟยเป็นสายลับจากเผ่าเทพที่ถูกส่งลงมาคอยตรวจสอบการประเมินนี้อีกที
การประเมินในครั้งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนผู้ใช้กฎอย่างรวดเร็ว ซึ่งเซี่ยเฟยก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าขณะนี้ไม่ได้มีเพียงแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่รู้จักชื่อเสียงของเขา เพราะเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ภายในดินแดนของผู้ใช้กฎก็เริ่มรู้จักชื่อเสียงของเขาแล้วด้วยเช่นเดียวกัน
—
ในท้องฟ้ายามค่ำคืน
ยานรบสีมรกตขนาดมหึมากำลังล่องลอยอยู่บนห้วงอวกาศที่เต็มไปด้วยดวงดาว
แม้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะเกิดขึ้นในมุมหนึ่งของดินแดนผู้ใช้กฎที่อยู่ห่างไกล แต่จักจั่นขาวกับเซียวรั่วหยูก็กำลังรู้สึกตื่นเต้นกับข่าวของเซี่ยเฟยมากจนทำให้พวกเธอนอนไม่หลับด้วยซ้ำ
พวกเธอรู้มานานแล้วว่ามันมีผู้สมัครชื่อเซี่ยเฟยเข้าร่วมงานชุมนุมมังกรฟ้าในปีนี้ด้วย ซึ่งหลังจากการประเมินรอบแรกได้จบลงในวันนี้ ชื่อเสียงของเซี่ยเฟยก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งดินแดนกฎอย่างรวดเร็ว จักจั่นขาวกับเซียวรั่วหยูจึงได้ตระหนักว่านักรบที่ชื่อเซี่ยเฟยคนนี้เป็นเซี่ยเฟยคนเดียวกับที่พวกเธอเคยรู้จักตอนที่เดินทางไปยังพันธมิตรจริง ๆ
เซียวรั่วหยูกับเซี่ยเฟยเคยมีประสบการณ์ร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อนแล้ว มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะรู้สึกดีใจกับความสำเร็จของชายหนุ่มในครั้งนี้มาก แต่สำหรับจักจั่นขาวที่ไม่เคยเจอเซี่ยเฟยมาก่อนกลับรู้สึกเหมือนกับหัวใจของเธอกำลังเต้นแรง จนทำให้เธอรู้สึกสับสนว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง
“ไม่ต้องห่วง ตระกูลของเราได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมการประเมินในรอบที่ 2 เหมือนกัน เมื่อถึงเวลานั้นเธอก็จะได้พบกับเซี่ยเฟยแล้ว” จักจั่นขาวกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
เซียวรั่วหยูที่กำลังนอนอยู่ข้าง ๆ จักจั่นขาวเช็ดน้ำตาด้วยเสื้อผ้าสีขาวของเธออย่างซาบซึ้งใจ เพราะในที่สุดหลังจากเฝ้ารอมาเป็นเวลานานเธอก็จะมีโอกาสได้พบกับเซี่ยเฟยเสียที
“อีก 1 เดือนฉันก็จะได้เจอกับพี่เซี่ยเฟยแล้ว ถึงเวลานั้นฉันจะต้องไปบอกพี่เซี่ยเฟยให้ได้ว่าฉันได้เติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดี” เซียวรั่วหยูกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“เซี่ยเฟยจะตำหนิพวกเราหรือเปล่าที่ได้ลักพาตัวเธอมาจากพันธมิตร?” จักจั่นขาวกล่าวถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“ด้วยนิสัยของพี่เขามันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากว่าเขาจะมีความคิดแบบนั้น” เซียวรั่วหยูกล่าวพร้อมกับก้มหน้าลง
“เอายังไงดี? ฉันมีเรื่องจะถามเขาด้วยสิ มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีถ้าหากว่าเราบาดหมางกันตั้งแต่แรก” จักจั่นขาวกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
“จริง ๆ แล้วพี่เซี่ยเฟยมีเหตุผลมาก แต่บางที... เขาก็เป็นพวกไร้เหตุผลอยู่เหมือนกัน” เซียวรั่วหยูกล่าวพร้อมกับขดตัวเป็นก้อนกลมจนใบหน้าของเธอแทบที่จะมุดลงไปในหน้าอกของตัวเองแล้ว
“ไร้เหตุผลงั้นเหรอ?” จักจั่นขาวอุทานพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ฉันจะพยายามอธิบายทุกอย่างให้พี่เซี่ยเฟยฟังเองว่าคุณหนูเป็นคนดี หากไม่มีคุณหนูฉันก็ไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดในตระกูลสโนว์ดริฟท์ได้ยังไงเหมือนกัน” เซียวรั่วหยูกล่าวพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นมาอย่างหนักแน่น
แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกหญิงสาวทั้งสองคนนี้จะเติบโตเป็นหญิงสาวที่บรรลุนิติภาวะแล้ว แต่สภาพจิตใจของเซียวรั่วหยูกับจักจั่นขาวไม่ต่างไปจากเด็กสาวที่ไร้เดียงสา พวกเธอมักจะพูดคุยปรึกษากันในเรื่องที่พวกเธอไม่รู้ทั้งวันทั้งคืน และหัวข้อที่พวกเธอจะสนทนาหลังจากนี้มันก็คงจะเป็นเรื่องของเซี่ยเฟยเป็นส่วนใหญ่
แม้ว่าในก่อนหน้านี้พวกเธอจะได้พูดคุยเรื่องของเซี่ยเฟยมาแล้วเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน แต่พวกเธอก็ยังคงสนุกกับการคุยเรื่องของเซี่ยเฟยอยู่ดี เพราะภายในตระกูลสโนว์ดริฟท์ของพวกเธอมีแต่ผู้หญิง เรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายจึงกลายเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับพวกเธออยู่เสมอ
—
“ฮัดชิ้ว ๆ ๆ” เซี่ยเฟยที่ยังอยู่ในกลุ่มดาวม้าขาวจามออกมา 3 ครั้งติดต่อกัน
“ใครกำลังคิดถึงนายอยู่ล่ะ แฟนนายงั้นเหรอ?” เฝิงซินเหนียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยยักไหล่ตอบกลับไป เพราะเขาคิดว่าแอวริลกำลังพูดถึงเรื่องของเขาอยู่ในพันธมิตร
ใครจะไปรู้ว่าจริง ๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้เขาจามแบบนี้อาจจะเป็นเพราะเซียวรั่วหยูกับจักจั่นขาวกำลังพูดคุยเรื่องของเขาอยู่ก็ได้ และในเวลาอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้มันก็ถึงเวลาที่เขาจะได้พบกับเด็กสาวที่เขารอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว
เซี่ยเฟยกับเฝิงซินเหนียนเดินฝ่าฝูงชนออกไปจากสำนักงานมังกรฟ้า ซึ่งผู้คนที่ได้เห็นการปรากฏตัวของชายหนุ่มชุดขาวต่างก็รีบหลีกทางให้นายน้อยของกลุ่มมังกรฟ้าคนนี้ในทันที
“เซี่ยเฟยมีความสัมพันธ์กับนายน้อยของตระกูลเฝิงงั้นเหรอ?”
“เห็นไหมฉันบอกแล้วเบื้องหลังของเซี่ยเฟยไม่มีทางเป็นแค่ตระกูลหยูแน่ ๆ นายเห็นไหมพวกเขาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก”
“เซี่ยเฟยเป็นแค่คนจากตระกูลหยูแล้วเขามีความสัมพันธ์กับคนในตระกูลเฝิงได้ยังไง?”
“ฉันพอจะรู้เรื่องราวภายในตระกูลหยูอยู่บ้างเหมือนกัน ทำไมอัจฉริยะของตระกูลอย่างหยูเสี่ยวเป่ยถึงล้มเหลวอย่างน่าสังเวช ทั้ง ๆ ที่หยูเสี่ยวเป่ยคือทายาทสายตรงของตระกูล แต่เซี่ยเฟยเป็นเพียงแค่คนนอกที่ตระกูลรับมาเลี้ยงดูเท่านั้น”
“มันเป็นเพราะว่าตระกูลเฝิงมีความสัมพันธ์กับเซี่ยเฟยเพียงคนเดียว แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตระกูลหยูงั้นเหรอ?!”
ฝูงชนต่างก็คาดเดากันไปต่าง ๆ นานา และมันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากจบการประเมินครั้งนี้เซี่ยเฟยก็มีชื่อเสียงในฐานะของตัวตนที่ลึกลับมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
เซี่ยเฟยกวาดสายตามองออกไปท่ามกลางฝูงชน ซึ่งเขาก็ไม่ได้เห็นรูดี้ยืนอยู่ตรงบริเวณไหนเลย ซึ่งบางทีคุณชายเจ้าสำราญคนนี้คงจะออกไปสังสรรค์เพื่อคลายเครียดหลังจากที่เขาได้รู้ข่าวว่าตัวเองตกรอบแล้วก็ได้
ในเวลาเดียวกันนั้นเซี่ยเฟยก็สังเกตเห็นหยูเสี่ยวเป่ยที่มีใบหน้าอันซีดเซียว ชุดต่อสู้ที่เขากำลังสวมใส่มีรอยฉีกขาดอย่างมากมาย ซึ่งชายหนุ่มก็สันนิษฐานว่าอัจฉริยะจากตระกูลหยูคนนี้คงจะได้รับบาดเจ็บในระหว่างการพยายามหลบหนีจากเผ่าเชพเพิร์ด
เซี่ยเฟยพยักหน้าให้หยูเสี่ยวเป่ยเป็นเชิงทักทาย แต่ในสายตาของอีกฝ่ายแล้วการทักทายในครั้งนี้กลับกลายเป็นการเยาะเย้ย เขาจึงหันหลังกลับไปโดยไม่สนใจเซี่ยเฟยเลยแม้แต่น้อย
“คงจะเสียหน้ามากสินะ” เซี่ยเฟยพึมพำขึ้นมาเบา ๆ
“นายกำลังพูดถึงใคร?” เฝิงซินเหนียนกล่าวถาม
“ไม่มีอะไรหรอกฉันแค่บังเอิญเจอคนรู้จักน่ะ แต่ครั้งนี้ฉันก็ต้องขอขอบใจนายเอาไว้ด้วย” เซี่ยเฟยกล่าว
“ขอบคุณฉัน... เรื่องอะไร?”
“นายไม่ได้ตั้งใจออกมาจากสำนักงานพร้อมกับฉันหรอกเหรอ?” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่ต้องมาขอบคุณอะไรฉันหรอก เรื่องทั้งหมดนี้เป็นคำขอจากอาบรูซต่างหาก ถึงแม้ว่าภายนอกเขาจะดูเป็นคนนิ่ง ๆ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่ใจดีมากกว่าใคร”
“นอกจากนี้ฉันยังจำเป็นจะต้องมีเส้นสายเป็นของตัวเอง เพราะถึงแม้ว่าพ่อของฉันจะเป็นหัวหน้ากลุ่มแต่เขาก็ต้องจัดการเรื่องราวทุกอย่างภายในกลุ่มอย่างยุติธรรม หากในอนาคตนายได้มีโอกาสเข้าร่วมกลุ่มมังกรฟ้าแล้วจริง ๆ นายก็จะรู้เองว่าการไปปรึกษาอาบรูซเป็นสิ่งแรก ๆ ที่นายควรทำหากว่านายกำลังวางแผนที่จะทำอะไร”
“นายก็น่าจะรู้ว่าดินแดนนี้อันตรายมากและในปัจจุบันนายย่อมไม่มีใครคอยสนับสนุนอยู่อย่างแน่นอน แม้ว่าในสถานการณ์ปกติตัวตนของนายจะไม่ได้รับอันตราย แต่อย่าลืมว่าตอนนี้นายกลายเป็นผู้ชนะอันดับ 1 ในการประเมินแล้ว และยังได้รับของรางวัลเป็นชุดเกราะชาร์ปเลสของอาบรูซอีกด้วย มันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนเป็นจำนวนมากกำลังวางแผนจะจัดการกับนายอยู่อย่างลับ ๆ”
“อย่างน้อยการที่ฉันเดินออกมาจากสำนักงานพร้อมกับนายด้วยท่าทางสนิทสนมแบบนี้ มันก็คงจะทำให้ใครหลาย ๆ คนที่มีเจตนาไม่ดีล้มเลิกความคิดของพวกเขาไป และถึงแม้ว่าตระกูลเฝิงของฉันจะไม่ใช่เก้าตระกูลชั้นยอด แต่มันก็ไม่มีใครกล้าที่จะหาเรื่องตระกูลของฉันอย่างประมาทด้วยเหมือนกัน”
“ทุกสิ่งที่นายต้องเผชิญนั่นก็เพราะว่านายได้เดินทางมาเข้าร่วมงานชุมนุมมังกรฟ้า ดังนั้นทางเราก็ต้องสร้างเกราะกำบังให้กับนายบ้าง แต่ถึงยังไงปัญหาในส่วนที่เหลือนายก็ต้องเป็นคนที่จัดการเอาเอง” เฝิงซินเหนียนกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้าพร้อมกับแอบชื่นชมบรูซอยู่เล็กน้อย เพราะชายหน้านิ่งคนนั้นวางแผนการทุกอย่างเอาไว้เป็นอย่างดีและคิดถึงแม้กระทั่งสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังการประเมิน
“ว่าแต่ตอนนี้เรากำลังจะไปไหนกัน?” เซี่ยเฟยถาม
“ไปที่สมาคมผู้คุมกฎเพื่อลงทะเบียนเข็มทิศมิติของนาย หลังจากนั้นนายจะได้ใช้เข็มทิศมิติเพื่อเดินทางไปไหนมาไหนได้ตามที่นายต้องการ” เฝิงซินเหนียนกล่าว
“มันจำเป็นจะต้องลงทะเบียนด้วยเหรอ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย
“ผู้ครอบครองเข็มทิศมิติทุกคนจำเป็นจะต้องลงทะเบียนซะก่อน ไม่อย่างนั้นเข็มทิศมิติที่ไม่ได้ลงทะเบียนจะถูกตัดสินว่าเป็นเข็มทิศมิติเถื่อน และนายก็อาจจะถูกจับเมื่อได้เดินทางผ่านเข็มทิศที่ไม่ได้ลงทะเบียน” เฝิงซินเหนียนกล่าวพร้อมกับกรอกตาไปทางเซี่ยเฟย
“แล้วถ้าในอนาคตฉันได้กลายเป็นราชากฎและเชี่ยวชาญการเดินทางข้ามมิติ แบบนั้นฉันยังจะต้องมาลงทะเบียนด้วยไหม?” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่ต้องหรอก แต่ผู้ที่เชี่ยวชาญการเดินทางระยะไกลแบบนั้นหาได้ยากมาก การเดินทางส่วนใหญ่จึงมักที่จะเป็นการเดินทางผ่านเข็มทิศมิติเนี่ยแหละ”
“ดูเหมือนว่านายจะสนใจเรื่องการเดินทางมากเลยนะ หรือว่านายกำลังคิดถึงบ้านเกิดอยู่งั้นเหรอ?” เฝิงซินเหนียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉันอยากกลับไปหาเพื่อน ๆ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้าโดยไม่ลังเล
“เพื่อนหรือว่าแฟนเอาดี ๆ” เฝิงซินเหนียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ก็ทั้งเพื่อนทั้งแฟนนั่นแหละ” เซี่ยเฟยกล่าวตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาก็ไม่เคยคิดจะปิดบังเรื่องที่เขาได้คบหากับแอวริลอยู่แล้ว
“แฮะแฮ่ม! เอาล่ะมีเรื่องบางอย่างที่ฉันจำเป็นจะต้องเตือนนายเอาไว้ ปกติคนในดินแดนผู้ใช้กฎไม่สามารถที่จะเดินทางไปยังพันธมิตรโดยไม่มีเหตุผลได้ เพราะมันมีกฎห้ามไม่ให้ผู้ใช้กฎเข้าไปแทรกแซงวิถีชีวิตของดินแดนเบื้องล่าง”
“แต่ถ้าหากว่านายพอจะมีความสัมพันธ์กับผู้คุมกฎ นายก็พอจะเดินทางกลับไปยังพันธมิตรเงียบ ๆ ได้ตราบใดก็ตามที่นายไม่ได้ก่อเรื่องในระหว่างที่นายเดินทางกลับไป” เฝิงซินเหนียนกล่าวพร้อมกับจงใจส่งเสียงกระแอมขึ้นมาสองครั้ง
“ผู้คุมกฎมีความสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย
“แม้ว่าในดินแดนของเราจะดูเหมือนไม่ค่อยมีกฎแต่มันก็ยังคงมีกรอบครอบไว้ว่าอะไรที่พวกเราทำได้และอะไรที่พวกเราทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น การไปมีความสัมพันธ์กับเผ่ามารถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง หรือจะเป็นการค้ายาเสพติดก็เป็นความผิดในดินแดนของเราด้วยเหมือนกัน แต่ตราบใดก็ตามที่นายไม่ได้เข้าไปละเมิดข้อห้ามพวกนั้น พวกผู้คุมกฎก็ไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามชีวิตของนายหรอก” เฝิงซินเหนียนกล่าว
จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็รู้สึกเหมือนมีเหงื่อไหลออกมาทั่วทั้งร่างกาย เพราะในแหวนมิติของเขามีโลงศพของจอมมารเก็บเอาไว้อยู่ และถ้าหากว่าพวกผู้คุมกฎรู้เรื่องนี้ขึ้นมา มันก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเขาอย่างร้ายแรง
“ว่าแต่เข็มทิศมิติที่เป็นของขวัญปริศนาลับเป็นเข็มทิศระดับไหน แล้วมันสามารถเดินทางไปได้ไกลแค่ไหนงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามเปลี่ยนเรื่อง
***************
ใครคิดถึงเสี่ยวหยูน๊า น้องจะกลับมาแล้วนะ (แบบวับๆแวมๆ) 5555