ตอนที่แล้วบทที่ 86: ท่านหลินเฉิน ท่านจะยังดิ้นรนอีกทำไมเล่า?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 88: น่าฉงนยิ่ง เหตุอันใดข้าถึงเอาแต่คิดเรื่องท่านหลินกัน?

บทที่ 87: โม่หรูซวงชี้ชวนหลินเป่ยฟานให้แก่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของนาง!


ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

บทที่ 87: โม่หรูซวงชี้ชวนหลินเป่ยฟานให้กับผู้ที่อยู่เบื้องหลังของนาง!

ราชสำนักช่วงรุ่งสางได้สิ้นสุดลง หลินเป่ยฟานก็วิ่งไปเก็บเงินของเขาอย่างมีความสุขในทันที

หากเขาศึกษาบัลลูนลมร้อนด้วยวิธีทั่วไป มันคงจะมีค่าใช้จ่าย 2 ล้านตำลึงและใช้เวลาหลายทศวรรษ ซึ่งเขาก็อาจไม่ได้รับผลลัพธ์ใดๆ เลยด้วยซ้ำ ทว่าเนื่องจากเขามาจากอีกโลกหนึ่ง เขาจึงรู้หลักการเบื้องหลังของบัลลูนลมร้อนแล้ว

ด้วยความรู้นี้ เขาสามารถประหยัดเงินและเวลาได้มาก โดยสร้างบัลลูนลมร้อนรูปแบบที่ใช้งานได้จริงขึ้นมาเลย

ส่วนเงินทั้งหมดที่ได้มา เขาจะเข้ากระเป๋าของเขาทันที

“ส่วนที่สำคัญที่สุดของบัลลูนลมร้อนคือวัสดุของมัน! ตราบใดที่เราสามารถหาวัสดุที่กันน้ำ กันลมและทนทาน เราก็สามารถสร้างบัลลูนลมร้อนขนาดใหญ่ที่สามารถขึ้นไปได้โดยไม่มีปัญหา!”

“และข้าก็รู้ว่าต้องทำยังไง! ตราบใดที่ข้าสร้างมันขึ้นมาได้ มันก็สามารถรับน้ำหนักของคนได้!”

หลินเป่ยฟานดูพึงพอใจมาก

เขาได้ทำการคำนวณเพื่อซื้อวัสดุที่เหมาะสมในการเอาไปใส่ในบัลลูนแล้ว จากนั้นก็แค่ทำให้บัลลูนสามารถกันน้ำ กันอากาศและทนทานขึ้น ท้ายที่สุดก็มีแค่ต้องเพิ่มอุปกรณ์บางอย่างเข้าใส่...

รวมแล้วัมนคงมีค่าใช้จ่ายไม่กี่พันตำลึง ส่วนเงินที่เหลือก็จะเข้ากระเป๋าของเขา!

ยิ่งหลินเป่ยฟานคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น “ถ้าข้าใช้เงินไปมากกว่าหนึ่งหมื่นตำลึง จะถือว่าข้าแพ้!”

หลังจากที่เขากลับไปยังเรือน หลินเป่ยฟานก็ซื้อวัสดุจำนวนมากทันทีและจ้างคนหลายร้อยคนมาทำงานเพื่อแสดงให้มันยิ่งใหญ่ เขาต้องการให้จักรพรรดินี ขุนนางพลเรือนและทหารเห็นว่าเขากำลังวิจัยเรื่องบัลลูนลมร้อนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ให้เห็นว่าเขาใช้เงินที่ได้มาจริงๆ และไม่ได้เก็บไว้เพื่อตัวเอง

###

ในยามนั้น โม่หรูซวงและศิษย์น้องของนางที่ออกจากเมืองหลวงก็ได้รีบไปยังเหอเป่ยเหนือด้วยม้า จนมาถึงคฤหาสน์ที่หรูหราแห่งหนึ่ง หลังจากได้รับการต้อนรับจากคนรับใช้ พวกเขาก็เข้าไปข้างในและพบกับชายวัยกลางคนที่สวมชุดอันมีรสนิยม

ทั้งสองคนโค้งคำนับและพูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ขอคำนับท่านอ๋อง ขอท่านอ๋องทรงมีอายุยืนยาวนับพันปี!”

ชายวัยกลางคนในชุดอันมีรสนิยมได้เดินมาอย่างรวดเร็ว เขาหัวเราะและกล่าวออกมาด้วยความสุภาพ “ฮ่าฮ่า! เราทุกคนล้วนเป็นสหายกัน เจ้าสองคนไม่จำเป็นต้องสุภาพมากขนาดนี้หรอก นั่งลงเถิด! มาเถอะ เอาชามาสิ อย่าทำให้แขกของเราต้องรอ!”

โม่รัชวงและศิษย์น้องของนางรู้สึกอบอุ่นอย่างยิ่ง ทำให้ทั้งสองพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอบคุณที่เมตตา!”

พวกเขานั่งลงและชาก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ ควันอันแผ่วเบาปรากฏขึ้นเหนือถ้วยชา

ท่านอ๋องในชุดจีนโบราณมองไปยังคนทั้งสองที่ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่น จึงได้กล่าวออกมาว่า “เจ้าสองคนทำงานหนักมากจริงๆ! การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาเพียงเดือนกว่าๆ เท่านั้น แต่พวกเจ้าดูเปลี่ยนไปมากเลย การเดินทางคงจะไม่ง่ายสินะ!”

“มันไม่ยากเลยเพคะ เราเพียงแค่ต้องจัดการเรื่องราวนิดหน่อย” โม่หรูซวงกล่าวตอบ

“เมื่อเทียบกับสิ่งที่ท่านอ๋องทำ สิ่งที่เราต้องเผชิญก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย! เพราะท่านคือวีรบุรุษผู้กอบกู้อาณาจักรและราษฎร!” ศิษย์น้องของนางกล่าวเสริมอย่างเยินยอ

ท่านอ๋องโบกมือพร้อมด้วยรอยยิ้มและกล่าวอย่างสุภาพไปว่า “อืม อืม เจ้าทั้งสองเยินยอข้าเกินไปแล้ว ตัวข้าเองก็เป็นคนในราชวงศ์ มันเป็นหน้าที่ของข้าที่หวังว่าจะลดความขัดแย้งและการฆ่าฟันให้น้อยลงไป เพื่อที่ราษฎรจะสามารถอยู่ได้อย่างสงบสุข เมื่อเทียบกับพวกเจ้าสองคนที่ทำหน้าที่เพื่อราษฏรด้วยตัวของเจ้าเอง ข้านั้นด้อยกว่ามาก”

โม่หรูซวงและศิษย์น้องของนางรู้สึกซาบซึ้งใจยิ้ง

มีเพียงผู้ปกครองเช่นนี้เท่านั้น โลกใบนึ้จึงจะมีความหวัง!

“ว่าแต่พวกเจ้าได้อะไรจากการเดินทางครั้งนี้บ้างหรือเปล่า? เจ้าเจอวีรบุรุษแห่งรัตติกาลหรือไม่? เขาพูดว่าอะไรหรือ? เขาเต็มใจที่จะเข้าร่วมกับข้าไหม?” ท่านอ๋องเอ่ยถาม

ทั้งสองคนมองหน้ากัน โม่หรูซวงได้แต่กล่าวออกมาด้วยความอับอาย “ท่านอ๋อง เราขออภัยด้วย เราไม่ได้อะไรจากการเดินทางครั้งนี้เลย ข้าหาวีรบุรุษแห่งรัตติกาลไม่พบ เพื่อตามหาเขา เราถึงขั้นแสร้งทำเป็นเขาและออกไปช่วยคนยากจน แต่เราก็ยังคงพบเขาเลยสักครั้งเดียว ช่างโชคร้าย บางทีเขาอาจจะออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เราจึงไม่ทราบเลยว่าเขาไปที่ใด”

“อา…น่าเสียดายนัก!” ท่านอ๋องตบต้นขาและถอนหายใจออกมา

โม่หรูซวงและศิษย์น้องของนางรู้สึกละอายใจมาก

“เช่นนั้นเจ้าสองคนจึงเป็นผู้ที่แสร้งเป็นวีรบุรุษแห่งรัตติกาล ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในเมืองหลวงหรือ?” ท่านอ๋องเอ่ยถาม

“ใช่เพคะ เป็นข้าและศิษย์น้องเอง” โม่หรูซวงพยักหน้า

“ตามที่ข้ารู้ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในวันแรกของต้นเดือน แต่ว่าเรื่องมันผ่านมากว่า 20 วันแล้ว! ทำไมพวกเราถึงไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรจากพวกเจ้าทั้งสองเลย พวกเจ้าไปหลบหนีอยู่ที่ไหนกันหรือ?” ท่านอ๋องเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ข้ามิกล้าหลอกลวงท่านอ๋อง” โม่หรูซวงกล่าวพลางโค้งคำนับ “คืนนั้นศิษย์น้องของข้าและข้าได้แสร้งเป็นวีรบุรุษแห่งรัตติกาลเพื่อช่วยเหลือคนยากจน แต่เรากลับถูกทัพหลวงโจมตี! พวกเขาส่งทหารหลายพันนายและกระทั่งยอดฝีมือต้นกำเนิดมาตามล่าเรา !”

“ในคืนนั้นเราเกือบเอาชีวิตไม่รอด! โชคดีที่เราได้หลบภัยในคฤหาสน์ของหลินเป่ยฟาน ขุนนางชั้นสูงคนใหม่ที่เพิ่งผ่านการสอบของจักรพรรดิ เขาช่วยชีวิตของเราเอาไว้ เราใช้เวลาส่วนใหญ่ในคฤหาสน์ของเขา ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ก่อนที่จะออกจากเมืองหลวงเพื่อรายงานต่อท่านอ๋อง!”

ท่านอ๋องรู้สึกสับสน "หา? เจ้าจะบอกว่าหลินเป่ยฟานช่วยเจ้างั้นหรือ? แต่เขาเป็นคนของราชสำนัก เหตุไฉนเขาถึงช่วยเจ้ากัน?”

จากนั้นโม่หรูซวงก็อธิบายเหตุการณ์นอกเมืองที่พวกเขาได้พบกับหลินเป่ยฟาน

"เข้าใจแล้ว! พวกเจ้าสองคนคงผ่านอะไรมามากมาย ถ้าข้ารู้เช่นนี้ ข้าคงไม่ส่งเจ้าสองคนออกไป เราเกือบเสียพวกเจ้าไปแล้ว!” ท่านอ๋องรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของเขามาก

โม่หรูซวงและศิษย์น้องรู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดของท่านอ๋องเช่นกัน พวกเขาจึงกล่าวออกมาว่า “การรับใช้ท่านอ๋องเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว!”

“ในเมื่อเจ้าทั้งสองได้ติดต่อกับหลินเป่ยฟานมาระยะหนึ่งแล้ว เจ้าคงรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน! บอกได้ไหมว่าเขาเป็นคนยังไง? ข่าวลือบอกว่าเขาเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงที่โลภมาก…”

โม่หรูซวงรู้สึกไม่สบายใจมากเมื่อได้ยินเช่นนี้

นางรีบตอบไปว่า “ท่านอ๋อง ข่าวลือเหล่านั้นล้วนไร้มูลความจริง จงอย่าเชื่อทุกสิ่งที่ท่านได้ยิน!”

ท่านอ๋องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “จริงเหรอ? เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าเขาเป็นคนแบบไหน?”

“หลินเป่ยฟานเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงที่มีหลักการ เขารับเงินจากขุนนางโกงกินคนอื่นๆ เท่านั้นและไม่สร้างอันตรายต่อราษฎร โดยส่วนตัวแล้ว เขาได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อราษฎร แต่ไม่มีผู้ใดเข้าใจเขาเลย…”

โม่หรูซวงยังคงพูดเรื่องหลินเป่ยฟานและยกย่องเขาเล็กน้อย

“อา...เรื่องราวมันกลับกลายเป็นเช่นนี้เอง! ดูเหมือนว่าข่าวลือจากโลกภายนอกส่วนใหญ่ไม่น่าเชื่อถือและไม่เป็นจริงเลย!” ท่านอ๋องยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

เมื่อเห็นภาพลักษณ์ของหลินเป่ยฟานถูกชะล้างกลายเป็นขาว โม่หรูซวงก็รู้สึกมีความสุขพอสมควร

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เราสามารถเอาเข้ามาเป็นพวกได้นะ!”

“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นกันล่ะ?” ท่านอ๋องรู้สึกสับสน

“ท่านอ๋อง!” โม่หรูซวงโค้งคำนับ “หลินเป่ยฟานเป็นขุนนางระดับสูงคนใหม่ที่ผ่านการสอบของจักรพรรดิ ในแง่ของพรสวรรค์ มีเพียงไม่กี่คนในโลกที่สามารถเทียบกับเขาได้! เขายกเลิกสินทดแทนระหว่างสองอาณาจักร พิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีจิตใจที่ดี คำนึงถึงราษฎรและมีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมมากเพียงใด! แม้ว่าเขาจะฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่เขาก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว จึงไม่มีหนทางเลือกอื่น ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงรักษาบรรทัดฐานและหลักการพื้นฐานที่สุด ไม่สร้างอันตรายต่อราษฎร!”

“พรสวรรค์เช่นนี้หายากมากนัก!” โม่หรูซวงคล้ายกับยกหลินเป่ยฟานขึ้นสูงมาก “ยามนี้เรากำลังวางแผนการใหญ่ เราต้องเกณฑ์ทหารและซื้อม้ามา ถ้าหลินเป่ยฟานสามารถใช้ประโยชน์กับท่านอ๋องได้ เขาก็จะเป็นเหมือนเสือมีปีกของฝ่ายเรา!”

"เรื่องนี้...ข้าคงต้องคิดดูก่อน!" ท่านอ๋องตกอยู่ในห้วงภวังค์

โม่หรูซวงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านอ๋องจะเห็นด้วยทันที

ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็จะมีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน ต่อสู้เพื่อด้วยเหตุผลเดียวกัน และหลังจากความโกลาหลได้จบลงแล้ว…?

ขณะที่นางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ใบหน้าของนางก็แดงเล็กน้อย

กัวเส้าส้วยที่นั่งอยู่ข้างหลังนางเห็นแล้วยิ่งรู้สึกไม่มีความสุข!

นางคงต้องคิดถึงไอ้บัดซบนั่นอีกแล้วเป็นแน่!

เห็นได้ชัดว่านางแนะนำให้ท่านอ๋องเพื่อหวังว่าจะมีโอกาสในอนาคตที่ได้พูดคุยกับเขามากขึ้น...

เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว พวกเขาเพิ่งรู้จักกันเพียง 20 วัน นางผู้เป็นศิษย์พี่หญิงที่มีความรู้และเย็นชาอยู่เสมอ กลับตกหลุมรักไอ้สารเลวบัดซบน่ารำคาญที่แทบไม่มีใครอยากจะพูดด้วย!

เป็นเพราะเขาหล่องั้นเหรอ?

หรือเพียงเพราะเขามีความสามารถ?

ศิษย์พี่หญิงของข้าไม่ได้มองผิวเผินขนาดนั้น! นี่มันไม่สมเหตุสมผลสักนิด!

อา ไอ้สารเลวบัดซบนั่น!

ถ้าข้ามีโอกาสกลับไป ข้าจะทุบตีมันอย่างแน่นอน!

“นี่เป็นเรื่องสำคัญ ข้าคงต้องคิดอย่างรอบคอบเสียก่อน! สหายหนุ่มสาว พวกเจ้าทั้งสองไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะแจ้งให้เจ้าทราบทีหลังเมื่อข้าตัดสินใจแล้ว!” ท่านอ๋องกล่าวกับพวกเขาอย่างมีมารยาท

“ท่านอ๋อง! เช่นนั้นเราขอตัวก่อน!” ทั้งสองยืนขึ้นและโค้งคำนับ

ในยามนั้นเอง ชายหนุ่มรูปหล่อที่แต่งตัวดูดีก็ได้เดินเข้ามาและเห็นโม่หรูซวง ใบหน้าของเขาดูยินดียิ่ง “หรูซวง เจ้ากลับมาแล้ว! ข้าได้ยินจากคนรับใช้ว่าเจ้ากลับมา ดังนั้นข้าจึงรีบมาหาเจ้าทันที!”

ในเวลานี้ ใบหน้าของท่านอ๋องพลันดูไม่สบอารมณ์ในทันที “เจี๋ย ในฐานะคุณชายของตระกูลหวัง เจ้าทำตัวหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ได้ยังไง?”

ชายหนุ่มรูปงามโค้งคำนับทันทีและกล่าวตอบว่า “ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยท่านพ่อ!” คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือลูกชายของท่านอ๋อง อู๋หยิงเจี๋ย

“สหายหนุ่มสาวทั้งสอง บุตรชายของข้าไร้มารยาท ขออภัยที่เขาทำตัวน่าอับอายต่อหน้าพวกเจ้าทั้งสอง!” ท่านอ๋องกล่าวออกมาอย่างละอายใจ

“ท่านอ๋อง อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย” โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยโค้งคำนับชายหนุ่มรูปงาม จากนั้นจึงกล่าวไปว่า “ยินดีที่ได้พบคุณชาย!”

“พวกเจ้าทั้งคู่เป็นสหายเก่า ไม่ต้องมากพิธีหรอก!” อู๋หยิงเจี๋ยกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่โม่หรูซวงโดยไม่แม้แต่จะกระพริบตา

โม่หรูซวงได้แต่ถอนหายใจออกมา นางรู้มาตลอดว่าคุณชายสนใจในตัวนาง สำหรับผู้หญิงคนใดในโลก ถ้าได้มีโอกาสได้เป็นสตรีของคุณชาย พวกเขาคงจะรู้สึกตื่นเต้นจวนแทบจะเป็นบ้าอย่างแน่นอน

ทว่าตัวนางไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อคุณชาย อีกทั้งนางก็ไม่ใช่คนที่มองเพียงภายนอก ดังนั้นนางจึงรักษาระยะห่างให้เขาเขาเสมอ บางครั้งถึงขั้นหลีกเลี่ยงเขาโดยเฉพาะ

เมื่อมองไปที่คุณชายเบื้องหน้าที่หล่อเหลา อีกคนหนึ่งก็ได้ผุดขึ้นมาในความคิดของนาง – หลินเป่ยฟาน นางเผลอเปรียบเทียบทั้งสองคนโดยไม่รู้ตัว ในแง่ของภาพลักษณ์และอารมณ์ ท่านอ๋องก็ถือว่าหล่อเหลาและอ่อนโยน ให้ความรู้สึกสูงส่งของผู้ที่เกิดในราชวงศ์ ก็มิมีผู้ใดกล้าดูถูก

ทว่าเมื่อเทียบกับหลินเป่ยฟานแล้ว รูปลักษณ์ของหลินเป่ยฟานเรียกได้ว่าเป็น "บุรุษรูปงามแห่งยุครุ่งเรือง" ที่สมบูรณ์แบบและหาที่เปรียบมิได้

ส่วนทางด้านอารมณ์ เขามีความเย่อหยิ่ง มีความมั่นใจในตนเองและความสงบเยือกเย็นที่สามารถแก้ปัญหาอะไรก็ได้ ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่เขาไม่สามารถแก้ไข

ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด