ตอนที่ 610 เผ่าที่ถูกเนรเทศ
ตอนที่ 610 เผ่าที่ถูกเนรเทศ
“เขาคือคนจากเผ่าเชพเพิร์ดซึ่งเป็นเผ่าที่ถูกเนรเทศในดินแดนของผู้ใช้กฎ” โอโร่กล่าวอธิบายถึงเบื้องหลังของชายผิวซีดคนนั้น
“เผ่าเชพเพิร์ด?!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ เผ่าเชพเพิร์ดที่แปลว่าเด็กเลี้ยงแกะนั่นแหละ แต่แกะที่พวกเขากินไม่ใช่แกะจริง ๆ แต่เป็นเหล่าบรรดาเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญา”
“กินเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญา?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความสับสนเล็กน้อย
มันเป็นเรื่องที่รู้กันดีว่าคนเลี้ยงแกะได้เลี้ยงแกะเพื่อจะนำแกะมาบริโภคเป็นอาหาร แต่โอโร่บอกว่าเผ่าพันธุ์ที่ถูกเนรเทศนี้ไม่ได้กินแกะเป็นอาหาร ซึ่งมันก็หมายความว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์กินคนงั้นเหรอ!?
ในพริบตาเซี่ยเฟยก็เดินทางมาจนถึงหุบเขาที่มีความกว้างหลายกิโลเมตร ซึ่งด้านล่างของหุบเขาลึกเต็มไปด้วยเมฆหมอกและมีเสียงร้องคำรามแปลก ๆ ดังขึ้นมาตลอดเวลา ซึ่งทางข้ามเขาลูกหนึ่งไปยังเขาอีกลูกหนึ่งมีสะพานไม้เล็ก ๆ ทอดยาวออกไปไกลหลายกิโลเมตร ชายหนุ่มจึงเคลื่อนที่ผ่านสะพานนี้ไปและใช้หิมะโปรยตัดสายสะพานทั้งหมดเพื่อให้สะพานร่วงหล่นลงไปในหุบเขา
หลังจากเซี่ยเฟยได้เดินทางข้ามมายังเขาอีกลูกหนึ่งแล้ว เขาก็หันหลังมองกลับไปโดยหวังว่าชายจากเผ่าเชพเพิร์ดคนนั้นจะไม่ไล่ตามเขามา
“ฉันคงต้องรีบแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้คุมสอบทราบก่อนสินะ” เซี่ยเฟยพึมพำขึ้นมาเบา ๆ จากนั้นเขาก็หยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาแต่สัญญาณสื่อสารกลับถูกตัดขาดทำให้เขาไม่สามารถติดต่อไปหาใครได้
แม้ว่าอุปกรณ์สื่อสารชนิดนี้จะไม่สามารถใช้งานได้ แต่เซี่ยเฟยก็ยังพยายามหยิบอุปกรณ์สื่อสารเครื่องอื่น ๆ ที่เขาได้ริบมาเป็นสินสงคราม แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้เขารู้สึกตกใจ เพราะไม่ว่าเขาจะหยิบเครื่องสื่อสารออกมากี่เครื่องแต่เครื่องสื่อสารพวกนั้นกลับไม่สามารถใช้งานได้ทั้งหมด
ชายหนุ่มรีบหยิบอุปกรณ์เครื่องมือออกมาจากแหวนมิติและเปิดแผงวงจรเพื่อซ่อมแซมเครื่องสื่อสารเหล่านั้น ซึ่งเขาก็ได้พบว่าแผงวรจรของเครื่องสื่อสารทุกเครื่องถูกปกคลุมด้วยพืชสีเขียวที่เติบโตจนเจาะทะลุชิพด้านในจนได้รับความเสียหายทั้งหมด มันจึงทำให้ชายหนุ่มที่ไม่มีอะไหล่เตรียมไว้ล่วงหน้าไม่สามารถที่จะซ่อมแซมวงจรที่เสียหายเหล่านี้ได้
“สาหร่ายพวกนั้นกินซิลิคอนเป็นอาหาร ดังนั้นเมื่อพวกมันเริ่มเติบโตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชิ้นที่ถูกมันเกาะจะได้รับความเสียหายทั้งหมด การใช้สาหร่ายพวกนี้ในการจู่โจมเข้าใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นนิสัยของพวกเชพเพิร์ดที่มักจะใช้ในการตัดการสื่อสารของเหยื่อ ก่อนที่พวกมันจะเริ่มลงมือ” โอโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากจุดสตาร์ทประมาณ 30,000 กิโลเมตร ซึ่งถ้าหากว่าเซี่ยเฟยวิ่งสุดแรงเขาก็น่าจะกลับไปถึงจุดสตาร์ทได้ภายใน 20 นาที แต่ประเด็นสำคัญคือเซี่ยเฟยไม่รู้ว่ามีเผ่าเชพเพิร์ดแทรกซึมเข้ามาภายในงานประเมินนี้ทั้งหมดกี่คน และการเคลื่อนไหวโดยที่ไม่รู้ข้อมูลของศัตรูที่แน่นอนมันก็เป็นการเคลื่อนไหวที่เสี่ยงอันตรายมากจนเกินไป
“ในดินแดนของผู้ใช้กฎมีวิธีการหนึ่งที่สามารถเพิ่มพลังของกฎได้นอกเหนือจากการฝึกฝน นั่นก็คือการกินร่างของผู้ใช้กฎคนอื่นเข้าไป สำหรับนักรบธรรมดาการใช้กฎให้ได้ 3-4 กฎก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากพอแล้ว แต่พวกเชพเพิร์ดสามารถใช้พลังของกฎได้หลายสิบกฎ หรือบางคนอาจจะหลายร้อยกฎขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้กฎที่พวกมันได้กลืนกินร่างเข้าไป” โอโร่กล่าวอย่างเคร่งขรึม
คำอธิบายนี้ทำให้เซี่ยเฟยเบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความตกใจทันที เพราะวิธีการกลืนกินร่างของผู้ใช้กฎอีกคนเพื่อชิงพลังของผู้ใช้กฎคนนั้นมามันก็เป็นวิธีการที่บ้ามากจนเกินไป
“กฎที่พวกเชพเพิร์ดใช้คือกฎแห่งห่วงโซ่อาหารซึ่งเป็นวิธีการที่โหดร้ายมาก เผ่าพันธุ์ของพวกเขาจึงถูกเนรเทศออกไปจากดินแดนของผู้ใช้กฎเป็นเวลานานแล้ว พวกเขาจึงต้องอพยพออกไปอาศัยอยู่ในเขตแดนรอบนอกในดินแดนของพวกเรา ซึ่งนอกเหนือจากพวกเชพเพิร์ดมันก็ยังมีเผ่าพันธุ์ที่ถูกเนรเทศเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้นด้วยเช่นกัน”
“แม้ว่ากฎแห่งห่วงโซ่อาหารจะดูเป็นกฎที่ร้ายกาจแต่มันก็เป็นกฎที่มีจุดอ่อนที่ร้ายแรงมากด้วยเหมือนกัน เพราะยิ่งผู้ใช้กฎแห่งห่วงโซ่อาหารกลืนกินร่างของผู้ใช้กฎที่เชี่ยวชาญกฎอื่น ๆ เข้าไปมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะต้องเผชิญกับความซับซ้อนของกฎต่าง ๆ มากขึ้นไปเท่านั้น”
“มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะสามารถพัฒนากฎใดกฎหนึ่งขึ้นไปได้อย่างเต็มที่ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะสามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาจึงจะสามารถเชี่ยวชาญกฎต่าง ๆ พร้อม ๆ กันได้”
“วิธีการแก้จุดอ่อนในเรื่องนี้มีเพียงแค่วิธีการเดียวคือพวกเขาต้องเลือกอาหารที่ตัวเองจะกินเข้าไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเผ่าเชพเพิร์ดคนนั้นต้องการจะเป็นผู้ใช้กฎแห่งสสารระดับสูง เขาก็จำเป็นจะต้องเอากลืนกินแต่ผู้ใช้กฎแห่งสสารอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันกับเชพเพิร์ดที่กำลังไล่ตามนายมา ที่ฉันอยากรู้ว่าเขาได้กลืนกินร่างของผู้ใช้กฎแห่งสสารไปแล้วกี่ร่าง เขาถึงได้มีความชำนาญในการใช้กฎแห่งสสารได้น่ากลัวถึงระดับนั้น”
“ตอนนี้เขาคงได้กลืนกินร่างของเด็กพวกนั้นเขาไปแล้ว ซึ่งมันก็หมายความว่าเขาคงจะได้รับความสามารถของเด็กพวกนั้นเข้ามาภายในร่างของเขาด้วย ดังนั้นถ้าหากว่านายจำเป็นจะต้องเผชิญหน้ากับมัน นายก็จำเป็นจะต้องคิดเผื่อไว้ว่าพลังของมันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม”
พูดตามตรงก็คือโอโร่ไม่ต้องการให้เซี่ยเฟยต้องเสี่ยงอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต เพราะความตายของเซี่ยเฟยมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอิสรภาพของเขา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถออกไปช่วยเหลือชายหนุ่มโดยตรงได้ สิ่งที่เขาพอจะทำได้จึงมีเพียงการบอกข้อมูลให้ชายหนุ่มเตรียมการรับมือล่วงหน้าเท่านั้น
—
หลังจากที่เซี่ยเฟยได้จากไปเพียงแค่ไม่กี่นาที เชพเพิร์ดผิวซีดก็ปรากฏตัวขึ้นอีกด้านหนึ่งของหุบเขา ขณะเดียวกันเขาก็จ้องมองไปยังทิศที่เซี่ยเฟยกำลังซ่อนตัวอยู่ราวกับเขารู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มกำลังซ่อนตัวอยู่ตรงไหน
บริเวณทั่วทั้งริมฝีปากของเขายังคงเปื้อนไปด้วยเลือด แน่นอนว่าเลือดพวกนี้ย่อมไม่ใช่เลือดของเขาเอง แต่มันคือเลือดของศัตรูที่เขาเพิ่งได้กลืนกินร่างของคนพวกนั้นเข้าไป
เชพเพิร์ดยกมุมปากขึ้นมาเป็นรอยยิ้มก่อนที่เขาจะพุ่งตรงไปยังหุบเขาที่อันไร้ก้นบึ้ง ทันใดนั้นหน้าผาของเขาอีกลูกหนึ่งก็ยืดยาวมาก่อตัวเป็นสะพานแคบ ๆ ให้เชพเพิร์ดคนนี้ได้เหยียบยืนกลายเป็นเส้นทางใหม่ที่เขาได้สร้างขึ้นมาเอง
นี่คือพลังของกฎแห่งสสารที่ถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะตัดสะพานให้ขาดลงไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่สามารถที่จะหยุดเชพเพิร์ดคนนี้เอาไว้ได้
ความเร็วของเชพเพิร์ดคนนี้จัดอยู่ในระดับที่สูงมากและเป้าหมายรายต่อไปของเขาก็ชัดเจน ซึ่งในบางทีมันก็อาจจะเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงกฎแห่งความโกลาหลภายในร่างของเซี่ยเฟย เป้าหมายรายต่อไปของเขาจึงเป็นชายหนุ่มจากดาวโลก
—
เซี่ยเฟยสามารถจดจำได้อย่างชัดเจนว่าการเคลื่อนไหวของเชพเพิร์ดคนนั้นมีความเจ้าเล่ห์มากแค่ไหน และถ้าหากว่าในดาวดวงนี้มีเชพเพิร์ดอยู่มากกว่าหนึ่งคน การเคลื่อนไหวอย่างสุ่มสี่สุ่มห้ามันก็อาจจะทำให้เขาตกลงไปในกับดักของอีกฝ่ายได้เลย เพราะภาพเหตุการณ์สุดท้ายได้พิสูจน์ให้เขาเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าพวกเชพเพิร์ดมีความเชี่ยวชาญในการใช้กฎแห่งสสารในระดับที่น่ากลัวมากแค่ไหน
ด้วยเหตุนี้เองชายหนุ่มจึงตัดสินใจทำในสิ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนทั่วไปมักจะตัดสินใจ ดังนั้นเมื่อเชพเพิร์ดได้เดินทางมาจนถึงกลางหุบเขาด้วยสะพานหินที่เขาสร้างขึ้นมา เซี่ยเฟยก็พุ่งตัวออกไปจากป่าเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรู
เปลี่ยน!
ดาบดราก้อนสเกลแตกแยกออกเป็นใบมีด 108 เล่มสร้างเป็นสะพานใบมีดเพื่อให้ร่างของเขาพุ่งตัวออกไปหาศัตรูที่อยู่กลางอากาศ
การเหยียบใบมีดหนึ่งครั้งทำให้ร่างของชายหนุ่มพุ่งตัวออกไปไกลหลายสิบเมตร ซึ่งในระหว่างที่ร่างของเขากำลังพุ่งตัวเข้าหาศัตรู แขนซ้ายของเขาก็กำลังรวบรวมพลังของกฎแห่งความโกลาหลเพื่อปลดปล่อยการจู่โจมที่รุนแรงที่สุดของเขาออกไป
เชพเพิร์ดไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าเซี่ยเฟยจะโต้ตอบกลับมาในลักษณะนี้ ยิ่งไปกว่านั้นกฎแห่งสสารจำเป็นจะต้องใช้วัตถุโดยรอบในการเป็นตัวกลาง ซึ่งการต่อสู้กลางอากาศก็เป็นสถานการณ์ที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะที่เสียเปรียบมากที่สุด
ทันใดนั้นเชพเพิร์ดก็ผลักมือออกไปด้านหน้าก่อให้เกิดเป็นลูกกระสุนสีขาวที่พุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว
โมเลกุลน้ำในอากาศ!!
แม้ว่ากลางอากาศจะไม่มีดินหรือต้นไม้แปลงเป็นสสารให้เขาได้ควบคุม แต่ในทุก ๆ ที่ย่อมมีโมเลกุลของน้ำลอยอยู่ในอากาศ เหล่าบรรดาผู้ใช้กฎแห่งสสารระดับสูงจึงสามารถที่จะใช้โมเลกุลเหล่านี้ในการประยุกต์จู่โจมเข้าใส่ศัตรูได้
พายุมิติปิดล้อม!
คลื่นมิติอันรุนแรงจู่โจมเข้าทำลายกระสุนน้ำของอีกฝ่ายในพริบตา และถึงแม้ว่าระดับพลังของทั้งสองฝ่ายจะแตกต่างกันมากพอสมควร แต่โชคดีที่ภายในคลื่นมิติของเซี่ยเฟยถูกแฝงเอาไว้ด้วยพลังของกฎแห่งความโกลาหล มันจึงทำให้การปะทะในรอบแรกจบลงด้วยผลเสมอกัน
เล่ห์กายา!
ใบดาบดราก้อนสเกลที่เคยเรียงตัวเป็นเส้นตรงถูกบังคับให้กระจัดกระจายไปยังทิศทางต่าง ๆ ราวกับค่ายกล ซึ่งเซี่ยเฟยก็ได้อาศัยการบิดตัวโดยวิชาเล่ห์กายากระโดดไปมากลางใบมีดเหล่านี้ คล้ายกับว่าเขากำลังร่ายรำอยู่กลางเวหาโดยมีร่างของศัตรูอยู่ตรงกลาง
ฟัน! กระโดด! แทง! กระโดด! …
วิชาเล่ห์สังหารทุกกระบวนท่าที่เขาได้เรียนรู้มาต่างก็ถูกใช้ออกไปเพื่อจู่โจมเข้าใส่ร่างของศัตรูอย่างต่อเนื่อง
โดยปกติการพยายามเคลื่อนไหวด้วยท่าทางที่ผิดธรรมชาติบนพื้นดินก็เป็นวิธีการที่ยากลำบากมากพออยู่แล้ว มันจึงไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงการพยายามร่ายรำใช้กระบวนท่าเหล่านี้กลางเวหาเลย แต่ถึงกระนั้นเซี่ยเฟยก็ยังสามารถใช้วิชาเล่ห์สังหารออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือมันอาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ผู้คิดค้นวิชาได้เคยใช้มาในอดีตเสียอีก
“โอกาสมาแล้ว!”
เซี่ยเฟยล้อหลอกจู่โจมทางซ้ายก่อนที่ร่างของเขาจะปรากฏตัวขึ้นทางขวา จากนั้นเขาก็จ้วงแทงออกไปด้วยดาบสามคมสีแดงสด
เล่ห์สังหาร!
การจู่โจมที่ดูเหมือนเป็นการจู่โจมธรรมดาแต่แท้ที่จริงแล้วมันกลับแฝงไว้ด้วยพลังมหาศาล
เป้งๆๆๆๆ
เชพเพิร์ดคล้ายกับจะมีดวงตาอยู่ทั่วทุกมุม เขาเลยควบคุมโมเลกุลน้ำในอากาศสร้างเป็นกำแพงน้ำแข็งขวางกั้นการโจมตีของเซี่ยเฟยเอาไว้
กำแพงน้ำแข็งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากผู้ใช้กฎแห่งสสารชั้นยอดเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะในเวลาเพียงแค่พริบตาเขากลับสามารถสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาป้องกันได้หลายชั้น
แต่ในระหว่างที่เชพเพิร์ดกำลังคิดว่าเขาสามารถหยุดการจู่โจมของเซี่ยเฟยเอาไว้ได้แล้วนั่นเอง จู่ ๆ มันก็ได้มีใบหญ้าที่ได้ม้วนตัวจนเป็นเหมือนกับกำปั้นฟาดลงมาจากทางด้านบน
ตูม! ตูม!
การจู่โจม 2 ครั้งติดต่อกันได้กระแทกเข้าใส่ศีรษะของเชพเพิร์ดอย่างรุนแรง เพราะท้ายที่สุดเซี่ยเฟยก็ได้ใช้ร่างของเขาเพื่อเป็นตัวล่อ ขณะที่การจู่โจมที่แท้จริงคือหงส์ครามที่อ้อมขึ้นไปจู่โจมจากทางด้านบน
สะพานหินใต้ฝ่าเท้าของเชพเพิร์ดแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับร่างของชายผิวซีดที่กำลังร่วงหล่นลงไปในหุบเขา
“ไปลงนรกซะ!” เซี่ยเฟยพุ่งตัวลงมาจากอากาศโดยมีบลัดบิวเทียสชูออกไปทางด้านหน้า และใช้ใบหญ้าของหงส์ครามคอยประคองทั้งทางด้านซ้ายและด้านขวาทำหน้าที่เหมือนปีกให้เขาร่อนตัวลงไปยังด้านล่าง
“อย่าคิดว่าแกเป็นคนเดียวที่สามารถกินฉันได้! บลัดบิวเทียสของฉันก็สามารถกินเลือดของแกเข้าไปได้ด้วยเหมือนกัน!!”
อย่างไรก็ตามร่างของเชพเพิร์ดกลับดูนิ่งสนิทมากจนเกินไป จนทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี
ตูม!
ในที่สุดร่างของเชพเพิร์ดก็ร่วงหล่นลงไปกระแทกกับพื้นพร้อม ๆ กับบลัดบิวเทียสที่แทงลงไปในร่างของชายคนนั้น
การร่วงหล่นลงมาจากบนท้องฟ้าก่อให้เกิดคลื่นกระแทกอันรุนแรง จนทำให้พื้นดินยุบตัวลงไปกลายเป็นหลุมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบเมตร
ทันใดนั้นเองใบหน้าของเซี่ยเฟยก็เปลี่ยนเป็นสีซีดเผือดอย่างฉับพลัน เพราะเขารู้ดีว่าสัมผัสของการใช้ดาบแทงเข้าไปในร่างของศัตรูเป็นสัมผัสแบบไหน แต่สัมผัสที่เขากำลังรู้สึกได้ในขณะนี้มันคือสัมผัสของดาบที่กำลังแทงเข้าไปภายในหิน
“ระวังด้วย! นั่นคือกฎแห่งการแลกเปลี่ยน มันเป็นการประยุกต์ใช้ระดับสูงของกฎแห่งสสาร” โอโร่กล่าวเตือนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
***************
ก็ว่าอยู่ว่าไม่น่าจะจัดการได้ง่ายๆ มันกินไปเยอะเลย