บทที่ 86: ท่านหลินเฉิน ท่านจะยังดิ้นรนอีกทำไมเล่า?
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 86: ท่านหลินเฉิน ท่านจะยังดิ้นรนอีกทำไมเล่า?
เหล่าขุนนางอิจฉากันแทบบ้า!
จะให้สวนกับหลินเป่ยฟานอีกเนี่ยนะ? แค่เรือนของเขามันก็ไม่ใหญ่พอแล้วหรือ?
เรือนของเขาสามารถรองรับคนได้มากกว่าร้อยคน ซึ่งมีแต่ขุนนางระดับสูงของราชสำนักเท่านั้นที่จะมีมันได้!
จะเอาให้ใหญ่เท่าพระราชวังหรือ!
การให้ลานของเรือนอีกแห่งแก่เขาเพื่อเติมเต็มสมบัตินั้นมากเกินไปแล้ว ต่อให้จักรพรรดินีจะให้มันเป็นรางวัลก็เถอะ!
ท่านไม่สนใจหัวอกขุนนางชราอย่างพวกข้าบ้างหรือไงกัน?
หลินเป่ยฟานถึงกับตกตะลึง
นางจะให้ลานบ้านอีกแห่งแก่เขาเนี่ยนะ?
นั่นดูจะไม่เป็นเรื่องดีสำหรับเขาเลยสักนิดเดียว!
“ฝ่าบาท ไม่ได้นะขอรับ!”
"ทำไมจะไม่ได้กันเล่า?" จักรพรรดินีพลันรู้สึกสับสนมาก “ท่านหลิน ท่านบอกว่าลานของเรืองท่านเล็กเกินไปและไม่สามารถเก็บสมบัติกับของหายากได้ทั้งหมด ดังนั้นข้าจึงให้ท่านอีกหนึ่งเพื่อแก้ปัญหานี้ ไม่ได้หรือ?”
“ปัญหานี้อาจแก้ไขได้ แต่ก็มีอีกปัญหาหนึ่งเกิดขึ้น!”
หลินเป่ยฟานได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ฝ่าบาท ครอบครัวของข้ามีจำนวนน้อย รวมข้าไปด้วยก็มีเพียงสี่คนเท่านั้น เพียงจัดการลานของเรือนเดิมนั้นก็เกินขีดความสามารถของเราแล้ว! ถ้าท่านเพิ่มอีกอันขึ้นมา มันก็แทบจะเป็นหายนะ! ดังนั้นข้าจึงขอร้องฝ่าบาท ได้โปรดถอนพระทัยด้วย!”
“ท่านหลิน ท่านไม่เข้าใจเลย!”
“ข้าไม่เข้าใจงั้นหรือ?” หลินเป่ยฟานชะงักไป
"ท่านต้องดูแลมันได้อยู่แล้ว!" จักรพรรดินีกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ “ท่านหลิน ยามนี้ท่านเป็นขุนนางของราชสำนัก ท่านย่อมมีเงินตราอยู่มากมายนัก ท่านควรจ้างคนมาเพื่อช่วยจัดการทรัพย์สินของท่าน ไม่จำเป็นต้องตระหนี่มากขนาดนั้นเลย! เมื่อข้าแนะนำให้ท่านจ้างคนมาช่วยเพิ่ม ท่านก็ปฏิเสธ ยามนี้ท่านจึงต้องพบเจอปัญหาไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยฟานได้แต่เงียบกริบกับคำพูดของนาง
นางมีเหตุผลจนเขาโต้แย้งไม่ได้!
เหล่าขุนนางอิจฉากันมากจนอยากจะสังหารหลินเป่ยฟานให้รู้แล้วรู้รอด!
จักรพรรดินีแนะนำให้เขารับทุกอย่างไป มอบทุกอย่างเพื่อให้เขาได้ไปเสวยวุข!
มิฉะนั้นนางจะไม่สบายใจ!
นี่มัน...
นางชอบพอเขามากเพียงใดกัน!
ทำไมขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงคนนี้ถึงได้รับความโปรดปรานเช่นนี้ แม้จะโกงกินและก่อเรื่องไปมากมายขนาดนี้?
ความยุติธรรมอยู่แห่งหนใด? ความเป็นธรรมอยู่ที่ใด?
เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมจักรพรรดินีได้ หลินเป่ยฟานจึงต้องขอความช่วยเหลือจากภายนอก เขากระซิบกับเสนาบดีที่ยืนอยู่ข้างเขา เกาเทียนเย่า เสนาบดีเจ้ากรมครัวเรือนและเฉียนหยวนซิน เสนาบดีคลัง “พวกท่านได้โปรดช่วยข้าเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทด้วยเถิด ปกติพวกท่านก็เก่งเรื่องนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
ใบหน้าของเสนาบดีทั้งสองเต็มไปด้วยความเย็นชา พวกเขาได้แต่คิดในใจ “เจ้าขอให้เราเกลี้ยกล่อมนางหรือ? นี่เจ้ากำลังอวดเบ่งใส่พวกข้าสินะ!”
พวกเขาหันหลังกลับและไม่สนใจเขาเลย จากนั้นหลินเป่ยฟานก็หันไปหาเสนาบดีคนอื่นๆ และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา “ท่านเสนาบดีจ้าว ท่านเสนาบดีหวัง พวกท่านเองก็เป็นคนที่มีความยุติธรรมมาก ฝ่าบาทให้รางวัลข้ามากเกินไป ข้ารับไม่ได้ พวกท่านช่วย…ทูลบอกนางหน่อยได้ไหม?”
ใบหน้าของเสนาบดีจ้าวและหวังก็กลับกลายเป็นน่าเกลียดทันที “เจ้ากำลังพยายามยั่วยุพวกเราหรือ?” พวกเขาคิดเช่นนั้น “ข้าไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายเท่าเจ้ามาก่อนเลย!” พวกเขายังหันหลังกลับและไม่สนใจเขาสักนิดเดียว
หลินเป่ยฟานจึงมองไปอีกด้านหนึ่ง “ท่านเสนาบดีซุน ท่านเสนาบดีหลิว พวกท่านต่างไม่ชอบข้า นี่เป็นโอกาสแล้วที่พวกท่านจะได้เปล่งประกาย ใช้คารมคมคายของท่านเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทถอนพระทัยเร็ว ถ้าท่านไม่พูดตอนนี้ มันจะสายเกินไปแล้ว!”
ใบหน้าของเสนาบดีซุนและหลิวเปลี่ยนเป็นดำทะมึนทันที “ไอ้เจ้าบัดซบ!” พวกเขาเองก็คิดเช่นนั้น “เจ้ามันก็แค่ต้องการอวดเบ่งใส่พวกเรา! ถ้าเราพูด เราก็จะถูกมองว่าไร้ยางอายเหมือนกับเจ้า!”
ในท้ายที่สุด หลังจากพยายามขอความช่วยเหลือ หลินเป่ยฟานก็ไม่พบผู้ใดที่จะมาโต้แย้งเรื่องนี้ได้เลย เขารู้สึกระทมใจเหลือเกินที่ทุกคนต่างเป็นมิตรกับเขามากขนาดนี้ “ข้าไม่อยากได้สิ่งนี้เลย!” เขาคิดในใจ
จักรพรรดินีนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรของนาง ยิ้มขณะที่นางเฝ้ามองดูทุกอย่าง นางมีสีหน้าพึงพอใจขณะกล่าวกับหลินเป่ยฟาน “พอได้หรือยัง? เจ้าจะดิ้นรนต่อไปอีกนานแค่ไหน?”
หลินเป่ยฟานปาดเหงื่อบนใบหน้าพลางกล่าวตอบไปว่า “ฝ่าบาท ท่านไม่จำเป็นต้องให้รางวัลเป็นลานเรือนแก่ข้าเลย!”
“แต่เรือนของเจ้าไม่สามารถเก็บของไว้ได้ทั้งหมด…” จักรพรรดินีกล่าว
“ไม่เป็นไร ข้าจะเก็บมันไว้ในวังก่อนก็ได้ ไว้ข้าจะใช้มันยามที่จำเป็น” หลินเป่ยฟานตอบอย่างรวดเร็ว
จักรพรรดินีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและตอบไปว่า “ได้”
"ขอบพระทัยฝ่าบาท!" หลินเป่ยฟานกล่าวออกมา
องค์จักรพรรดินีพอใจกับการกระทำของตนเองมาก นางได้ให้รางวัลแก่เสนาบดีที่ซื่อสัตย์ ทั้งยังทำให้พวกขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกคนโกรธแค้น
ช่างสนุกจริงเชียว!
สดชื่นเหลือเกิน!
ถ้าข้ามีโอกาส ข้าก็จะทำมันอีกครั้ง!
หลังจากปกปิดอารมณ์ของนางแล้ว ราชสำนักช่วงรุ่งสางก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
“หากไม่มีผู้ใดทูลเรื่องอะไรอีก ข้าจะถือว่าการประชุมในราชสำนักวันนี้จะจบลงแล้ว!”
“ขออภัยด้วยฝ่าบาท ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องกล่าวทูล!” หลินเป่ยฟานกล่าวเสียงดังพร้อมกับยกมือขึ้น
จักรพรรดินียิ้มและถามว่า “ท่านหลิน ท่านต้องยื่นคำร้องเรื่องอะไรหรือ?”
หลินเป่ยฟานกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาท! ก่อนหน้านี้ข้าได้รับคำสั่งให้นำบัณฑิตไปทำการวิจัยเพื่ออาณาจักรของเรา ข้าย่อมทำโดยไม่เกียจคร้าน! แต่เมื่อทำการศึกษาลึกลงไป ทำให้กำลังคน ทรัพยากรวัสดุและทรัพยากรทางการเงินจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เงินเดือนหลวงของข้าเพียงอย่างเดียวมีจำกัด เงินทุนของทางสถาบันจักรพรรดิก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นข้าจึงขอให้ฝ่าบาทจัดสรรเงินทุนบางส่วนเพื่อสนับสนุนการวิจัยด้วยขอรับ!”
จักรพรรดินีพยักหน้า “ได้อยู่แล้ว! เจ้าต้องการเงินเท่าไรบอกข้ามาได้เลย ข้าจะสั่งให้ทางเจ้ากรมคลังจัดสรรเงินให้เจ้าเอง!”
“เงินทุนที่ข้าต้องการอยู่ในคำร้องแล้ว โปรดตรวจสอบด้วยฝ่าบาท!” หลินเป่ยฟานกล่าว
"ส่งมันมา!"
หลังจากได้รับคำร้องแล้ว จักรพรรดินีก็มองดูมันอย่างถี่ถ้วน
ยิ่งมองมากเท่าไร นางก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นเท่านั้น นางถึบกับอดไม่ได้ที่จะมองไปทางหลินเป่ยฟานอย่างแปลกประหลาด
หลินเป่ยฟานยังคงสงบนิ่ง ไม่หลบสายตาด้วย
จักรพรรดินียังคงมองไปทางเขาจนริมฝีปากของนางกระตุกแปลกๆ
ด้วยเหตุนี้นางจึงได้แต่ยื่นคำร้องด้วยใบหน้านิ่งเฉย “เสนาบดีเฉียน เจ้ามาดูคำร้องขอนี้สิ! เจ้าคิดว่าเงินทุนนี้เหมาะสมหรือไม่?”
“ขอรับฝ่าบาท!” เฉียนหยวนเซิน เสนาบดีเจ้ากรมคลังรับบัญชาและเดินเข้ามาด้วยความเคารพ
ใบหน้าของเขาประหลาดเสียยิ่งกว่าจักรพรรดินี!
ยิ่งเขามองมากเท่าไร เขาก็ยิ่งตัวสั่นมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดก็ตะโกนว่า “ไร้สาระ! การวิจัยเรื่องพวกนั้นต้องใช้เงินจำนวนมากขนาดนี้ได้อย่างไร? 5 ล้านตำลึงต่อปีเป็นเวลาสามปี! ผู้อำนวยการหลิน เจ้ากำลังพยายามยักยอกเงินเพราะมีโอกาสงั้นหรือ?”
ถูกต้องแล้ว
เนื่องจากเขาต้องการเงินจำนวนมากในการเพิ่มพลัง ดังนั้นเขาจึงต้องหาแหล่งรายได้มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมุ่งเป้าไปที่คลังของอาณาจักร
มีเงินมากมายในคลังของอาณาจักร หากเขาไม่รับเงินนั้นมา เขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้พวกขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงอื่นๆ ใช้ประโยชน์จากเงินนั้น
ดังนั้นให้เขาเก็บมันไว้เถอะ!
ทว่าเขาไม่สามารถกล่าวออกไปตามตรงเช่นนี้ได้
หลินเป่ยฟานยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านเฉียน ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว! ข้าใช้ชีวิตขาวสะอาดและซื่อสัตย์มาโดยตลอด เป็นขุนนางที่เที่ยงธรรมมาโดยตลอด ข้าจะทำสิ่งที่จะกระตุ้นความโกรธของทั้งมนุษย์และพระเจ้าได้เช่นไรกัน?”
ริมฝีปากของขุนนางและจักรพรรดินีแทบจะกระตุกในเวลาเดียวกัน
ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยทำแล้วหรือ อีกทั้งยังทำไปหลายครั้งแล้วด้วย!
สิ่งที่อุกอาจยิ่งกว่าคือ เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าราชสำนักเนี่ยนะว่าเจ้าเป็นคนซื่อสัตว์และขาวสะอาด?
ไร้ยางอาย ไร้ยางอายยิ่งนัก!
หลินเป่ยฟานกล่าวแย้งไปอีกว่า “ฝ่าบาทและทุกท่าน ทุกสิ่งที่ข้ากำลังศึกษาเป็นงานวิจัยของอาณาจักร! มีเรือเหล็กขนาดยักษ์ที่สามารถคุมน่านน้ำได้ บัลลูนลมร้อนที่สามารถพาผู้คนขึ้นไปบนท้องฟ้าและข้าวพันทางที่สามารถแก้ปัญหาอาหาร... ตราบใดที่เราผลิตมัน มันก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของอาณาจักรเราได้อย่างรวดเร็ว! ทุนการวิจัยปีละ 5 ล้านตำลึงมันมากเกินไปงั้นหรือ?”
“ถ้าสามารถค้นคว้าได้จริง 5 ล้านตำลึงก็ไม่มากนัก! แต่ถ้าไม่สามารถศึกษาได้สำเร็จเล่า? หากเงินนี้สูญเปล่า ผู้ใดจะชดเชยเงินจำนวนมากขนาดนั้น?”
เสนาบดีเจ้ากรมคลังเฉียนหยวนเซินกางมือออกและกล่าวต่อว่า "เจ้าควรรู้ว่าคลังของอาณาจักรเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอาณาจักร เงินจำนวนนี้จำเป็นต้องจัดสรรให้กับทุกส่วน! หากเราเปลี่ยนเส้นทางเงินทุนไป มันจะส่งผลกระทบต่อการใช้เงินในด้านอื่นๆ และผลกระทบของมันก็จะใหญ่หลวงมาก! ดังนั้นจำนวนเงินทุนนี้จึงถือว่ามากเกินไป ข้าไม่สามารถอนุมัติได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ขุนนางผู้อื่นก็เริ่มแสดงความคิดเห็นเช่นกัน...
“ข้าก็ไม่สามารถอนุมัติได้เช่นกัน!”
“จำนวนเงินมากเกินไป รายได้ประจำปีของคลังอาณาจักรของเรามีเพียงไม่กี่ร้อยล้าน ถ้าเราจัดสรร 5 ล้านตำลึงออก มันจะส่งผลกระทบต่อทุกด้านและเราทุกคนคงไม่อาจบริหารจัดการอะไรได้อีก!”
“ถ้าเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น หากเราต้องการเงินทุนล่ะ?”
“ข้ารู้สึกมาตลอดว่าสิ่งที่ผู้อำนวยการหลินกำลังค้นคว้านั้นดูไม่อาจทำได้จริงเลย มันเป็นไปไม่ได้สักนิดเดียว!”
“เช่นนั้นเราจะเสียเงินไปทำไมกัน? ให้เขาวิจัยศึกษาค้นคว้าให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จากนั้นค่อยเอาเงินให้ไปก็ได้!”
จักรพรรดินีก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน “ท่านหลิน ลืมเรื่องนี้ไปเถิด! ท่านควรลองขออนุมัติงบประมาณหนึ่งถึงสองแสนตำลึงก่อน แล้วค่อยเพิ่มการลงทุนเมื่อการวิจัยเกิดผลจริงๆ จะไม่ดีกว่าเหรอ?”
หลินเป่ยฟานโค้งคำนับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถค้นคว้าเรื่องพวกนี้ได้! ในการวิจัยเรื่องบัลลูนลมร้อน หากข้าได้รับเงินทุนเพียงพอ ข้ามั่นใจว่าสามารถพัฒนาให้คนขึ้นไปอยู่ข้างบนนั้นได้ภายในเวลาสามเดือน!”
ทุกคนถึงกับตกตะลึง ให้บัลลูนลมร้อนสามารถบรรทุกคนได้ภายในสามเดือนเนี่ยนะ? มันจะทำได้จริงหรือ? ไม่มีใครต้านทานสิ่งล่อตาล่อใจนี้ได้เลย เพราะทุกคนที่นี่ครั้งหนึ่งล้วนอยากโบยบินท่ามกลางเวหา
จักรพรรดินีก็จึงรีบถามว่า “ท่านหลิน ท่านสามารถค้นคว้าได้ภายในสามเดือนจริงๆ หรือ? ท่านต้องการเงินเท่าไร?”
“ข้ามิกล้าหลอกฝ่าบาท ข้าทำได้จริงๆ! ส่วนจำนวนเงินที่ข้าต้องการ…” หลินเป่ยฟานยิ้มเล็กน้อยและชูสองนิ้ว “สองล้านก็น่าจะเพียงพอแล้วขอรับ!”
สีหน้าของขุนนางทุกคนกระตุก สองล้าน? กล้าพูดด้วยท่าทางเช่นนี้ได้ยังไงกัน!
“สองล้านเป็นจำนวนเงินที่รับได้ หากบัลลูนลมร้อนสามารถบรรทุกคนได้ภายในสามเดือนจริงๆ!” เสนาบดีเจ้ากรมคลังเฉียนหยวนเซินกล่าว พลางหันศีรษะไปมองหลินเป่ยฟานอย่างเคร่งเครียดและถามว่า “แต่…ถ้าไม่สามารถวิจัยได้ เจ้าจะชดเชยเงินจำนวนนี้เช่นไร?”
หลินเป่ยฟานกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล “หากไม่สามารถค้นคว้าวิจัยได้ เงินจะถูกส่งกลับไปยังคลังอาณาจักรพร้อมดอกเบี้ย! คิดเสียว่าข้ายืมเงินจากคลังหลวง!”
"ดีมาก! เช่นนั้นก็จำคำพูดของเจ้าเอาไว้!" เฉียนหยวนเซินหันกลับมาและคำนับ “ฝ่าบาท ข้าไม่คัดค้าน!”
“แล้วความคิดเห็นของขุนนางท่านอื่นล่ะ?”
“ข้าก็ไม่มีข้อโต้แย้ง ถ้าผู้อำนวยการหลินสามารถวิจัยได้จริงอย่างที่เขากล่าวมาภายในสามเดือน แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ ข้าเห็นด้วยกับการคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย!” เสนาบดีเจ้ากรมครัวเรือนเกาเทียนเย่าได้กล่าวขึ้นมา
ขุนนางทุกคนก็กล่าวเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียงกัน “เราไม่มีข้อโต้แย้ง!”
จักรพรรดินีจึงประกาศว่า “ตกลง! เช่นนั้นก็ตามความคิดเห็นของขุนนางทุกคน! ท่านหลิน ก้าวมาข้างหน้าเพื่อรับพระราชกฤษฎีกา ข้าจะขอสั่งให้ท่านวิจัยและพัฒนาบัลลูนลมร้อนที่สามารถบรรทุกคนได้ภายในสามเดือน! เงินทุนที่จำเป็นจำนวน 2 ล้านตำลึงสามารถถอนออกจากคลังหลวงได้! หากไม่ประสบความสำเร็จ เงินทั้งหมดจะต้องถูกส่งคืนไปยังคลังหลวงพร้อมดอกเบี้ยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง!”
“ข้าจะทำให้ดีที่สุดและไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังขอรับ!” หลินเป่ยฟานคำนับ