บทที่ 151: ข้อเสียของสายเลือดซูเปอร์ไซย่าและการไปยังจักรวาล 228
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 151: ข้อเสียของสายเลือดซูเปอร์ไซย่าและการไปยังจักรวาล 228
"หา? ฝ่าบาท ท่านกลายร่างเป็นเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่าแล้วหรือยัง?”
“ดูเหมือนว่าจะยัง…” หลินเฉินกล่าวออกมาด้วยความสับสน
ไทต์เองที่เฝ้าดูอยู่ก็กล่าวขึ้นมาว่า “หลินเฉิน พวกเขาทั้งห้ามีร่างกายส่องสว่างเป็นแสงสีทอง แต่ท่านไม่ เป็นไปได้ไหมว่าท่านไม่มีจิตใจที่ชอบธรรมอยู่?”
"นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก!"
“ใช่! ความยิ่งใหญ่ของเขาได้นำเราชาวไซย่าไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง เขาจะไม่มีจิตใจอันชอบธรรมได้ยังไงกัน?”
บาร์ดัคและคนอื่นๆ ก็ส่ายศีรษะทันที
หลินเฉินก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้เช่นกัน
ถึงแม้ภายนอกเขาจะเป็นชายไซย่า แต่เนื้อในเขาคือชาวโลก เมื่อเขามาถึงจักรวาลนี้ หลินเฉินก็ไม่เคยทำอะไรที่ชั่วร้ายเลย
แต่ทำไมเขาถึงแปลงร่างเป็นเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่าไม่ได้กัน?
"ติ้ง!"
ทันใดนั้นหลินเฉินก็ได้ยินเสียงในใจของเขาจากระบบ
“อย่าลืมว่าผู้ใช้มีสายเลือดของซูเปอร์ไซย่าในตำนานที่เป็นสายเลือดของปีศาจ หลังจากรวมเข้ากับหัวใจของผู้ใช้แล้ว ผู้ใช้ไม่อาจมีหัวใจแห่งความชอบธรรมได้ ดังนั้นผู้ใช้จึงสามารถเป็นเทพซูเปอร์ไซย่าได้ผ่านการฝึกฝนของท่านเองเท่านั้น!”
"โอ้!"
หลินเฉินรู้สึกประหลาดใจพอสมควร “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าก่อนหน้านี้ล่ะเจ้าระบบ?”
“ผู้ใช้ไม่ได้ถาม”
"บัดซบ!" หลินเฉินยกนิ้วกลางให้กับระบบในใจของเขา
“ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ ข้าเกรงว่าข้าคงจะไม่สามารถแปลงร่างเป็นเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่าได้”
“แล้วต่อจากนี้จะให้เราทำเช่นไรกันต่อหรือ?” เมื่อเห็นว่าแม้แต่หลินเฉินก็ไม่สามารถแปลงร่างเป็นเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่าได้ ทุกคนก็ค่อนข้างรู้สึกแย่นิดหน่อย
ทว่าหลินเฉินคิดต่างออกไป ระบบเพิ่งกล่าวว่าสายเลือดซูเปอร์ไซย่าในตำนานเพียงจำกัดเขาจากการแปลงร่างเป็นเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่าผ่านการผสานห้าคน
แต่ไม่ใช่แค่วิธีนี้ที่จะสามารถแปลงร่างเป็นเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่าได้
ในงานต้นฉบับ เบจิต้าได้รับการฝึกฝนจากวิส และในที่สุด เขาก็เชี่ยวชาญความสามารถในการแปลงร่างเป็นเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่า
ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่ามันย่อมมีวิธีอื่นในการแปลงร่างเป็นเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่าอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีการ์ดประสบการณ์พลังพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเลย
“บาร์ดัค ราชาเบจิต้าและพารากัส ตอนนี้เราได้ยืนยันอย่างคร่าวๆ แล้วถึงวิธีการแปลงร่างเป็นเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่า ซึ่งอีกไม่นานข้าคงจะต้องจากไป เจ้าควรเริ่มตรวจสอบและค้นหาว่ามีชาวไซย่ากี่คนบนดาวที่สามารถแปลงร่างเป็นเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่าได้”
“นอกจากทาร์เบิลแล้ว มันควรจะต้องมีชาวไซย่าจำนวนมากที่มีจิตใจที่ชอบธรรมอยู่ ถ้าเราสามารถมีเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่าได้มากขึ้น ดาวเคราะห์เบจิต้าก็จะไม่ต้องกลัวผู้ใดอีกต่อไป!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเฉิน บาร์ดัคและคนอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย
ไม่เพียงแต่เราจะไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่หลินเฉินกล่าวมา ถ้าเกิดมีเทพพระเจ้าซูเปอร์ไซย่าบนดาวเคราะห์เบจิต้าจำนวนมากมาย ต่อให้พิชิตจักรวาลก็คงจะทำได้!
ไม่มีผู้ใดสงสัยความสามารถของร่างนี้อีกไปต่อแล้ว
……
ไม่กี่วันถัดมา หลังจากทุกอย่างลงตัวแล้ว หลินเฉินก็ออกเดินทางไปยังจักรวาล 228
เมื่อมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับหลุมดำครั้งที่แล้ว หลินเฉินก็ตรวจสอบสภาพปัจจุบันของเขา
ผู้ใช้: หลินเฉิน
ระดับพลัง: 8.1 ล้าน
สายเลือด: สายเลือดซูเปอร์ไซย่าในตำนาน
ทักษะ: เคลื่อนย้ายพริบตา พรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้ขั้นเริ่มต้น ทักษะข้ามเวลา และอื่นๆ...
วิชา: วิชาหมัดเจ้าพิภพ พลังคลื่นเต่า และอื่นๆ...
คะแนนเวลา: 2
ในช่วงหนึ่งปีนี้เมื่อเขากำลังตามหาลูกแก้วมังกรในจักรวาลที่ 6 หลินเฉินก็ได้ต่อสู้กับฮิตโตะหลายครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็สามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างมาก
810,000 คือระดับพลังของร่างปกติและในร่างสูงสุดของเขา ระดับพลังของหลินเฉินแทบจะเกิน 800 ล้านไปแล้ว
ด้วยความแข็งแกร่งนี้ ตราบใดที่มันไม่ใช่จักรวาลที่อันตรายมากไป หลินเฉินก็พอจะมีพลังในการปกป้องตัวเองอยู่
ปัญหาเดียวคือเขาแทบไม่เหลือแต้มเวลาแล้ว หลังจากใช้มันไปครั้งนี้ เขาก็คงจะไม่มีมันเหลือสักแต้มเดียว
ถ้าหากมีโอกาสในอนาคต เขาคงจะต้องสะสมมันให้มากขึ้นอีก
หลังจากเก็บความคิดทุกอย่างทิ้งไป หลินเฉินก็พูดกับระบบทันที “ระบบ ตอนนี้ข้าสามารถกำหนดปลายทางของประตูกาลอวกาศได้หรือยัง?”
"ติ้ง! ขอตอบกลับผู้ใช้ โปรดยืนยันเส้นเวลาที่ท่านต้องการไป!”
“ข้าอยากไปจักรวาล 228!”
ครู่ต่อมาภาพที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้ง พลังที่ระเบิดออกมาอย่างกะทันหันได้พวยพุ่งออกมาจากร่างของหลินเฉินกระแทกหลุมดำที่อยู่ห่างไกล
หลังจากนั้นไม่นานประตูกาลอวกาศสีแดงโลหิตก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
สีของประตูเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องและในที่สุด มันก็กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม
"ติ้ง! ประตูกาลอวกาศได้ล็อกไว้ที่จักรวาล 228 โปรดข้ามไปโดยเร็ว!”
หลินเฉินไม่ได้จากไปในทันที แต่กลับถามออกมาว่า “ระบบ คราวนี้ข้าใช้คะแนนเวลาไป 2 จุด เมื่อข้ากลับมาข้าสามารถกลับไปที่จุดเวลาปัจจุบันได้หรือไม่?”
"ติ้ง! ขอตอบกลับผู้ใช้ อัตราการไหลของเวลาของทั้งสองจักรวาลนั้นเท่ากัน ไม่ว่าผู้ใช้จะใช้เวลาเท่าไรในโลกนั้น เวลาก็จะผ่านเท่ากันเมื่อท่านกลับมา
“แล้วทำไมครั้งก่อนที่ข้ากลับมา เวลาถึงผ่านไปหกปี?”
“ครั้งนั้นมีคนเข้ามาแทรกแซงประตูกาลอวกาศ แต่เมื่อใช้คะแนนเวลา 2 แต้ม ผู้ใช้ก็สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ไปได้”
“ขอให้เป็นไปตามที่แกพูดแล้วกัน!”
หลังจากพูดจบ เฉินก็กระโดดเข้าไปในประตูกาลอวกาศ
จากนั้นประตูกาลอวกาศก็หายไปอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วที่ทิ้งจุดพิกัดไว้ในจุดเดิม
ไม่นานหลังจากที่หลินเฉินจากไป จู่ๆ ก็มีคนสองคนปรากฏตัวขึ้นที่สถานที่แห่งนี้
ร่างสูงคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความสงสัย “ท่านขอรับ นี่มันมันแปลกมาก ทำไมถึงความผิดปกติในห้วงเวลามิติอยู่ที่นี่อีกครั้งกัน?”
ร่างหนึ่งที่เตี้ยก็ได้กล่าวตอบไปว่า “มันคงจะเป็นผลมาจากหลุมดำ ดูสิ ปฏิกิริยาที่นี่มันหายไปแล้ว”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นแสงสีสันสดใสก็ส่องสว่างในพื้นที่แห่งนี้และรังสีแสงจำนวนมากก็เข้ามารวมตัวกัน
เมื่อแสงหายไป เด็กสาวตัวเล็กๆ ที่มีผมสีส้มก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา
เมื่อเห็นนาง ทั้งสองคนก็สะดุ้งตกใจชั่วครู่ ก่อนที่จะโค้งคำนับอย่างรวดเร็วด้วยความเคารพ “ข้าไคโอชินแห่งจักรวาลที่ 7 …”
“ข้าผู้ดูแลคิบิโตะ…”
“ขอเคารพท่านไคโอชินแห่งกาลเวลา!”
“อืม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะทั้งสองคน!”
ไคโอชินแห่งกาลเวลาที่ดูเหมือนเด็กสาวตัวเล็กๆ เผยรอยยิ้มร่าเริงออกมาและถามว่า “ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงมาอยู่ที่นี่กัน? ปฏิกิริยาของกาลอวกาศที่เกิดขึ้นมาจากพวกเจ้างั้นเหรอ?”
"ม-ไม่ขอรับ" ไคโอชินส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว “เรามาที่นี่เพราะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในห้วงกาลอวกาศ อย่างที่ท่านเห็น ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นปกติแล้ว”
“น่าแปลก…” ไคโอชินแห่งกาลเวลาทำหน้ามุ่ย “ข้าสาบานได้ว่ามีคนใช้พลังแห่งกาลอวกาศอยู่ที่นี่…”
"พลังแห่งกาลอวกาศ? มีผู้อื่นที่ใช้พลังแบบนี้ในจักรวาลของเราได้ด้วยงั้นเหรอ?" ไคโอชินถามด้วยความประหลาดใจ
“อืม…ไม่หรอก ข้าคงน่าจะแค่คิดไปเอง เช่นนั้นก็ลาก่อนนะไคโอชินจักรวาลที่ 7 ไว้เจอกันใหม่!”
แสงสีสันฉูดฉาดของไคโอชินแห่งกาลเวลาได้ปรากฏขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็วในไม่ช้า ทิ้งไว้เพียงไคโอชินทั้งสองที่กำลังยืนนิ่งด้วยความสับสน