บทที่ 84: เด็กหนุ่มมีความผิดปกติ? ให้ข้ารักษาเขาด้วยวิธีอันตื่นตะลึงเถิด!
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 84: เด็กหนุ่มมีความผิดปกติ? ให้ข้ารักษาเขาด้วยวิธีอันตื่นตะลึงเถิด!
ในท้ายที่สุด กัวเส้าส้วยก็ถูกพาตัวเข้ามา
ทว่าหลังจากประสบกับเหตุการณ์ความอับอายครั้งใหญ่ เขาก็ไม่อาจรับมือกับความกดดันและได้แต่ขังตัวเองไว้ในห้อง
โม่หรูซวงเคาะประตูด้านนอก ตะโกนด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง “ศิษย์น้อง หากมีอะไรก็รบกวนรีบโปรดเปิดประตูเถิด อย่าขังตัวเองเอาไว้! เจ้าบอกข้าได้ทุกอย่างเลย เจ้าไม่เชื่อใจศิษย์พี่หญิงของเจ้าเลยหรือ? มันจะทำให้เจ้าป่วยนะถ้าเจ้าเก็บทุกอย่างไว้เป็น...”
เสียงที่ดูอายและความโกรธดังมาจากภายในห้อง “ศิษย์พี่หญิง ได้โปรดอย่ารบกวนข้าเลย ให้ข้าจัดการกับปัญหาของตัวเองเถอะ! ถ้าท่านยังกวนใจข้าอีก ข้าจะหนีไปและท่านก็จะไม่ได้เจอข้าอีก!”
หลังจากพูดจบไป ก็ไม่มีเสียงอีกเลย
"ศิษย์น้อง! ศิษย์น้อง …” โม่หรูซวงเรียกอีกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ จึงถอนหายใจและเดินจากไป
"เขาเป็นยังไงบ้าง?" หลินเป่ยฟานและคนอื่นๆ ถามอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เขายังเหมือนเดิม ไม่สามารถเผชิญหน้ากับความเป็นจริงและไม่ต้องการพบผู้ใด” โม่หรูซวงกล่าวออกมาอย่างไร้หนทาง
ณ จุดนี้เอง องค์หญิงน้อยผู้ตรงไปตรงมาก็พูดขึ้น “พี่สาวหรูซวง ข้าไม่รู้ว่าควรถามเรื่องนี้หรือไม่ แต่ทำไมน้องชายของเจ้าอย่างกัวเส้าส้วยจึงชอบกินอาหารที่บูดเน่ากัน? เมื่อครู่นั้นเขากินมันอย่างมีความสุขมาก กินจะกระทั่งหมดถังเลยด้วยซ้ำ…”
โม่หรูซวงรู้สึกละอายเป็นอย่างยิ่ง
การกระทำของศิษย์น้องของนางในการขโมยอาหารบูดเน่าได้ถูกเปิดเผย ซึ่งก็ทำให้นางซึ่งเป็นศิษย์พี่ของเขาเสียหน้าเช่นกัน
อันที่จริงนางต้องการที่จะเปิดประตูและเตะเขาสองสามครั้งด้วยซ้ำ
"ข้าไม่รู้ว่าทำไม! ข้าบอกได้คำเดียวว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนี้มาก่อน! เขาไม่ชอบอะไรที่มันไม่สดใหม่ แต่ยามนี้…“ โม่หรูซวงถอนหายใจ”บางทีอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในจิตใจของเขา! เมื่อเขาถูกจับได้ ความภาคภูมิใจในตัวของเขาจึงถูกกระทบ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการเผชิญกับความเป็นจริงอีกต่อไป…”
“ข้าเองก็คาดเดาว่าจะเป็นเช่นนั้น!” ทุกคนพยักหน้า
“อย่าเพิ่งไปยุ่งกับเขายามนี้เลย บางทีเดี๋ยวเขาก็อาจจะออกมาด้วยตัวเขาเอง” โม่หรูซวงถอนหายใจ
"พวกเจ้าจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอก! คนหนุ่มสาวเช่นเขามักมีแนวโน้มที่จะหลงอยู่ในความคิดของตนเองและทำสิ่งที่ไม่คาดคิด! ดังนั้นข้าจะไปให้ความกระจ่างแก่เขาเอง!” หลินเป่ยฟานกล่าว
“ท่านแน่ใจหรือว่าจะทำเช่นนั้นได้?” ทุกคนต่างสงสัย
“หากไม่ใช่ข้า ก็คงไม่มีผู้ใดในโลกหล้านี้จะทำได้แล้ว พวกเจ้าลืมตัวหรือเปล่าว่าข้าเป็นผู้ใด? ข้าเป็นผู้อำนวยการสถาบันจักรพรรดิ รับผิดชอบด้านการศึกษา ด้านคุณธรรมและจริยธรรมของบัณฑิต! ด้วยการแนะนำและการศึกษาของข้า บัณฑิตของสถาบันจักรพรรดิได้พัฒนาขึ้นอย่างรุ่งโรจน์!” หลินเป่ยฟานกล่าวด้วยความมั่นใจ
บัณฑิตของสถาบันจักรพรรดิทุกคนต่างจามออกมา
เจ้าหญิงตัวน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่น่าอับอายที่หลินเป่ยฟานทำที่สถาบันจักรพรรดิ ก็พูดอย่างกังวลว่า “เจ้ามีความสามารถในเรื่องนั้นจริงๆ หรือ? อย่าทำเรื่องวุ่นวายสิ!”
หลินเป่ยฟานเขย่าแขนเสื้อและพูดอย่างมั่นใจ “ท่านดูและเรียนรู้ไว้ ข้าจะให้การรักษาที่น่าตื่นตะลึงแก่เขาเอง!”
หลินเป่ยฟานเดินอย่างใจเย็นไปที่ประตูห้องของกัวเส้าส้วย
หลังจากเคาะไม่กี่ครั้งและไม่ได้รับคำตอบ เขารวบรวมพลังภายในของเขาและทำการสับเบาๆ และผลักประตูเปิดออก
ในยามนี้ กัวเส้าส้วยกำลังนอนอยู่บนพื้น ดวงตาจับจ้องไปที่เพดานราวกับว่าเขาสูญเสียความหวังทั้งหมดไป
แต่เมื่อเขาเห็นหลินเป่ยฟานเข้ามา เขาก็ตอบสนองเล็กน้อย
"เจ้าเข้ามาได้ยังไงกัน? ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า!” กัวเส้าส้วยกล่าว
หลินเป่ยฟานย่อตัวลง มองไปที่กัวเส้าส้วยที่ดูไร้ชีวิตและถอนหายใจ “ทำไมเจ้าถึงทรมานตนเองเช่นนี้? มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลย!”
กัวเส้าส้วยยังคงไม่ตอบอะไรกลับมา
หลินเป่ยฟานถอนหายใจอีกครั้ง “ที่จริงตอนที่ข้าเห็นเจ้ากินอาหารบูดเน่าอย่างมีความสุข ข้าก็รู้สึกใกล้ชิดกับเจ้ามาก เพราะข้าสามารถเข้าใจสถานการณ์ของเจ้าได้ดีเลย ข้าเองก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและมักต้องทนทุกข์ทรมานจากความหิวโหย ความหนาวเหน็บ จนบางครั้งข้าต้อง…”
แววตาของความเห็นใจปรากฏขึ้นในสายตาของกัวเส้าส้วย “จ…เจ้าเคยกินอาหารบูดเน่ามาก่อนด้วยเหรอ”
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะ “ไม่ ไม่เหมือนเจ้า ข้าไม่แม้กระทั่งจะทานอาหารดีๆ เช่นนี้ได้เลย!”
กัวเส้าส้วยเมื่อได้ยินจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ข้าเคยอดอยากมานานจนต้องไปร้องขออาหารเช่นเจ้า ด้วยวิธีนี้ ข้าจึงไม่อดตาย!” หลินเป่ยฟานนึกถึงอดีตของเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“แล้วเกิดอะไรขึ้นอีกหรือ?” ดวงตาของกัวเส้าส้วยเป็นประกาย มันเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“ข้าไม่อาจทำได้สำเร็จ!”
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะและกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ข้าหล่อเกินไปจนไม่มีใครเชื่อว่าข้ามาขอทาน พวกเขาทั้งหมดคิดว่าข้าเป็นบัณฑิตที่ไร้ที่พึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงลากข้าเข้าไปและให้อาหารข้าจนกว่าข้าจะอิ่ม ก่อนที่จะปล่อยตัวข้าออกมา!”
กัวเส้าส้วยพ่นลมหายใจออกมาอย่างรุนแรง
“โดยเฉพาะหญิงสาวจากตระกูลร่ำรวยที่กำลังจะเข้าสู่วัยออกเรือน พวกนางไม่แม้แต่จะปล่อยข้าไป ถึงขั้นต้องการทำให้ข้าเป็นสามีของพวกนาง! ข้าน่ะรู้ดีเลยว่าอาหารมื้อเดียวกว่าจะได้มามันยากเพียงใด!”
กัวเส้าส้วยได้แต่พ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง
“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าอิจฉาเจ้ามาก!”
หลินเป่ยฟานกล่าว “เจ้ายังมีโอกาสที่จะขออาหารและกินอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ สำหรับข้า ข้าไม่มีกระทั่งโอกาสจะลองเพราะมีแต่คนเข้ามาขวางทางข้า!”
กัวเส้าส้วยโกรธ โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เขาตะโกนลั่นออกมา “พอได้แล้วหลินเป่ยฟาน! เจ้าจงใจที่จะยั่วยุข้างั้นหรือ? ขอบอกเลยว่าเจ้าทำสำเร็จ! เจ้าทำให้ข้าโกรธได้สำเร็จ! พวกเราไม่เหมือนกันสักหน่อย!”
"อย่าคิดมากไปเลย!"
หลินเป่ยฟานยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าแค่อยากจะบอกความจริงที่ลึกซึ้งแก่เจ้า จงอย่าคิดว่าตนเองสูงส่งเกินไป! ทุกคนต่างมีภาระและไม่มีเวลามาสนใจเจ้า! คนเดียวที่มีเวลามาสนใจเจ้าคือคนที่อยากเห็นเจ้าล้มเหลว เหมือนกับข้าในยามนี้! แล้วทำไมคนที่ห่วงใยเจ้าถึงไม่มีความสุข ส่วนคนที่ไม่ชอบเจ้ากลับมีความสุขล่ะ? เช่นนั้นทำไมต้องทรมานตนเองอีก?”
กัวเส้าส้วยตกตะลึงไปชั่วขณะและเงียบไป
เขาตระหนักว่าสิ่งที่หลินเป่ยฟานพูดมัน...
สมเหตุสมผลนัก!
“ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากหรอก!” หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมา “เจ้ากินของเหลือและดื่มน้ำเสีย รังแต่ทำให้คนอื่นรังเกียจเท่านั้น น่าจะเป็นพวกเขาที่อยากตาย ไม่ใช่เจ้าสักหน่อย!”
ปากขอกัวเส้าส้วยถึงกับกระตุก
ในขณะนั้นเอง หลินเป่ยฟานก็ก้าวเท้าออกไปข้างนอกและกลับมาพร้อมกับไวน์สองขวด
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว มาดื่มกันเถิด! การเมาเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกสิ่ง!” หลินเป่ยฟานกล่าวต่อ “เจ้าจำบทกวีที่ข้าเคยกล่าวได้หรือไม่? การเปลี่ยนแปลงของโลกล้วนมาจากเรา เวลามักผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเราอยู่ในโลกวรยุทธ์ เราสนทนา หัวเราะเรื่องการเมืองและอำนาจ แต่เรากลับไม่สามารถก้าวข้ามช่วงเวลาเหล่านี้ของชีวิตไปได้”
จิตใจของกัวเส้าส้วยคล้ายกับดีขึ้นมามาก เขาตะโกนออกมาทันที “ดี! เช่นนั้นก็มาดื่มกันเถิด!”
ทั้งสองคนดื่มไวน์จนอิ่ม
ทว่าในไม่ช้า หลินเป่ยฟานก็รู้สึกเสียใจ
ชายผู้นี้ดื่มไม่ได้ เขากลายเป็นคนบ้าไปเลยหลังจากดื่มไปครึ่งขวด
มันคงจะดีถ้าเขาแค่ทำตัวบ้าๆ บอๆ แต่เขากลับเริ่มเรียกหลินเป่ยฟานว่าพี่ชาย
แค่เรียกเขาว่าพี่ชายก็แย่พอแล้ว แต่เขายังแบ่งปันความรู้สึกและวิธีการที่เขาต้องกินอาหารเหลือในหลายวันที่ผ่านมาอีก
หลินเป่ยฟานรู้สึกรังเกียจยิ่งที่ได้ฟังมัน
เมื่อไวน์เขาปาก เขาก็รีบกล่าวในทันทีว่า “ท่านพี่ ท่านเข้าใจข้านัก! จากนี้ไปข้าจะดูแลท่านเอง! ตราบใดที่ข้าได้กินอาหารท่าน แม้จะเป็นน้ำปัสสาวะข้าก็พร้อมให้ท่านดื่มได้!”
หลินเป่ยฟานรู้สึกซาบซึ้งใจนัก "น้องชาย! ตราบใดที่เจ้าอิ่ม ข้าก็ไม่สนหรอกว่าข้าจะกระหายน้ำหรือเปล่า!”
"ท่านพี่! ฮ่าฮ่าฮ่า …” กัวเส้าส้วยหัวเราะจนหมดสติไป
หลินเป่ยฟานลุกขึ้นจากพื้นทันทีและเรียกคนมาช่วยทำความสะอาด
วันรุ่งขึ้น อาการขอกัวเส้าส้วยดีขึ้นมากมากหลังจากที่เขาได้ปลดปล่อยออกมา
ทว่าเขายังคงต้องการที่จะฆ่าตัวตายเมื่อเขาคิดถึงสิ่งที่เขาทำเมื่อวันก่อนนี้ เหตุใดเขาจึงเปิดเผยทุกอย่างแก่ศัตรูของเขากัน
เขาไม่รู้เลยว่าความขุ่นเคืองที่มีต่อหลินเป่ยฟานนั้นเริ่มลดลงเล็กน้อยแล้ว
โม่หรูซวงรู้สึกโล่งใจและกล่าวว่า “ข้าดีใจที่เจ้าหายดีแล้ว ศิษย์น้อง!”
“ไม่ต้องห่วงศิษย์พี่หญิง ข้าจะไม่ทำอะไรโง่ๆ ที่จะทำให้ท่านกังวลอีก” กัวเส้าส้วยกล่าวยืนยันกับนาง
โม่หรูซวงรู้สึกโล่งใจมากยิ่งขึ้นและจึงกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้ามีความเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว!”
กัวเส้าส้วยพยักหน้าเห็นด้วย
เขาตระหนักว่าเขาโตขึ้นมากตั้งแต่ได้พูดคุยกับหลินเป่ยฟาน ราวกับว่าเขาได้เติบโตขึ้นในทันที
“ว่าแต่ศิษย์น้อง ท่านหลินให้ความกระจ่างแก่เจ้าและช่วยให้เจ้าเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” โม่หรูซวงถามด้วยความสงสัย
ริมฝีปากขอกัวเส้าส้วยถึงกับกระตุก “ศิษย์พี่หญิง ไม่ต้องพูดถึงสิ่งเหล่านี้เถิด ลืมมันไปดีกว่า โอ้ ว่าแต่ทำไมท่านถึงมาพักที่คฤหาสน์หลินเล่า?”
“สถานการณ์มันเป็นเช่นนี้! คืนนั้นข้าถูกไล่ล่าโดยผู้ฝึกวรยุทธ์ขั้นสูงและทหารหลายนาย…” โม่หรูซวงอธิบายสถานการณ์สั้นๆ
กัวเส้าส้วยครุ่นคิดเกี่ยวถึงเรื่องนี้และกล่าวว่า “คงเป็นหลินเป่ยฟานที่ช่วยท่านไว้! แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่เขาก็ยังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง…”
“ศิษย์น้อง เจ้ากล่าวเช่นนี้กับเขาไม่ได้!” ใบหน้าของโม่หรูซวงจริงจังยิ่ง “อันที่จริงคนนอกหลายคนมักเข้าใจเขาผิด! แม้ว่าเขาจะฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่เขาก็มีหลักการในการโกงกินและดีกว่าขุนนางในราชสำนักคนอื่นๆ มาก! เขาไม่เคยเป็นคนทรยศต่ออาณาจักร เขาได้ทำอะไรมากมายเพื่ออาณาจักรและราษฎรด้วยซ้ำ เราควรต้องเคารพเขา!”
“ศิษย์พี่หญิง เรื่องราวทั้งหมดเป็นมาเช่นไร?” กัวเส้าส้วยถามด้วยความเคร่งเครียด
โม่หรูซวงจึงอธิบายสถานการณ์ให้เขาฟัง
“ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เป็นอย่างที่ผู้คนกล่าวสินะ…” ทัศนคติของกัวเส้าส้วยที่มีต่อหลินเป่ยฟานได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
แต่เขาก็ยังไม่อยากคบหากับหลินเป่ยฟานด้วยอยู่ดี
บางทีนี่อาจเป็นความดื้อรั้นสุดท้ายที่มีอยู่ในใจของชายหนุ่ม!
หลังจากนั้น ศิษย์พี่และศิษย์น้องก็อาศัยอยู่ในบ้านของหลินเป่ยฟานเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อพักฟื้นร่างกาย
ในช่วงเวลานี้ พวกเขาฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้ 70 ถึง 80% และตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะต้องจากไปแล้ว พวกเขาจึงมาบอกลาหลินเป่ยฟาน
“ท่านหลิน เราสร้างปัญหาให้ท่านมากมายในช่วงนี้ ขอบคุณท่านมาก! ทว่าเราล่าช้าเกินไปและมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เราจึงต้องขอออกจากที่พักในยามนี้ ด้วยเหตุนี้เราจึงมาบอกลาท่านกัน!” โม่หรูซวงกล่าวออกมาด้วยความซาบซึ้ง
หลินเป่ยฟานเข้าใจและพยักหน้า “ข้าไม่รั้งพวกเจ้าไว้อยู่แล้ว เช่นนั้นก็ดูแลตัวเองด้วย!”
“ขอบคุณมากที่เข้าใจ ท่านหลิน! เราอาจได้พบกันอีกในอนาคต!” โม่หรูซวงโค้งคำนับอย่างสุภาพ
"ดูแลตัวเองด้วย!"
กัวเส้าส้วยโค้งคำนับด้วยความเคารพเช่นกัน
หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้วิชาตัวเบาเพื่อออกจากเมืองภายใต้ความมืดมิด
ก่อนจากไป โม่หรูซวงได้ชำเลืองมองหลินเป่ยฟานด้วยความฝืนใจ ก่อนจะทะยานออกไป
ทันใดนั้น กัวเส้าส้วยที่เงียบไปนานก็ถามว่า “ศิษย์พี่หญิง ท่านหลินเป่ยฟานหรือ?”
โม่หรูซวงตัวสั่นพยายามถามกลับไปอย่างเย็นชา “ศิษย์น้อง ทำไมเจ้าถึงถามเช่นนั้น?”
“ท่านซ่อนจากข้าไม่ได้หรอก! ข้าไม่เคยเห็นท่านสนใจผู้ชายคนไหนมากขนาดนี้มาก่อน! ข้าย่อมสามารถรู้ได้อยู่แล้ว ท่านหลอกข้าไม่ได้หรอก กัวเส้าส้วยกล่าวด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในใจเล็กน้อย
กระทั่งศิษย์พี่หญิงของเขายังถูกขโมยหัวใจไปโดยชายผู้นั้น
เจ้าสารเลวบัดซบ!
โม่หรูซวงถอนหายใจและยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าจะทำเช่นไรถ้าข้าชอบเขาเล่า? ยังไงเราก็ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้อยู่แล้ว!”
“เขาเป็นขุนนางราชสำนักและเรามาจากเจียงหู! เขาเป็นคนสนิทของจักรพรรดินีและเราเป็นผู้ติดตามขององค์ชาย! เรา…ถูกชะตากำหนดไม่ให้ได้อยู่ร่วมกัน!” โม่หรูซวงกล่าว
กัวเส้าส้วยพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก
พวกเขาทั้งสองยังคงเดินทางต่อไป