บทที่ 34 โชคดอกท้อ
“ฮ่องเต้เสด็จแล้ว!”
สิ้นเสียงประกาศ ทุกคนก็พากันโค้งคำนับพร้อมทั้งเปล่งเสียงถวายพระพรกันอย่างพร้อมเพรียง
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ฮ่องเต้ทรงพระเจริญ!”
“ทำตัวตามสบายเถิด ไม่ต้องพิธีรีตองนัก” ฮ่องเต้หนานหวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าฮ่องเต้ทรงกังวลเกี่ยวกับกิจการของการเมืองมาก ทำให้สุขภาพของเขาไม่ดีเหมือนแต่ก่อนแล้ว ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงท่าน
ทันทีที่เฟิ่งหยินซวงเงยหน้าขึ้นจากการทำความเคารพ นางก็เห็นร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ข้างฮ่องเต้ นางนึกสงสัยว่าหลังจากที่แยกย้ายกันที่หน้าประตูวังแล้วเขาหายไปไหน ปรากฏว่าเขาเข้าเฝ้าฮ่องเต้เป็นการส่วนตัว และเข้างานมาพร้อมกับท่าน
แน่นอนว่าดวงตาสีรัตติกาลที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากหมาป่าของเขาก็จดจ้องมาที่นางเช่นกัน และมันทำให้นางต้องรีบหันหน้าหนีไปอีกทาง
องค์หญิงฉางเล่อ เมื่อนางเห็นฮ่องเต้ขาน้อย ๆ ก็วิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจก่อนจะกระโดดกอดขาของเขาเอาไว้และเริ่มออดอ้อน
“ท่านพ่อ ทำไมท่านพ่อมาช้าจังเพคะ”
“เล่อเอ๋อร์ ท่านพ่อต้องทำงานเพื่อดูแลบ้านเมือง เจ้าไม่ควรพูดเช่นนั้นกับท่านพ่อนะจ๊ะ” สนมซีอานตำหนินางเบา ๆ
“อย่าดุลูกเลย เล่อเอ๋อร์ยังเด็กนัก ข้าก็ชอบให้นางงอแงใส่ข้าเช่นกัน” ฮ่องเต้ว่าแล้วก้มลงกอดองค์หญิงน้อยไว้แนบอก
เขามีบุตรคนเล็กอายุเพียงห้าขวบ ทั้งยังเป็นบุตรสาวคนเดียวของราชวงศ์ แน่นอนว่าเขาต้องรักนางมาก สนมซีอานจึงรู้สึกโล่งใจที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้
“ว่าแต่พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่ ดูครื้นเครงเชียว” เพราะฮ่องเต้เห็นพวกนางยืนกันเป็นกลุ่มท่านจึงสอบถามด้วยความสงสัย
เพียงแค่ท่านถามประโยคนี้ เฉินชูเซียนก็หน้าซีด นางรู้ว่าฮ่องเต้สั่งห้ามไม่ให้ใครพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ที่นางตั้งใจพูดคำเหล่านั้นก็เพื่อให้เฉินหยิงอับอายและทำให้องค์ชายสองรังเกียจนาง
ด้วยความกลัว เฉินชูเซียนจึงเดินหนีไปอยู่กับกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งในทันที
โชคดีของนางที่เฟิ่งหยินซวงและคนอื่น ๆ ไม่ได้พูดถึงความหยาบคายของนางในตอนนี้ เพราะวันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของสนมซีอาน หากมีอะไรที่ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจมันจะส่งผลต่อบรรยากาศในงานเลี้ยงได้
“ฝ่าบาท หม่อมข้า ซวงเอ๋อร์ และคนอื่น ๆ กำลังพูดคุยกับองค์ชายสอง ท่านก็ทราบว่าองค์ชายเป็นคนรอบรู้ แต่ตอนนี้ท่านกำลังชื่นชมเพื่อนของเรา พวกเราจึงรู้สึกแปลกใจกันมากเพคะ” สนมซีอานตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“โอ้! ความรอบรู้ของเฉินเอ๋อร์ยังด้อยกว่าใครได้อีกหรือ ใครกันล่ะที่พวกเจ้ากำลังชื่นชมอยู่?”
“นางคนนี้เพคะฝ่าบาท แม่นางเฉิน”
เมื่อฮ่องเต้ได้รู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นใครเขาก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เพราะนางคนนั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน แต่เป็นหญิงสาวที่เขาเคยเจอในท้องพระโรงเมื่อไม่กี่วันก่อน
“เจ้านั่นเอง การที่สนมซีอานยกย่องเจ้าแบบนี้ อีกทั้งเฉินเอ๋อร์ลูกข้าก็ยังชื่นชมเจ้า เจ้าต้องมีอะไรพิเศษแน่”
ได้ยินแบบนั้นเฉินหยิงก็รีบคุกเข่าลงด้วยความประหม่า
“หม่อมข้าเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ไร้ความสามารถ การที่องค์ชายสองและสนมซีอานรู้สึกแบบนั้นคงเป็นความผิดพลาดของหม่อมข้าเอง โปรดฮ่องเต้ให้อภัยเพคะ”
“หากเฉินเอ๋อร์เป็นคนออกปาก เจ้าก็สมควรได้รับคำชมเชยแล้ว ดังนั้นอย่าถ่อมตัวอีกเลย”
“สตรีที่สามารถเข้าใจบทกวียาก ๆ ได้ โดยธรรมชาติแล้วต้องเป็นคนเฉลียวฉลาดและกระตือรือร้น ท่านพ่อ อย่าพูดให้นางเขินอายเลย” หนาน หยูเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
ศิลปะของราชวงศ์ฉู่ตอนใต้รุ่งเรื่องเป็นอย่างมาก เมื่อประเทศสงบสุขและผู้คนปลอดภัยจึงมีผู้ที่สนใจในบทกวีและผู้รู้หนังสือกันมากขึ้น พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันเป็นชมรมเพื่อแลกเปลี่ยนความสนใจ และฮ่องเต้เองก็ชื่นชมผู้มีความสามารถเหล่านั้นเป็นอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อเขาได้รู้ว่าเฉินหยิงมีความรู้ในด้านนี้ สายตาที่เขามองนางก็เริ่มเปลี่ยนไป
“เฉินเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าชื่นชมแม่นางเฉินมาก ทำไมเจ้าไม่ชวนนางให้เข้าร่วมชมรมกวีที่เจ้าเป็นผู้ก่อตั้งเสียล่ะ? แม้ว่านางจะเป็นผู้หญิง แต่นางก็มีพรสวรรค์ ถือเป็นความสามารถที่หายากนัก”
“แน่นอนว่าข้าสนใจท่านพ่อ ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับแม่นางเฉินด้วยว่าสนใจหรือไม่”
ได้ยินอย่างนั้น เฉินหยิงก็ได้แต่ก้มหน้างุดไม่ยอมตอบ จนกระทั่งเฟิ่งหยินซวงเข้าไปสะกิดเบา ๆ ที่แขน นางถึงได้รีบตอบตกลง และนั่งลงคุกเข่าคำนับในทันที
“หม่อมข้าขอบพระทัยฮ่องเต้และองค์ชายสองสำหรับความเมตตาและโอกาสเพคะ หม่อมข้าจะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและแบ่งปันความรู้ที่มีให้กับคนอื่น ๆ ในชมรมอย่างตั้งใจเพคะ”
เฉินชูเซียนที่ยืนอยู่ด้านหลังกัดฟันด้วยความโมโห เล็บยาวของนางจิกลึกลงไปในฝ่ามือจนเริ่มรู้สึกเจ็บ ในตอนนี้ นางรับรู้ได้ทันทีว่าคนที่เฟิ่งหยินซวงต้องการให้คู่กับเฉินหยิงคือองค์ชายสอง!
...
และแล้วงานเลี้ยงวันเกิดก็เริ่มต้นขึ้น
ในฐานะที่เป็นแม่งานในวันนี้ สนมซีอานจึงได้นั่งบนบัลลังก์เคียงข้างกับฮ่องเต้
ตัดมาที่หนานหยูเฉิน ไม่มีใครรู้ว่าเขาสนใจในพรสวรรค์ของเฉินหยิง หรือเพราะเหตุผลอื่น เขาจึงได้เชิญให้นางมานั่งข้างเขา
จากการกระทำนี้ก็ทำให้สายตาหลายคู่จดจ้องมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว ไม่ใช่แค่เฉินชูเซียน แต่รวมไปถึงหญิงสาวคนอื่นด้วย แน่นอนว่าดวงตาของพวกนางเต็มไปด้วยความริษยาอย่างชัดเจน
หนานหยูเทียนเมื่อเห็นแบบนั้นเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเฟิ่งหยินซวงทันที แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากชวนนางให้มานั่งด้วยกัน ใครอีกคนก็เข้ามาคว้ามือนางให้ไปยืนเคียงข้างอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองหนานหยูเทียนก็รับรู้ได้ทันทีว่าคน ๆ นี้เป็นใคร
เฟิ่งหยินซวงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ มีสายตาหลายคู่จดจ้องมาที่เราสามคนอยู่ในตอนนี้ แต่ดูเหมือนคนที่ยืนข้างนางไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด
กษัตริย์ชิงผิงมักเป็นจุดสนใจของผู้คนอยู่เสมอ
เพราะเขาแทบไม่เคยปรากฏตัวที่ไหน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คนจำนวนมากได้เห็นเขากับตา พวกเขารู้สึกหวาดกลัวกับหน้ากากหมาป่าที่ปกปิดใบหน้า รวมไปถึงข่าวลือน่ากลัวเกี่ยวกับตัวเขาด้วย
เฟิ่งหยินซวงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย นางรีบผละออกจากมือของจุนโมเชน แล้วหนีไปยืนข้างสนมซีอานก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ องค์หญิงฉางเล่อ
ดูเหมือนตอนนี้จะมีข่าวลือใหม่ที่ว่า ‘กษัตริย์ชิงผิงและองค์ชายสามต่างตกหลุมรักเฟิ่งหยินซวงด้วยกันทั้งคู่’ เข้ามาแทนที่ข่าวลือเดิมเสียแล้ว
ซึ่งภาพที่เห็นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีมูลความจริง