นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 273 - ร่างเงิน
แค๊ก! แค๊ก!
เสียงไอที่ค่อนข้างดังทำลายความเงียบสงบของผืนป่าขึ้นมา มันทำให้นกและสัตว์ป่าตัวเล็กตัวน้อยที่วนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นเผ่นหนีกันอย่างวุ่นวาย
เดวิดยกมือขึ้นมาเช็ดปากอย่างมึนงง เขารู้สึกตัวหลังจากที่ไอออกมาอย่างหนัก 2-3 ครั้ง สติการรับรู้นั้นยังอยู่ในสภาพที่สับสนวุ่นวาย มันต้องใช้ระยะเวลาสักครู่หนึ่งเลยก่อนที่ภาพความทรงจำก่อนสิ้นสติลงไปจะกลับคืนมา
เดวิดกัดฟันเพื่อเตรียมตัวรับความเจ็บปวด ก่อนจะค่อย ๆ ยันร่างให้ลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง และก็ต้องขมวดคิ้วแน่นอย่างสับสนอีกครั้ง เพราะมันไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ เกิดขึ้นเลย เขาก้มหน้าลงมองสำรวจร่างกายอย่างช้า ๆ เพื่อที่จะพบว่าตัวเองนั้นนอนร่างเปลือยเปล่าอยู่กับพื้น และบาดแผลทั้งหมดในร่างกายฟื้นฟูกลับคืนมาเป็นปกติทั้งหมดแล้ว
ด้วยความประหลาดใจ เขารีบลุกขึ้นยืนเพื่อสำรวจร่างกายอย่างละเอียด ขาทั้ง 2 ข้างอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แขนทั้ง 2 ข้างก็เช่นกัน มันขยับได้อย่างคล่องแคล่ว กระดูกที่แหลกละเอียด กล้ามเนื้อที่ฉีกขาดหลุดลุ่ย นิ้วที่บิดงอเสียรูป ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ผิวหนังทั่วร่างกายดูจะเรียบเนียนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
และเมื่อมองย้อนลงไปยังตำแหน่งที่ตัวเองเคยนอนอยู่ เดวิดก็พบว่ามีรอยไหม้เกรียมเป็นรูปตัวคน พร้อมกับมีเศษขี้เถ้าบางส่วนติดอยู่บนนั้น
“ไฟไหม้อย่างนั้นหรือ? เผาเสื้อผ้าไปหมด? แล้วทำไมเราไม่เป็นอะไร? แผลไปไหน? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?” คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว เขาสับสนกับสภาพที่เป็นอยู่ในตอนนี้มากเหลือเกิน
ที่เดวิดรู้อยู่แก่ใจก็คือ นี่ไม่ใช่พลังการฟื้นฟูร่างกายของร่างแวมไพร์หรือร่างมนุษย์หมาป่าแน่ ตอนที่หมดสติลงไป เขาไม่มีพลังงานอยู่ในร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่เดวิดหวังเอาไว้ก่อนหน้านั้นเป็นเพียงการตื่นมาในสภาพที่แห้งกรัง และเตรียมที่จะดิ้นรนหาแหล่งพลังงานมาเพิ่มให้กับตัวเอง อาจจะเป็นเลือดในตัวของศพฝ่ายตรงข้าม ถ้าเกิดโชคดีสังหารอีกฝ่ายลงได้ และต่อให้เขาดูดเลือดของอีกฝ่ายมาจนหมดตัว มันก็ไม่น่าจะมีพลังงานเพียงพอให้ซ่อมแซมตัวเองกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ถึงขนาดนี้ได้ ไม่มีทาง! เดวิดรู้ความสาหัสของอาการบาดเจ็บในร่างกายตัวเองดี
ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุด! มีคนมาช่วยเหลือเขา มีคนใส่พลังงานมหาศาลใส่เข้ามาในร่างกาย อาจจะเป็นลูกแก้วจีโนม หรือเซรั่มที่ทรงพลังอะไรสักอย่าง ที่มันมีพลังงานมากพอที่จะทำให้ร่างแวมไพร์ฟื้นฟูตัวเองกลับมา ถ้าไม่ใช่แบบนี้ เดวิดก็คิดไม่ออกแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เขาหันมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างเป็นกังวล โลกใบนี้ไม่มีคนใจดีที่จะช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเมตตากรุณา เดวิดตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้นานพอจนที่จะรู้ว่าไม่มีอะไรได้มาเปล่า ๆ เลย ถ้ามีคนที่มาให้ความช่วยเหลือเขาจริง ๆ ใครคนนั้นต้องกลับมาเก็บค่าตอบแทนกลับไปอย่างแน่นอน
แล้วสายตาของเดวิดก็สะดุดอยู่ที่เศษเสื้อผ้าบนพื้น เมื่อเดินเข้าไปสำรวจใกล้ ๆ ก็พบว่าเป็นเสื้อผ้าที่คุ้นตา มันน่าจะเป็นของชายวัยกลางคนที่ไล่ล่าเขาคนนั้น ‘แล้วคนล่ะ? ยังไม่ตาย? ทำไมทิ้งเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นเอาไว้?’
หลังจากที่มองสำรวจรอบ ๆ อย่างละเอียด เขาก็พบกับกระดูกที่ถูกกัดแทะกระจัดกระจายไปทั่ว ‘ตายแล้ว นี่น่าจะเป็นฝีมือของพวกสัตว์บางชนิด แล้วทำไมฉันถึงไม่โดนพวกมันรุมแทะ?’
“เฮเซล!” เดวิดร้องเรียกที่พึ่งสุดท้าย เธอน่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดตอนที่เขาหมดสติไป
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา นี่ทำให้เดวิดเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว
“เฮเซล!!” เขาแตะนิ้วลงไปที่ข้อมือซ้าย 3 วินาที พร้อมกับตะโกนเรียกเสียงดังออกมา
“เดวิด! นายฟื้นแล้ว!... เอ๋ ทำไมไม่เป็นอะไรเลย?” เสียงตอบรับที่คุ้นเคยของเฮเซลดังขึ้นมา และดูเหมือนว่าเธอจะประหลาดใจกับสภาพร่างกายในปัจจุบันของเดวิดเป็นอย่างมาก
“เป็นไปได้ยังไง? มันเกิดอะไรขึ้น?” เสียงพึมพำอย่างสับสนดังออกมาอีก หลังจากที่เดวิดสามารถสังหารชายวัยกลางคนลงได้แล้ว เฮเซลได้พยายามส่งเสียงเตือนให้เดวิดรักษาสติเอาไว้ให้ได้ แต่มันก็ไม่เป็นผล และในเมื่อหัวใจของเขายังคงเต้นอยู่แม้จะเพียงแผ่วเบา เธอก็ได้แต่ทนรอให้เดวิดฟื้นคืนสติขึ้นมาเองเท่านั้น
“ไม่ใช่ว่าฉันต้องเป็นคนถามเธออย่างนั้นหรือว่ามันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมฉันที่เกือบจะตายอยู่แล้วถึงได้ฟื้นขึ้นมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบนี้” เดวิดเอ่ยถามออกไป พร้อมกับหยิบเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นบนพื้นมาสะบัดและใช้มันปกปิดร่างกายอย่างลวก ๆ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันโดนรบกวนอย่างรุนแรงด้วยอะไรบางอย่าง มันเหมือนจะเป็นสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทรงพลัง มันบังคับให้ระบบปิดตัวเองลงไป ฉันเพิ่งเปิดตัวเองขึ้นมาใหม่ตอนที่นายเรียกนี่แหละ” เฮเซลอธิบายออกมายาวเหยียด
“การรบกวนที่รุนแรง?” เดวิดพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ความเป็นไปได้ที่จะมีคนมาช่วยเหลือเขานั้นสูงมากขึ้นไปอีก
เดวิดรีบสั่งให้เฮเซลเปิดระบบตรวจสอบทุกอย่างที่มี และตระเวนหาเบาะแสที่อาจจะหลงเหลือไปรอบบริเวณทันที ก่อนจะต้องถอดใจหลังจากใช้เวลาตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียดไปเนิ่นนาน คนที่มาช่วยเขาระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างมาก ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรให้เดวิดสืบหาต่อได้เลย ดูเหมือนว่าจะมีฝนตกลงมาอย่างหนักก่อนหน้านี้ด้วย แม้แต่ร่องรอยการต่อสู้ก็เลอะเลือนไปเกือบหมดแล้ว
ในเมื่อไม่มีเบาะแสร่องรอยอะไรให้สาวต่อ เดวิดก็ได้แต่ปล่อยมันไป และหันมาตรวจสอบสภาพร่างกายของตัวเองอย่างละเอียดอีกครั้ง ภายนอกนั้นสมบูรณ์แบบเป็นปกติดี และความรู้สึกของเขาก็บอกว่ากล้ามเนื้อ เส้นเลือด กระดูก และอวัยวะภายในก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติแล้ว
แต่เดวิดยังไม่วางใจนัก และเลือกที่จะลองเพิ่มอัตราการหมุนเวียนเลือดในร่างกายเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง เขาต้องการที่จะแน่ใจว่ามันไม่มีผลตกค้างอะไรที่เป็นอันตรายซ่อนอยู่
เลือดในร่างกายสูบฉีดแรงขึ้นเรื่อย ๆ เดวิดเริ่มเร่งความเร็วให้เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะพบว่าการหมุนเวียนนั้นสะดวกราบรื่นเป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เขาจึงเร่งความเร็วขึ้นไปที่จุดสูงสุด 320 รอบต่อนาที และก็พบว่ามันราบรื่นดีไม่มีปัญหาอะไร ยกเว้น! มันยังไม่ใช่ขีดจำกัด เดวิดรู้สึกตัวได้ทันทีว่าอัตราหมุนเวียนเลือดในร่างกายสามารถพุ่งทะลุขีดจำกัดเดิมขึ้นไปได้อีก
อันที่จริง เขาคิดจะหยุดการตรวจสอบลงเพราะแน่ใจแล้วว่าร่างกายนั้นปกติดี แต่ความรู้สึกบางอย่างกระตุ้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันเป็นสัญญาณที่ส่งออกมาจากส่วนลึกที่สุดในร่างกาย และมันทำให้เดวิดตัดสินใจเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีกอย่างต่อเนื่อง
ไม่มีขีดจำกัด! อัตราการหมุนเวียนของเขาพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่คิดว่าเป็นจุดสูงสุดแล้ว ความรู้สึกภายในร่างกายจะคอยกระตุ้นให้เดวิดหมุนเวียนเลือดต่อไป ขีดจำกัดถูกทำลายติดต่อกันไปทีละขั้นอย่างช้า ๆ
การหมุนเวียนเลือดในร่างกายของเขานั้นเงียบสนิท มันไม่มีเสียงกระแสเลือดที่ถูกสูบฉีดดังขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือสิ่งที่น่าตกใจและแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง แต่ดูเหมือนว่าเดวิดที่กำลังตกในภวังค์จะไม่ได้สังเกตถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
เขายังมุ่งมั่นหมุนเวียนเลือดในร่างกายด้วยอัตราเร่งที่คงที่ จนในที่สุด พลังงานความร้อนที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นมาจากส่วนลึกของร่างกาย เริ่มแทรกซึมเข้ามาสู่กระแสเลือด และหมุนเวียนกระจายออกไปสู่อวัยวะและกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ส่งผลให้ตลอดทั้งร่างกายนั้นสั่นไหว ของเหลวสีดำไหลออกมาตามรูขุมขน ก่อนที่จะแห้งและหลุดร่วงออกไปพร้อมกับผิวหนังที่ผลัดตัว เสียงผิวหนังปริแตกค่อย ๆ ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง สีทองแดงเริ่มเป็นประกายออกมาจากรอยแยกของผิวหนังที่ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับความรู้สึกเจ็บปวดที่ค่อย ๆ สะสมมากขึ้นไปพร้อมกัน
เดวิดได้แต่ทนรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนี้เอาไว้ กระแสเลือดอันร้อนแรงยังหมุนเวียนต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เขารู้ดีว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลดีต่อความแข็งแกร่งของร่างกาย ทำให้สมาธิยังคงจดจ่ออยู่กับการควบคุมการหมุนเวียนเลือด เดวิดไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเวลานั้นผ่านไปเท่าไร ไม่รู้ตัวว่าผิวสีทองแดงนั้นผลัดผิวหนังธรรมดาออกไปจนหมด และตัวของมันเองก็เริ่มแตกร้าวเผยให้เห็นประกายสีเงินทอออกมาตามรอยแยกแล้วเช่นกัน
กระบวนการนี้กินเวลาอยู่ถึง 3 วัน ในที่สุดผิวสีทองแดงชิ้นสุดท้ายก็หลุดร่อนออกจากร่างของเขา สีเงินที่ทอประกายสะท้อนแสงจันทร์ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกาย แต่สมาธิของเดวิดไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงภายนอกนี้เลย มันตั้งมั่นอยู่กับขุมพลังอันมหาศาลที่กำเนิดขึ้นในร่างกาย และไหลเวียนอย่างรวดเร็วไปตามกระแสเลือด มันให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย
อากาศรอบตัวเขาบิดตัวอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ร่างเงินปรากฏตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ พลังงานที่รุนแรงเริ่มแผ่กระจายออกมาจากผิวหนังที่ทอประกายเจิดจ้าอย่างต่อเนื่อง มันทรงพลังเสียจนกระทั่งยกตัวของเดวิดให้ลอยขึ้นจากพื้น และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ภายในหัวของเขาก็กลายเป็นขาวโพลน พลังทั้งหมดเหมือนจะหายไปอย่างฉับพลัน ร่างของเดวิดตกลงมากระแทกพื้นพร้อมกับสติที่ขาดห้วงไปในพริบตา
........
เมื่อเดวิดลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่แปลกประหลาดที่ล้อมรอบไปด้วยดวงดาวที่เปล่งแสงทอเป็นประกาย
‘ไม่ใช่! นี่มันไม่ใช่ดวงดาว นี่มันเส้นสายดีเอ็นเอใช่มั้ย?’ เดวิดพึมพำอยู่ในหัวอย่างตกตะลึง
หลังจากกวาดสายตาไปรอบตัวเพื่อพิจารณาอย่างละเอียด เขาก็แน่ใจในที่สุด ที่นี่คือ ‘โครงข่ายดีเอ็นเอ’ ของตัวเอง
เท่าที่เดวิดรับรู้มา หลังจากที่กระตุ้นศักยภาพทางพันธุกรรมจนยกระดับขึ้นมาถึงระดับเฟสเซอร์ได้ เส้นสายดีเอ็นเอที่แยกกันอยู่เป็นโครโมโซมต่าง ๆ จะเชื่อมโยงสร้างเป็นโครงข่ายขึ้นมา และข้อมูลที่ถูกบันทึกเก็บเอาไว้ในนั้น จะสามารถถ่ายทอดออกมาให้เจ้าของร่างกายรับรู้ได้
นี่เป็นความแตกต่างที่ทำให้สไปรเยอร์แทบจะไม่สามารถเอาชนะเฟสเซอร์ได้ มันสามารถปลดปล่อยพลังพันธุกรรมอันทรงพลัง ทักษะพิเศษ และยกระดับปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายได้อย่างมหาศาล
การใช้เซรั่มพันธุกรรมของสไปรเยอร์ไม่เพียงแต่จะเป็นการผสานยีนที่ต้องการเข้าไปเท่านั้น มันยังกระตุ้นให้เส้นสายดีเอ็นเอเชื่อมโยงกันเพื่อให้สามารถรองรับยีนแปลกปลอมที่ทรงพลังได้ สไปรเยอร์บางคนต้องกระตุ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก โครงข่ายดีเอ็นเอถึงจะเผยตัวออกมาให้เห็นได้
เดวิดรู้สึกประหลาดใจที่โครงข่ายดีเอ็นเอของตัวเองก่อตัวขึ้นมาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ ถึงแม้ว่าผู้ฝึกฝนทักษะระดับมรดกสืบทอดจะสามารถสร้างมันขึ้นมาได้โดยไม่ต้องใช้ยีนภายนอกเข้ากระตุ้น แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะผ่านเงื่อนไขที่ต้องการ ไม่มีต้นแบบโครงข่ายดีเอ็นเอให้เลียนแบบ และที่สำคัญ ไม่มีการกระตุ้นจากพลังพันธุกรรมของผู้ฝึกฝนมรดกสืบทอดเดียวกันมากระตุ้น
แล้วโครงข่ายดีเอ็นเอของเขาก่อตัวขึ้นได้อย่างไร?
วิธียกระดับตัวเองให้เป็นเฟสเซอร์ของผู้ฝึกฝนมรดกสืบทอด ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสที่ฝึกฝนมรดกเดียวกันมาชี้นำ ใช้พลังพันธุกรรมจากภายนอกช่วยจำลองโครงข่ายดีเอ็นเอที่ถูกต้องให้ นี่เป็นวิธีเดียวในการฝึกฝนมรดกสืบทอด เป็นวิธีเดียวที่รู้กันอยู่ในปัจจุบัน ไม่มีวิธีอื่นใดอีก
นี่เป็นสาเหตุให้ 9 ตระกูลใหญ่ที่ครอบครองมรดกสืบทอดวางใจ ไม่ได้กังวลใจหรือรีบร้อนกำจัดผู้ที่ลอบฝึกฝนทักษะมรดกสืบทอดของพวกเขา หรือแม้แต่มรดกสืบทอดชนิดอื่น เพราะถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ คนผู้นั้นจะเป็นได้แค่สไปรเยอร์ไปจนตลอดชีวิต
และนั่นไม่สามารถที่จะคุกคามอะไรพวกเขาได้เลย...