บทที่ 85: ฝ่าบาท ได้โปรดอย่าให้รางวัลข้าอีกเลย สวนหลังเรือนของข้ามันเล็กเกินกว่าที่จะยัดมันแล้ว!
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 85: ฝ่าบาท ได้โปรดอย่าให้รางวัลข้าอีกเลย สวนหลังเรือนของข้ามันเล็กเกินกว่าที่จะยัดมันแล้ว!
หลังจากที่โม่หรูซวงจากไป ชีวิตของหลินเป่ยฟานก็กลับมาเป็นดั่งเดิม ทว่ามีเรื่องบางอย่างที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ รางวัลที่สัญญาไว้กับองค์ชายแฮมแห่งอาณาจักรดาร์โรได้มาถึงแล้ว นอกเหนือจากเงิน 300,000 ตำลึงที่ได้รับแล้ว ก็ทำให้ตอนนี้เขามีเงิน 3.2 ล้านตำลึง ของส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเป็นธนบัตรและเครื่องประดับทองคำ เครื่องเงินมีค่าบางอย่างก็ถูกส่งไปให้หลินเป่ยฟานอย่างลับๆ เขารู้สึกตื่นเต้นมาก ด้วยเงินจำนวนนี้บวกกับเงิน 3.5 ล้านตำลึงที่เขายักยอกมาจากพวกนายน้อยพวกนั้น เงินทั้งหมดที่เขามีตอนนี้คือ 6.7 ล้านตำลึง ในที่สุดข้าก็สามารถยกเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองได้อีกรั้งแล้ว ระบบ จัดการให้ข้าเดี๋ยวนี้!
[ติ้ง! ผู้ใช้ยักยอกทองคำ เงินและอัญมณี 6.7 ล้านตำลึง ซึ่งเป็นเงินก้อนโต จำนวนเงินมหาศาลมาก รางวัลจึงเป็นการหลอมรวมผสานร่างกับฟงและอวิ๋น (ช่วงแรก)]
พลังอันยิ่งใหญ่สองอย่างได้รวมกันในร่างของหลินเป่ยฟาน
กำลังภายใน... ความแข็งแกร่งระดับยอดฝีมือโดยกำเนิด! พลังทั้งสองนี้เป็นพลังของยอดฝีมือโดยกำเนิด! ในไม่ช้า เขาก็สามารถซึมซับวิชาวรยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวได้สำเร็จ หลินเป่ยฟานนั่งดูดซับพลังวิชาทั้งสอง ท่าเพลงเตะวายุกระซิบ วิชาฝ่ามือเมฆาล่องลอย อย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากจนทะลุคอขวดไป เขาใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในการดูดซับพลังทั้งสองนี้
เมื่อเปิดตาของเขาลง หลินเป่ยฟานก็รู้สึกยินดีมาก เพราะเขามาถึงพลังระดับยอดฝีมือต้นกำเนิดระดับ 5 แล้ว! ยามนี้ข้าเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ต้นกำเนิดระดับสูง! ด้วยพลังที่แท้จริงและความเข้าใจในวิชาวรยุทธ์ที่มากมาย การจัดการผู้ฝึกวรยุทธ์ขั้นยอดฝีมือต้นกำเนิดหกคนก็ไม่ใช่ปัญหา ซึ่งหากมีระดับต่ำกว่านี้ เขาก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ต่อให้จะมาสี่หรือห้าคน เขาก็สามารถเอาชนะคนพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย
นอกเหนือจากพลังที่เติบโตอย่างน่าสะพรึงกลัวแล้ว เขายังได้รับประสบการณ์วิชาการต่อสู้และทักษะที่เป็นเอกลักษณ์มากด้วย ยกตัวอย่างเช่น ท่าเพลงเตะวายุกระซิบ ซึ่งเป็นวิชาขาที่รวดเร็วและเฉียบแหลม สามารถเคลื่อนที่ได้เหมือนดั่งลมหรือแม้กระทั่งวิ่งผ่านลมราวเทวา นอกจากนี้ยังสามารถโจมตีได้อย่างทรงพลังและไม่มีใครสามารถหยุดยั้งมันได้ หลังจากหลอมรวมตัวละครทั้งสองเข้าด้วยกัน มันก็ทำให้พลังของเขาน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
พลังศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขต!
ทั้งสองพลังเป็นตัวแทนของวายุและเมฆา เมื่อพวกมันรวมกัน พวกมันก็จะกระตุ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ขอบเขต ระเบิดพลังออกมาสิบเท่าหรือหลายสิบเท่า ทำให้เขาไร้เทียมทานในโลกหล้าใบนี้!
หลินเป่ยฟานผสานพลังของตัวละครทั้งสองเข้าด้วยกัน ทำให้เขาสามารถใช้พลังของวายุและเมฆาได้พร้อมๆ กับกระตุ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ขอบเขตสิบเท่าหรือมากกว่านั้น "ยามนี้ข้าเป็นผู้บ่มเพาะระดับห้า มีความรู้ด้านวิชาการต่อสู้มากมาย ควบคู่ไปกับพลังศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขต ข้าสามารถต่อสู้กับยอดฝีมือต้นกำเนิดระดับสูงได้แล้ว! ถ้ามีผู้ใดต้องการหยุดข้า คงได้เพียงแค่ฝัน! ต่อให้จะมียอดฝีมือโดยกำเนิดกี่คน ข้าก็ไม่เกรงกลัว!"
หลังจากรู้ถึงความสามารถของเขาแล้ว หลินเป่ยฟานก็มีความสุขมาก เพราะมันหมายความว่าความสามารถในการเอาตัวรอดของเขาดีขึ้นพอสมควร โอกาสที่จะหลบหนีไปก็เพิ่มมากขึ้น เว้นเสียแต่จะมีผู้ที่ระดับสูงกว่ายอดฝีมือต้นกำเนิดมาจัดการเขา แต่ระดับนั้นจะมีกันสักกี่คน? แม้ว่าพวกเขาจะไล่ตามข้า ก็ใช่ว่าจะจับตัวข้าได้! หลังจากมีความสุขได้ไม่นาน ในไม่ช้าหลินเป่ยฟานก็สงบลง วางแผนที่จะใช้ชีวิตเก็บเงียบต่อไปและเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างเชื่องช้า ยิ่งมีคนรู้เรื่องความแข็งแกร่งของเขาน้อยเท่าไร เขาก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคนรู้ความแข็งแกร่งของเขาน้อยเท่าไร โอกาสที่เขาจะหลบหนีก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ทันใดนั้น ร่างสีขาวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหลินเป่ยฟาน ไม่จำเป็นต้องกล่าวบอกก็รู้ สตรีนางนี้คือไป๋ฉิงเสวียน
แม้หลินเป่ยฟานจะมีพลังเพิ่มมากขึ้น แต่เขากลับไม่สามารถรู้สึกถึงลมหายใจของนางได้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางมาถึงเมื่อไร กว่าจะรู้ตัวนางก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ถ้านางต้องการฆ่าเขา เขาคงจะไม่สามารถหยุดนางได้เลย
เขาได้แต่คิดในใจว่า "ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้!"
ในขณะเดียวกัน ไป๋ฉิงเสวียนก็ประหลาดใจมากที่เห็นหลินเป่ยฟาน
"พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นอีกแล้วหรือ?" นางเอ่ยถาม
หลินเป่ยฟานพยักหน้าและพูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวว่า "ยามนี้ข้ากำลังฝึกฝนอยู่และเกิดทะลวงระดับพลังขึ้นมาได้พอดี ระดับพลังอย่างข้ามิควรกล่าวถึงเลย!"
"เจ้าสัตว์ประหลาด!" ไป๋ฉิงเสวียนอุทานออกมา "ครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้า เจ้าเป็นเพียงตัวตนเล็กน้อย ทว่าด้วยเวลาเพียงสองเดือน เจ้ากลับเป็นผู้บ่มเพาะระดับห้าแล้ว! อีกทั้งเจ้ายังเป็นบัณฑิต เจ้าคืออัจฉริยะที่หาได้ยากในหนึ่งศตวรรษ! ในแง่ของด้านวรยุทธ์ เจ้าก็เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากอีกด้วย!
หลินเป่ยฟานทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นและกล่าวว่า "ข้าไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาดมากเท่าท่านเลย ข้าเพียงพัฒนาตนบ่มเพาะอย่างรวดเร็ว แต่ข้าก็ไม่อาจตามทันได้ ขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่ายามนี้ท่านแข็งแกร่งเพียงใดแล้ว?"
หลังจากถามแล้ว เขาก็เงี่ยหูฟังทันที
"ข้าเองก็ไม่แน่ใจ เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้ต่อสู้กับผู้อื่น เมื่อแปดปีที่แล้วข้าได้ต่อสู้กับปรมาจารย์เฒ่าผู้ถึงจุดสูงสุดของของปรมาจารย์ ข้าเอาชนะเขาได้หลังจากประลองกระบวนท่ากันหลายครา ตั้งแต่นั้นมา ข้าก็ไม่ได้พบกับคู่ต่อสู้เช่นนั้นอีกเลย!" ไป๋กล่าวออกมาอย่างใจเย็น
หลินเป่ยฟานได้แต่คิดในใจว่า "โอ้แปดปีก่อน นางสามารถเอาชนะคนที่เป็นปรมาจารย์ระดับสูงสุดได้! ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยนางก็มีความแข็งแกร่งระดับปรมาจารย์! ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่ทำให้นางได้สนุกเช่นนั้นในรอบแปดปีแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ว่านางไร้เทียมทานหรอกหรือ?
จากการพูดคุยกัน เขาก็พบว่านางอายุยังไม่มาก แต่นางได้บรรลุระดับการบ่มเพาะไปแล้ว ทำให้รู้ได้เลยว่านางเป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธ์ที่หายาก ซึ่งปรากฏตัวครั้งเดียวในรอบศตวรรษหรือแม้แต่ครั้งเดียวในรอบพันปี
ด้วยพรสวรรค์ที่น่ากลัวเช่นนี้ ความแข็งแกร่งของนางจะไม่เพิ่มขึ้นเลยหรือในช่วงแปดปีที่ผ่านมา?
นางช่างเป็นสตรีที่น่ากลัวจริง
"แล้วท่านไปถึงขอบเขตผู้เป็นอมตะในตำนานหรือยัง?" หลินเป่ยฟานเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ไป๋ฉิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและส่ายศีรษะ "ยังไม่ถึงขั้น! นั่นเป็นขอบเขตในตำนาน ที่ซึ่งวิชายุทธ์อันเลิศล้ำล้วนเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ สามารถท้าทายความเป็นอมตะ มีความสามารถทะยานไปทั่วใต้ฟ้าได้! ข้ารู้สึกว่าตัวข้ายังห่างไกลจากขั้นนั้นมากมายนัก!"
หลินเป่ยฟานได้แต่คิดกับตัวเองว่า "ยามนี้ท่านก็ไร้เทียมทานแล้วไม่ใช่หรือ!"
"แต่ข้าคิดว่าเจ้ามีโอกาสที่จะไปถึงขอบเขตนั้นได้!" ไป๋ฉิงเสวียนกล่าวอย่างจริงจัง "มาทำข้อตกลงกัน! เมื่อวันที่เจ้ามาถึงขั้นปรมาจารย์ เรามาประลองกันเถอะ บางทีนั่นอาจจะทำให้เราทั้งคู่ผลักดันจนไปถึงขอบเขตในตำนานได้!"
"ท่านประเมินข้าสูงเกินไปหรือเปล่า?" หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาอย่างเชื่องช้า
"ไม่ใช่เลย! ในบรรดาอัจฉริยะผู้บ่มเพาะทั้งหมดที่ข้าได้พบมา เจ้าเป็นคนที่น่าหวาดกลัวที่สุดแล้ว! แม้แต่เมื่อเทียบกับตัวข้าเองที่อายุเท่าเจ้า เจ้าก็ยังเหนือกว่ามาก! ขั้นปรมาจารย์คงไม่ใช่ขีดจำกัดของเจ้า!" ไป๋ฉิงเสวียนกล่าวอย่างมั่นใจ
หลินเป่ยฟานตระหนักได้เลยว่าสตรีผู้นี้น่ากลัวเพียงใด
สัญชาตญาณของนางแม่นยำมาก
ถ้าเขาทำเช่นนี้ต่อไป บางทีเขาอาจมีโอกาสไปถึงขอบเขตแห่งความอมตะได้จริงๆ!
"เลิกกล่าวถึงเรื่องนี้เถิด มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงสิ่งเรื่องนี้!" หลินเป่ยฟานเปิดกล่องสองสามกล่องที่เต็มไปด้วยตั๋วเงิน อัญมณีทองคำและเงินมากมายขึ้นมา
"นี่คือ 3.2 ล้านตำลึง เป็นเงินที่องค์ชายแฮมแห่งอาณาจักรดาร์โรส่งมาให้ข้า ข้าได้เงินประมาณ 3.5 ล้านตำลึงจากเหล่านายน้อยพวกนั้น เอาไปหมดได้เลย!" เขากล่าวพร้อมกับส่งเงินให้ไป๋ฉิงเสวียน
ไป๋ฉิงเสวียนมองไปที่ธนบัตรเงินหนา กองทองกองเงินและกล่องที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับ กระทั่งหัวใจของนางที่สงบตลอดเวลายังรู้สึกปั่นป่วน
"ข้าขอกลับคำพูด! ข้าคิดว่าเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย ถึงขั้นสามารถหาเงินได้มากมายเช่นนี้! กระทั่งแง่ของความสามารถในการฝึกฝน มันก็ยังด้อยกว่าความสามารถในการคดโกงของเจ้า!"
หลินเป่ยฟานยิ้มและน้อมรับอย่างสุภาพ "ท่านกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว ข้ายังมีหนทางอีกยาวไกล"
ไป๋ฉิงเสวียนถึงกับพูดไม่ออก "เจ้าหมายความว่าเจ้ายังไม่พอใช่ไหม? ทำไมเจ้าถึงไม่ไปเอาเงินทุนสำรองของอาณาจักรไปเลยล่ะ?"
ดวงตาของหลินเป่ยฟานพลันเบิกกว้าง "เป็นความคิดที่ดีเลย!"
ไป๋ฉิงเสวียนออกไปพร้อมกับธนบัตร เครื่องประดับทองคำและเงินทั้งหมด
วันรุ่งขึ้นในช่วงเช้า หลินเป่ยฟานสังเกตเห็นว่าจักรพรรดินีนั้นมีความสุขเป็นพิเศษ
ทันทีที่นางเปิดราชสำนัก จักรพรรดินีก็ตะโกนขึ้นมาทันที "ท่านหลิน ท่านอยู่แห่งหนใดหรือ?"
หลินเป่ยฟานลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับด้วยความเคารพด้วยใบหน้าเคร่งขรึม "ข้าอยู่ที่นี่ องค์จักรพรรดินีต้องการสิ่งใดหรือ?”
จักรพรรดินียังคงยิ้มออกมา "ไม่มีอะไรมากนักหรอก ข้าแค่อยากจะเห็นเจ้าและมอบบางสิ่งบางอย่างให้แก่ท่าน ที่เป็นผู้อำนวยการของสถาบันจักรพรรดิและบัณฑิตที่สอบผ่านด้วยคะแนนสูงสุด"
"ถังไวน์หยกสิบถึง!"
"ชาผลึกหอมคุณภาพสูง 10 กล่อง!"
"หยกอาชาหนึ่งคู่!"
...
นางร่ายยาวไปหลายอย่าง!
ยังคงฟุ่มเฟือยตามเดิม!
ทั้งยังไร้เหตุผลเช่นเคย!
หลินเป่ยฟานถึงกับตกตะลึง
ฝ่าบาท ถ้าท่านต้องการให้รางวัลข้า อย่างน้อยก็ขอเหตุผลหน่อยเถอะ!
ข้าไม่ได้ทำอะไรสำเร็จเลย อีกทั้งข้าก็ยังไม่ได้ทำอะไรสักนิดเดียว แต่ให้ท่านกลับทำอะไรหลายอย่างเพื่อข้า!
ข้ารู้สึก...
ซาบซึ้งใจอย่างล้นหลาม!
อีกทั้งยังตกใจมากด้วย!
ทางด้านเสนบาดีพลเรือนและทหารต่างเต็มไปด้วยความโกรธ!
อีกแล้ว?
สิ่งนี้เกิดขึ้นกี่ครั้งแล้ว?
ท่านช่วยหยุดกระทำการโดยไร้เหตุผลเช่นนี้จะได้ไหม?
พวกข้ายิ่งแก่ยิ่งรู้สึกปวดใจจนไม่อาจจะรับมือกับมันไหวแล้ว!
ทว่าครั้งนี้ไม่มีใครคัดค้าน
เพราะทุกครั้งที่พวกเขาคัดค้าน มันก็จะเป็นพวกเขาที่เป็นคนต้องทนทุกข์ทรมาน
ดังนั้นสุนัขจิ้งจอกเฒ่ากลุ่มนี้พอได้เรียนรู้บทเรียนของพวกเขา จึงไม่ต้องการไปโต้เถียงด้วย หากมันไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หลักของพวกเขา
แต่ดวงตาของพวกเขาก็ยังเปลี่ยนเป็นสีแดง เพราะไม่เต็มใจและไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นสักนิดเดียว
บัดซบ!
ทำไมต้องให้เขามากขนาดนี้?
อีกทั้งยังมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ!
ไอ้บัดซบนี้ช่วยจักรพรรดินีไว้ในชาติที่แล้วหรือไง?
หรือว่าเขาช่วยอาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่เอาไว้?
เหตุอันใดจักรพรรดินีถึงชอบเขานักกัน?
พวกข้าไม่ได้อิจฉาหรอกนะ!
ไม่ได้อิจฉาเลยจริงๆ!
ในยามนั้นเอง เสียงกัดฟันของเสนาบดีก็ดังขึ้นมา
เสนาบดีคนอื่นก็กัดฟันแน่น พวกเขารู้สึกอยากทุบศีรษะของใครสักคนเหลือเกิน
หลังจากร่ายยาวรางวัลไปประมาณสิบนาที ในที่สุดจักรพรรดินีก็หยุดลงด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไร
เสนบาดีทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในที่สุดมันก็จบลงเสียที!
สำหรับพวกเขา มันเหมือนกับการทรมาน!
แม้ไม่มีมีด แต่ก็รู้สึกถึงโลหิตที่ไหลออกมา!
จากนั้นจักรพรรดินีก็กล่าวถามด้วยรอยยิ้มว่า "ท่านหลิน ท่านพอจะกับรางวัลหรือ?"
"ข้ารู้สึกซาบซึ้งกับพระคุณของฝ่าบาทยิ่ง! แต่ได้โปรดถอนคำสั่งเถิดฝ่าบาท!" หลินเป่ยฟานกล่าวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความกลัว
"ทำไมกันเล่า? ท่านไม่ชอบเหรอท่านหลิน" จักรพรรดินีไม่เข้าใจสักนิดเดียว
"มันใช่เช่นนั้น แต่สวนของเรือนข้าเล็กเกินไปที่จะใส่สมบัติทั้งหมดเหล่านี้ได้!" หลินเป่ยฟานบ่นออกมา
ดวงตาของจักรพรรดินีพลันเบิกกว้างขึ้นมา "เช่นนั้นก็ดีเลย! ข้าจะได้ให้รางวัลท่านเป็นสวนที่ไว้ใช้สำหรับเก็บสมบัติเหล่านั้น!"
เมื่อได้ยิน เสนาบดีพลเรือนและทหารต่างก็หัวเราะออกมาคล้ายจะเป็นบ้ากันไปแล้ว