บทที่ 21 จวงซาน
“หยินซวง ทำความเคารพองค์ชายสาม” เฟิ่งหยินซวงโค้งคำนับเป็นการทักทาย และหนานหยูเทียนก็ก้าวเข้ามาหานางทันที
“ซวงเอ๋อร์ เจ้ากับข้าจำเป็นต้องสุภาพต่อกันขนาดนี้เลยหรือ? เจ้าเป็นคนรักของข้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพถึงเพียงนี้”
เฟิ่งหยินซวงรีบดันมือของหนานหยูเทียนออกอย่างรวดเร็ว
“กฎก็ต้องเป็นกฎเพคะ แม้ว่าเราจะมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน แต่เราก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อคำพูดของคนอื่นได้”
องค์ชายสามเลิกคิ้ว เขาเริ่มรับรู้ถึงความเปลี่ยนไปของนางแล้ว แต่เขาก็คิดเพียงว่านางอาจจะแค่ไม่อยากตกเป็นขี้ปากคนอื่น
เขาไม่รู้ว่าข้างนอกนั้นมีข่าวลือว่าอย่างไรเฟิ่งหยินซวงถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ หรือเพราะมีการอ้างถึงเขาหรือกษัตริย์ชิงผิงในข่าวลือนัั้นด้วย มันจึงทำให้นางรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้
“ท่านพี่หยินซวง วันนี้ท่านสวยมาก องค์ชายสามมองท่านพี่ด้วยความประหลาดใจและหลงใหล ข้าเองก็เช่นกัน แม้ว่าท่านจะเป็นพี่สาวของข้า แต่วันนี้ข้าก็ต้องขอคำนับให้กับความงามของท่านเลย” ซูมันรูยิ้มกว้างและทำท่าโค้งคำนับนาง
“โถ…น้องซู เจ้าพูดอะไรเช่นนั้น ชุดสีฟ้าขาวราวกลีบเมฆที่เจ้าใส่วันนี้ก็สวยงามมากไม่แพ้กัน ข้ายังรู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่มองเจ้าเลย” เฟิ่งหยินซวงว่าแล้วก็หันกลับไปมองหนานหยูเทียน “เช่นเดียวกับตอนที่ข้ามององค์ชายสามเลยเพคะ”
เพราะวันนี้หนานหยูเทียนก็สวมชุดคลุมสีฟ้าเช่นเดียวกัน ชุดของทั้งสองจึงคล้ายกันมากราวกับแต่งตัวมาคู่กันเชียวล่ะ
“ท่านพี่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะสวมเสื้อผ้าสีเดียวกับองค์ชายสาม ข้าสมควรโดนท่านพี่ตำหนิจริง ๆ ได้โปรดท่านยกโทษให้ข้าด้วย” ซูมันรูลุกลี้ลุกลนนั่งคุกเข่าลงกับพื้น
ในเรื่องนี้ หนานหยูเทียนเลือกที่จะไม่พูดอะไร เพราะถ้าเขาช่วยแก้ตัวให้ซูมันรู เฟิ่งหยินซวงคงยิ่งจับผิดเราสองคนไปกันใหญ่
แต่กับซูมันรูที่เป็นพวกกล้าได้กล้าเสีย เขาแน่ใจว่านางจงใจทำมันอย่างแน่นอน
“ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง เสื้อผ้ามันจะมีสักกี่สี หากจะสีเหมือนกันก็เป็นเรื่องปกติ ไม่เห็นน้องซูต้องประหม่าขนาดนั้นเลย รีบลุกขึ้นเถิด หากเจ้ายังพยายามทำตัวน่าสงสารอย่างนี้ คนอื่นจะมองว่าข้าใจร้ายกับเจ้าเอา” เฟิ่งหยินซวงพูดด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
แต่ซูมันรูกลับรู้สึกเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลัง ทำไมปากของเฟิ่งหยิน ซวงถึงร้ายกาจขนาดนี้ นางกล้าพูดว่านางพยายามทำตัวน่าสงสารได้อย่างไร
นางรีบลุกขึ้นยืนในทันทีพลางเหลือบมององค์ชายสาม ก่อนจะเห็นว่าดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉยเมยปนไม่พอใจเล็ก ๆ ก็ยิ่งทำให้นางประหม่าขึ้นไปอีก
“ข้า…ข้าไม่ค่อยเข้าใจในมุกตลกข้าจึงตกใจ ขออภัยท่านพี่ด้วย เดิมทีข้ามาที่นี่เพื่อพาท่านพี่ออกไปเดินเล่นด้วยกัน แต่ในเมื่อองค์ชายสามเสด็จมาหาท่านพี่แล้ว ข้าก็ขอตัวกลับก่อน”
เรื่องเฟิ่งหยินซวงสำหรับนางยังเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่การทำให้องค์ชายสามไม่พอใจนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเห็นว่าเขาดูไม่พอใจแบบนั้น ซูมันรูจะกล้าอยู่ต่ออีกได้อย่างไร? หัวใจของนางเต็มไปด้วยความกังวลและประหม่า นางต้องออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้
“โถ…แม่นางซู ท่านเป็นน้องสาวที่แสนดีของคุณหนู เวลาที่คุณหนูจะออกไปเล่นที่ไหน ท่านจะไม่พาแม่นางซูไปด้วยได้อย่างไร? รัวซุ่ยคนนี้ได้ยินมาว่าแม่นางซูอยากให้ใครสักคนพาไปเดินเล่นที่ศาลาเพื่อเพลิดเพลินกับดอกไม้นี่หนา ข้าไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญเช่นนี้ที่องค์ชายสามก็เสด็จมาพอดี แต่ไม่ว่าจะเป็นไปทะเลสาบหรือเดินชมดอกไม้ หลายคนย่อมมีชีวิตชีวากว่าเสมอ แม่นางซูควรจะอยู่นะเจ้าคะ” รัวซุ่ยออกความเห็นยาวเหยียด
“เจ้า…” ซูมันรูลอบมองท่าทางของเฟิ่งหยินซวงและหนานหยูเทียนในทันที ในตอนที่สาวใช้พูดจ้อไม่หยุดแบบนี้ นางสงสัยว่าท่าทีของพวกเขาจะเป็นอย่างไร
“เจ้าไปด้วยกันเถิด ไม่ต้องทำหน้าสงสัยใส่ข้าแล้ว” เฟิ่งหยินซวงหัวเราะออกมาเบา ๆ
เนื่องจากเห็นนางพูดแบบนั้น แน่นอนว่าหนานหยูเทียนก็ควรพูดบางอย่างด้วยเช่นกัน
“ในเมื่อเจ้าเป็นพี่น้องกัน เจ้าจงไปด้วยกันกับข้าเถิด มิฉะนั้นข้าคงคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ความเป็นพี่น้องของพวกเจ้าห่างเหินกัน และหากเป็นอย่างนั้น ข้าคงรู้สึกละอายใจไม่น้อย”
ได้ยินเขาพูดแบบนั้น ซูมันรูก็รีบโค้งคำนับทันที
“เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แบบข้ามีความเคารพท่านมากกว่าที่จะทำตามใจตัวเอง ในเมื่อท่านรับสั่งเช่นนี้ข้าก็จะทำตามเพคะ”
แน่นอนว่านางเป็นคนแบบนี้ แม้แต่รัวซุ่ยก็อดที่จะพูดตอกย้ำนางไม่ได้
นางต้องการไปด้วยอย่างชัดเจน
ซูมันรูเป็นคนหน้าหนาและสำคัญตัวเอง นางคิดว่าหยินซวงต้องพานางไปด้วยทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก และนางก็มักใช้โอกาสนี้พบกับบุคคลสำคัญมากมาย แม้ว่าสถานะของนางจะต่ำต้อยกว่า แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ดีของนางกับเฟิ่งหยินซวง และความสามารถในการสร้างภาพลักษณ์ที่เจียมตัวและไร้พิษภัยอยู่เสมอ ทำให้คนเหล่านั้นเอ็นดูและไว้ใจนางมาก
แต่เมื่อนางได้มารู้จักองค์ชายสาม นางเลิกให้ความสนใจคนเหล่านั้น เพราะไม่ว่าพวกเขาจะร่ำรวยและมั่งคั่งเพียงใด มันก็เทียบไม่ได้กับการเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์อยู่ดี
....
ทุกคนออกไปด้วยกันโดยที่ซูมันรูก็ได้นั่งรถม้าคันเดียวกับทั้งสองด้วย
นางหยิบห่อผ้าที่มีกล่องขนมเล็ก ๆ บรรจุอยู่ด้านในออกมาก่อนจะเอ่ยชวนให้พี่สาวและองค์ชายลองชิมมัน
“ท่านพี่ เมื่อคืนข้าลองทำขนมเอง หวังว่าท่านพี่กับองค์ชายสามจะชอบนะเพคะ”
“ขอบใจมากแม่นางซู มาสิ ข้าจะลองชิมให้”
หนานหยูเทียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นกัดแล้วตอบว่ามันอร่อย เขากินขนมที่ทำโดยซูมันรูมาหลายอย่างมากจนเริ่มจะเบื่อ
ทุกครั้งที่นางไปเข้าเฝ้านางก็มักจะนำขนมที่นางทำเองติดมือไปด้วยเสมอ และแน่นอนว่าต่อหน้าเฟิ่งหยินซวงเขาต้องแสร้งทำเป็นเพิ่งเคยกินมันครั้งแรก
“แม่นางซูน้องข้าช่างเก่งและฉลาดมาก ใครก็ตามที่ได้แต่งงานกับนางคงจะเหมือนได้รับพรจากสวรรค์ อันที่จริงปีนี้นางก็ถึงวัยที่นางควรจะได้แต่งงานแล้ว ข้าในฐานะพี่สาวที่แสนดีของนางก็อดไม่ได้ที่จะกังวล องค์ชายสามลองเลือกสามีให้นางดีไหมเพคะ”
หนานหยูเทียนไม่ได้ตอบสนองอะไรกลับไป แต่การแสดงออกของซูมันรูกลับเปลี่ยนไปในทันที
“ทำไมท่านพี่พูดอย่างนั้น ข้ายังไม่อยากแต่งงาน หากแต่งงานไปข้าคงไม่มีโอกาสดูแลท่านพี่อีก ในใจของข้าท่านพี่คือคนที่สำคัญที่สุด”
เฟิ่งหยินซวงรู้สึกขยะแขยงทันทีที่ได้ยินนางเยินยออย่างเสแสร้งมาแบบนั้น
“องค์ชายสามล่ะเพคะ ท่านคิดเห็นอย่างไร?” นางหันไปหาหนาน หยูเทียนเพื่อดูว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร
“น้องสาวของเจ้าช่างมีความรักต่อเจ้าอย่างสุดซึ้ง และข้าก็ไม่สะดวกใจที่จะออกความเห็นในเรื่องนี้ เจ้าทั้งสองตกลงกันเองเถิด” หนาน หยูเทียนกล่าวอย่างไหลลื่น