บทที่ 27 โอกาสในการสงสัย
แม้ว่าเฟิ่งหยินซวงจะยังไม่ตัดสินใจทำอะไร แต่นางก็ไม่สามารถปล่อยให้เฉินหยิงต้องเผชิญความทุกข์ตามลำพังได้
โดยเฉพาะหลังจากนางพูดประโยคแสดงความจริงใจนั้นออกมา เฟิ่งหยินซวงก็ยิ่งรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก
เฉินหยิงเป็นคนแรกที่รู้ความลับของนาง สิ่งที่นางเพิ่งพูดนั้นเห็นได้ชัดว่าเพื่อประโยชน์ของตัวนางทั้งหมด ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวหรือเพียงเพื่อเอาใจ แต่นางก็ไม่สามารถปล่อยให้เฉินหยิงต้องทนทุกข์กับเรื่องนี้ได้
ในเมื่อตอนนี้มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นนางหรือเฉินหยิงก็ควรต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์
“จริงสิน้องเฉิน มะรืนนี้จะเป็นวันเกิดของสนมซีอาน ซึ่งจะมีการจัดงานเลี้ยงในวังหลวง แล้วเจ้าจะต้องเข้าวังไปพร้อมกับข้าเพื่ออวยพรวันเกิดนางด้วยกัน”
สนมซีอานเป็นญาติของเฟิ่งหยินซวง นางเป็นคนหน้าตาสะสวยและมีกิริยาที่งดงามอย่างมาก นางเข้าวังไปเมื่อเจ็ดปีก่อน และได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก
หยินซวงสนิทกับนางมาก เพราะสนมซีอานดูแลนางมาตั้งแต่เด็กและรักนางเหมือนน้องสาวแท้ ๆ
สนมซีอานมีบุตรสาวหนึ่งคนอายุห้าขวบ และเพราะนางมีองค์หญิงตัวน้อย ๆ ให้ราชวงศ์ฉู่ ฮ่องเต้จึงรักและเอ็นดูนางยิ่งกว่าเดิม
เพราะสนมซีอานเป็นคนอ่อนแอ นางจึงแทบไม่ได้ออกจากวังไปไหน แต่ข่าวลือของเฟิ่งหยินซวงในครั้งนี้ก็ลอยเข้าหูของนางจนได้ และนั่นก็ทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลและเป็นห่วงจนล้มป่วย ทำให้ฮ่องเต้กังวลเป็นอย่างมาก
เฟิ่งหยินซวงจึงอยากใช้โอกาสนี้ทำให้นางมีชีวิตชีวามากขึ้น เพื่อให้นางยิ้มได้และหายป่วยไว ๆ
“ท่านพี่ แล้วข้าจะไปงานเลี้ยงวันเกิดของสนมซีอานได้อย่างไร?” เฉินหยิงถามด้วยความสงสัย
พ่อของนางเป็นเพียงข้าราชการระดับสี่ และท่านก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวังหลวงเว้นแต่จะถูกเรียกตัว นับประสาอะไรกับนางที่เป็นเพียงลูกสาว
“ตราบใดที่เจ้าเป็นผู้ติดตามข้า ก็จะไม่มีใครหยุดเจ้าได้”
หากมีคนบอกว่าเจ้าสมบัติของเฉินหยิงไม่คู่ควร ซูมันรูที่เป็นเพียงลูกสาวผู้พิพากษามณฑลขนาดเล็กจะมีเจ้าสมบัติไม่ถึงมากกว่าหรือ?
“คุณหนูของคฤหาสน์เฉินกั่วกงก็จะไปในวันนั้นด้วยนะเจ้าคะ ถ้านางเห็นคุณหนูของเรา คุณหนูคงจะถูกนางเยาะเย้ยอีกแน่เจ้าค่ะ” ปิงเอ๋อร์ สาวใช้ส่วนตัวของเฉินหยิงพูดขึ้นเบา ๆ
เห็นได้ชัดว่านางไม่ชอบคุณหนูของคฤหาสน์เฉินกั่วกงคนนั้นอย่างมาก แสดงว่านางคงไม่ได้กลั่นแกล้งพวกนางเพียงครั้งเดียว
ในอดีตชาติ เฟิ่งหยินซวงเคยรู้จักเฉินชูเซียนมาก่อน นางคนนั้นมีนิสัยหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการเป็นอย่างมาก แต่นางก็ไม่เคยทำอะไรนาง เราทั้งคู่รู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น
ต่อมา หลังจากที่นางถูกใส่ร้ายและคุมขัง ซูมันรูก็มากระซิบกับนางว่าเฉินกั่วกงพ่อของเฉินชูเซียน เป็นผู้ทำหลักฐานการทุจริตและรับสินบนของตระกูลเฟิ่งมาให้หนานหยูเทียน
มองจากภายนอก เฉินกั่วกงนั้นให้ความเคารพปู่ของนางเป็นอย่างมาก เขามักจะมาขอคำปรึกษาและทำตามคำแนะนำของปู่ของนางอยู่ตลอด แต่ทุกอย่างนั้นก็เป็นสิ่งจอมปลอม
เฟิ่งหยินซวงจับมือของเฉินหยิงเอาไว้แน่นก่อนจะมองสีหน้าวิตกกังวลของนางแล้วยกยิ้มใจดี
“เจ้ากลัวนางหรือ?”
เฉินหยิงเบิกตาโตขึ้นเล็กน้อยก่อนจะรีบส่ายหัว
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย แล้วข้าจะกลัวนางได้อย่างไร? ข้าแค่...ข้าไม่ต้องการให้เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านพี่ และข้าก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้กับท่านพ่อ”
เพราะฐานะทางสังคมของเฉินกั่วกงอยู่สูงกว่าพ่อของนาง หากนางเกิดขัดแย้งกับเฉินชูเซียนขึ้นมา พ่อของนางคงถูกเฉินกั่วกงตำหนิเอาอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงพยายามเพิกเฉยต่อนางเสีย
เฉินหยิงไม่ใช่เฟิ่งหยินซวงที่จะมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมทั้งยังกล้าทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่เกรงกลัว อย่างการสลับเกี้ยวแต่งงานก็เช่นกัน หากเป็นนาง นางคงไม่กล้าทำแบบนั้นแน่
“แต่การอดทนมีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง การทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องตัวเองและครอบครัวเจ้าได้” เฟิ่งหยินซวงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ถ้าเฉินหยิงเป็นผู้ชาย นางก็คงจะรู้สึกฮึกเหิมเมื่อได้ยินแบบนี้ แต่เพราะนางเป็นผู้หญิง ผู้หญิงจะแข็งแกร่งอย่างนั้นได้อย่างไร?
“ข้าได้ยินมาว่าทักษะการเต้นระบำของเจ้านั้นยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นในงานเลี้ยงวันมะรืนนี้ มันจะเป็นเวลาที่ดีที่เจ้าจะได้แสดงความสามารถ ข้าเชื่อว่ามันจะช่วยให้ชื่อเสียงของเจ้าที่แปดเปื้อนเพราะคำพูดคนอื่นกลับคืนมาเป็นด้านดีได้อย่างแน่นอน”
ด้วยฐานะทางสังคมของเฉินหยิงไม่สูงนัก และตอนนี้ชื่อเสียงของนางก็ไม่ค่อยดี หากใครเอานางไปพูดว่านางเป็นผู้หญิงที่ทำลายการแต่งงานของกษัตริย์ชิงผิงและองค์ชายสาม ทั้งองค์ชายยังไม่ต้องการเข้าพิธีสาบานตนกับนาง แล้วนางจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร?
ดังนั้นเฟิ่งหยินซวงจึงต้องการผลักดันให้เฉินหยิงมีโอกาสแสดงความสามารถที่แท้จริงของนางต่อทุกคน และวิธีนี้อาจทำให้นางมีโอกาสได้พบสามีที่ดี ซึ่งจะทำให้นางรู้สึกผิดน้อยลง
เฉินหยิงเป็นผู้หญิงฉลาด แน่นอนว่านางเข้าใจจุดประสงค์ของเฟิ่งหยินซวงได้ในทันที
“ท่านพี่หยินซวง ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ทำให้ท่านพี่ผิดหวัง”
...
วังทั้งวังดับไฟมืดสนิทมีแค่เพียงแสงสลัวจากตะเกียงโต๊ะทำงานเท่านั้นที่ยังส่องสว่าง
ชายหนุ่มร่างสูงโปรงในชุดคลุมสีขาวกำลังขะมักเขม้นในการจรดพู่กันลงบนกระดาษ พู่กันสีเขียวสะบัดพริ้วไปตามการขยับไหวจากปลายนิ้วของเขา ลายมือที่ออกมาดูแข็งแรงและสวยงามชัดเจน ไม่ช้า แผ่นกระดาษก็เต็มไปด้วยตัวอักษร รอให้หมึกแห้งครู่เดียวก็สามารถพับและใส่ลงซองจดหมายได้
ทันใดนั้น ร่างในชุดดำก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังในพริบตาราวกับเขาโผล่ออกมาจากอากาศ แสดงให้เห็นถึงความชำนาญในศิลปะการต่อสู้ของบุคคลคนนี้
อย่างไรก็ตาม เขาคนนั้นมีท่าทีอ่อนน้อมต่อชายอีกคนมาก เพราะทันทีที่ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากการเขียนจดหมาย คน ๆ นั้นก็คุกเข่าและโค้งคำนับในทันที
“ข้าได้ยินว่าท่านต้องการพบข้า” ผู้มาใหม่เอ่ยอย่างสุภาพ
“เยวฉี สิ่งที่ข้าสั่งให้เจ้าไปจัดการ สำเร็จแล้วหรือยัง?”
หน้ากากหมาป่าดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้นทันทีเมื่ออยู่ในที่ไฟสลัว ทั้งดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นก็สร้างแรงกดดันต่อคู่สนทนาได้เป็นอย่างดี
“ข้าส่งคนไปติดตามที่โน่นแล้ว ความเคลื่อนไหวล่าสุดคือองค์ชายประทับอยู่ในวังตลอดเวลา และออกคำสั่งห้ามรบกวนหากไม่มีอะไรสำคัญ ส่วนที่ประตูชายแดน ข้าก็ให้กองกำลังกองหนึ่งไปเฝ้าที่หน้าด่าน หาก เหยียนกั่วและเสี่ยวกั่วกล้าลำเส้นเข้ามาอีกครั้ง กองกำลังของเราจะต้านเขาไว้เอง”
“แล้วเยวอิ้งล่ะ?”
“ตามคำสั่งของท่าน นางแทรกซึมเข้าไปภายในอาณาจักรหยานได้สำเร็จแล้ว และหากมีข่าวใดเพิ่มเติม นางจะส่งข่าวกลับมาทันที”
“ดีมาก สมแล้วที่เจ้าเป็นคนสนิทของข้า โชคดีเหลือเกินที่ได้พวกเจ้าสองพี่น้องมาช่วยงาน ข้าจะได้มีเวลาพักผ่อนกับเขาบ้างเสียที”
เยวฉีเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ ดูเหมือนเขาจะอายุเพียงสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี แต่ดวงตาของเขากลับสงบนิ่งและซับซ้อนมากเกินวัย ทั้งยังมีรังสีของนักฆ่าลอยอยู่รอบตัวตลอดเวลาไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มทั่วไป
เยวอิ้งและเยวฉีเป็นนักฆ่าที่เลือดเย็นทั้งยังเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ของจุนโมเชน สองพี่น้องผู้ตัวเปียกเพราะเลือดมามากกว่าตัวเปียกฝน ทั้งคู่เติบโตมาเพื่อเป็นอาวุธสังหาร เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาต้องการฆ่าใครสักคน คน ๆ นั้นไม่มีทางรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเขาได้อย่างแน่นอน