บทที่ 14: [เนื้อเรื่องเสริม] สู่ดินแดนศัตรู
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 14: [เนื้อเรื่องเสริม] สู่ดินแดนศัตรู
“ต่อจากนี้ พวกเจ้าอาจต้องตายในแนวหน้า!”
ข้ากล่าวออกมาตามจริง
“ทุกสัปดาห์จะมีหลุมศพใหม่ในสุสานแห่งนี้ และเสียงของคณะนักร้องประสานเสียงก็จะดังก้องกังวาน”
ไม่ว่าจะพยายามเสียสละให้น้อยที่สุดแค่ไหน ก็จะมีผู้คนที่ต้องตายเสมอ เพราะไม่มีแนวหน้าใดที่ปราศจากการเสียสละ
ทว่า-
“ข้าจะขอกล่าวอย่างชัดเจน การตายของเจ้ามีค่ากว่าชีวิตของเจ้า!”
ค่าใช้จ่ายในงานศพและค่าชดเชยผู้เสียชีวิต ทั้งหมดนี้มีราคาที่แพงมาก
เงินเกือบครึ่งหนึ่งที่ข้าได้รับจากการขายผลึกเวทมนตร์ล้วนต้องนำไปใช้เป็นค่าชดเชย
นอกจากนี้ข้ายังต้องใช้เพื่อเพิ่มเงินเดือนของทหารและทหารรับจ้างทั้งหมด แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ
ถูกต้องแล้ว ความตายไม่ควรเป็นเรื่องธรรมดาเฉกเช่นนี้ ความตายจะต้องมีค่าและมีราคาแพงมาก มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นได้โดยง่าย
“เพราะฉะนั้นเราจะรักษาเจ้าให้มีชีวิตอยู่ให้นานที่สุด ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้ามีชีวิตอยู่และให้สามารถทำงานในแนวหน้าได้”
ด้วยเหตุผลทางการเงินของข้าส่วนหนึ่ง และเพื่อตัวทหารเองด้วย
เราต้องไม่ตาย
เราต้องมีชีวิต
เราต้องรอด
“พวกเจ้าทุกคน จงอย่าตายโดยง่ายกันเด็ดขาด”
ข้ามองไปทางจูปิเตอร์และทหารรับจ้าง จูปิเตอร์มองมาที่ข้าด้วยตาข้างเดียวและปิดปากของนาง
“จงใช้ชีวิตต่อยู่อไปและรับเงินเดือนให้ได้มากที่สุด จงอย่าตายและทำให้ข้าต้องจ่ายค่าทำศพให้พวกเจ้า”
นั่นคือจุดสิ้นสุดของคำพูดของข้า
ขณะที่ข้าลงมาจากแท่น ลูคัสก็เหวี่ยงแขนไปทางทหารปืนใหญ่
วู้บบ! ตู้ม…!
เหนือท้องฟ้ายามเย็น ปรากฏแสงสีแดงขึ้น และเสียงคำรามของปืนใหญ่ที่ดังขึ้นคล้ายสวดภาวนาให้แก่ผู้ตาย ข้าสงสัยเหลือเกินว่าประชาชนจะคิดยังไงกับคำพูดของข้า
ข้อแก้ตัวที่มาจากผู้บัญชาการที่ไร้ความสามารถ? เจ้าเมืองน่ารังเกียจที่เสียดายเรื่องความมั่งคั่ง?
ไม่ว่าจะยังไง มันก็ไม่สำคัญสำหรับข้าหรอกว่าพวกเขาคิดยังไง
ข้าจะพิสูจน์มันผ่านผลลัพธ์ในอนาคต ว่าข้าเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถมากกว่าใครๆ ตราบใดที่ข้ายืนอยู่ในแนวหน้ากับสัตว์ประหลาดพวกนี้
"เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น..."
แกร่ก แกร่ก ข้าหักนิ้วและยิ้มออกมา
“คงถึงเวลาเคลียร์ด่านที่ 1 กันแล้ว”
* * *
วันรุ่งขึ้น จูปิเตอร์และทหารรับจ้างจำนวนหนึ่งก็ตัดสินใจเข้าร่วมอยู่ภายใต้คำสั่งของข้า
“ขอแสดงความยินดีด้วย…! ท่านได้คัดเลือกทหารที่ยอดเยี่ยมมากเลยนะ!”
ไอเดอร์กล่าวขึ้นเมื่อเขาเข้ามาพร้อมกับใบรับสมัครของทหารรับจ้าง หุบปากไอ้หมอนี้
ที่นี่คือห้องทำงานของเจ้าเมือง
เนื่องจากมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ ข้าจึงต้องอยู่ที่นี่ด้วย ในเกมต้นฉบับ การบริหารเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ข้าต้องจัดการด้วย...
'เหตุใดข้าจึงต้องจัดการเรื่องอะไรมากมายขนาดนี้กัน ทั้งๆ ที่ข้าเป็นเพียงเจ้าเมืองคนใหม่เองนะ? ไอ้เจ้าเมืองคนก่อนมันทำอะไรกัน?
ข้าพึมพำขณะทำงานเอกสารตรงหน้า ทว่าสิ่งสำคัญในตอนนี้คือการเตรียมพร้อมสำหรับด่านต่อไปต่างหาก ข้าจะต้องเอาชีวิตรอดก่อน จึงจะสามารถมาทำงานบริหารเมืองได้
“ทหารรับจ้างทั้งหมดที่มีอยู่ในเมืองได้ถูกว่าจ้างแล้ว! สรุปรวมยอดทั้งหมดคือ 114 คน!”
สำหรับด่านที่ 1 ซึ่งจะเริ่มเร็วๆ นี้ เราต้องการนักสู้มากที่สุด
พวกเขาจึงได้จ้างทหารรับจ้างทั้งหมด โดยไม่สนใจเงินที่พวกเขาร้องขอเลยด้วยซ้ำ
“ข้าใส่ค่าสถานะทั้งหมดของพวกเขาไว้ในระบบแล้ว! เพื่อให้ท่านสามารถตรวจสอบจากฝั่งของท่านได้อย่างสะดวก”
เมื่อไอเดอร์กล่าวจบ เขาก็โยนแผ่นกระดาษทั้งหมดที่เขามีในอ้อมแขนลงถังขยะทันที แล้วเจ้าจะเอามันมาที่นี่ตั้งแต่แรกทำไมกัน?
"ไหนขอข้าดูหน่อยซิ..."
ข้าเปิดหน้าต่างระบบและตรวจสอบราชื่อทหารรับจ้างที่เพิ่งจ้างใหม่
ในกองทัพมีอยู่สองประเภทหลัก
แบ่งเป็น 'วีรบุรุษ' และ 'ทหาร'
'วีรบุรุษ' คือผู้มีความสามารถพิเศษ สามารถใช้ทักษะและสามารถจัดเข้ามาในกลุ่มของผู้เล่นได้
เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในเกมป้องกันเมือง
แม้แต่วีรบุรุษระดับ N ที่ถูกมองข้ามก็ยังทรงพลังมากเมื่อเทียบกับทหารธรรมดา
ส่วน 'ทหาร' ไม่สามารถใช้ทักษะได้และไม่สามารถเข้าร่วมทีมได้ แต่หากไม่มีพวกเขา แนวหน้าก็ไม่สามารถคงสภาพรักษาแนวหน้าไว้ได้
ทหารจะแข็งแกร่งขึ้นตามประสบการณ์ ดังนั้นจึงต้องเพิ่มขวัญกำลังใจและดูแลพวกเขาอยู่เสมอ
'ในบรรดาทหารรับจ้างที่ได้รับการว่าจ้างในครั้งนี้ มี...วีรบุรุษห้าคน'
ข้าจ้างคนมามากกว่า 100 คน และมีเพียงห้าคนเท่านั้นที่เป็นวีรบุรุษ
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องระดับความสามารถของอีกห้าคนที่ได้มาก็มีความน่าจะเป็นที่จะได้ระดับต่ำพอสมควร เฮ้อ ไอ้เจ้ากาชานี้มันบัดซบเสียจริงนะ
“SSR เถอะนะได้โปรด!”
ข้าตะโกนขณะที่ข้าเปิดรายชื่อของวีรบุรุษที่เพิ่งได้รับมา
* * *
. .
. .
.
.
* * *
ฟึบ!
สีที่ปรากฏในภาพของสมาชิกใหม่ทั้งห้าคือ...หนึ่งสีม่วงและสี่สีเทา
นั่นหมายถึงมีระดับ SR หนึ่งและระดับ N อยู่สี่คน
“บัดซบเอ้ย”
ข้าตะโกนออกมาด้วยความผิดหวัง แต่ข้าก็คาดหวังผลลัพธ์เช่นนี้ไว้แล้ว
ที่นี่คือเมืองแห่งหลุมศพที่มีเงินหมุนเวียนอยู่เพียงน้อยนิด เบื้องหน้ามีสัตว์ประหลาดมากมายคอยดาหน้าเข้ามา
ผู้มีความสามารถระดับสูงจะเริ่มรวมตัวกันหลังจากชื่อเสียงของเมืองและรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งอย่างน้อยก็คงเป็นหลังจากช่วงกลางของเนื้อเรื่อง
สำหรับตอนนี้ ข้าก็ถือว่าดีแล้วที่มีตัวละครระดับ SR อยู่หนึ่งคน
หลังจากตรวจสอบวีรบุรุษระดับ N สี่คนคร่าวๆ แล้ว จากนั้นข้าก็เปิดดูค่าสถานะของจูปิเตอร์
[จูปิเตอร์ (SR)]
- ระดับ: 35
สมญานาม: ทหารผ่านศึกผู้โกงกิน
- อาชีพ: แม่มดสายฟ้าขั้นสูง
- ความแข็งแกร่ง 8 | ความคล่องแคล่ว 18 | ค่าสติปัญญา 30 | แรงกาย 10 | มานา 35
มีระดับ 35 ตั้งแต่เริ่มต้น อีกทั้งยังมีอาชีพขั้นสูงแล้ว! ยอดเยี่ยมเหลือเกิน!
[ทักษะที่ได้เรียนรู้]
> ทักษะติดตัว: อัสนีตระการ
> ทักษะ 1: พื้นที่แห่งการชำระ
> ทักษะ 2: ชะล้างมลายหาย
> ท่าไม้ตาย: ??? (ปลดล็อคหลังจากการเลื่อนอาชีพเป็นขั้นที่สาม)
อัสนีตระการเป็นทักษะติดตัวของนางที่ทำให้นางสามารถควบคุมสายฟ้าได้
ทักษะติดตัวของนางจะเป็นการเปลี่ยนมานาของนางไปเสริมพลังให้ธาตุไฟฟ้า
ทักษะที่ 1 คือ เวทมนตร์ไฟฟ้าประเภทพื้นที่ ฟาดสายฟ้าโจมตีศัตรูและทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้
ทักษะที่ 2 เป็นทักษะที่สามารถต่อเนื่องจากทักษะที่ 1 ได้ มันจะปลดปล่อยการโจมตีเป็นสายฟ้าออกมาใส่ศัตรูที่ถูกทำสัญลักษณ์ไว้ พลังของมันมหาศาลมาก
ก็อย่างที่เห็น นางมีทักษะที่เน้นไปที่ทักษะหมู่และความเสียหายมหาศาล
จูปิเตอร์เป็นทีมหลักของข้าในเกม เพราะมีความสามารถที่เรียบง่ายและทรงพลัง
ปัญหาคือหญิงชราคนนี้…นิสัยของนางบางครั้งมักทำให้เรื่องยุ่งเหยิง
[คุณลักษณะที่มีอยู่ (1 / 3)]
- แมลงบ้าทอง (ไม่สามารถถอดได้)
คุณลักษณะที่ไม่สามารถถอดได้ แมลงบ้าทอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มันเป็นนิสัยของพวกที่บ้าเงินเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะทอง
เมื่อพบหีบสมบัติในดันเจี้ยน หากตัวละครมีคุณลักษณะนี้ ก็มีโอกาสที่จะสูญเสียการควบคุมและเผลอไปเปิดกล่องตามใจชอบ
แต่ถ้ามันเป็นกับดักล่ะ?
ด้วยคุณลักษณะนี้ ในการเล่นช่วงท้ายเกมรอบก่อนๆ ของข้า ตัวละครที่มีมันมักจะไปเปิดกล่องโดยไม่สนใจอะไรและถูกมิมิคที่แสร้งทำเป็นกล่องสมบัติฆ่าตาย
'...ข้าคงต้องพยายามระวังเจ้าสิ่งนี้ดีๆ'
สถานที่แห่งนี้เป็นไปตามกฎของเกม แต่ก็ยังเป็นโลกความจริง
ถ้าเกิดนางวิ่งเข้าไปยังกล่องสมบัติ ข้าคงต้องรีบหยุดให้ได้ทันที…ไม่อย่างนั้นมันคงแย่แน่
ข้าไม่ต้องการที่จะสูญเสียนักเวทย์ระดับ SR ที่ข้าได้รับมาด้วยความยากอย่างรวดเร็วเช่นนั้นหรอกนะ
[ตัวละครวีรบุรุษใหม่]
- ระดับ 35 จูปิเตอร์ (SR)
- ระดับ 14 เทน (N)
- ระดับ 14 รอน (N)
- ระดับ 12 จิยะ (N)
- ระดับ 11 เป๊ก (N)
นี่คือวีรบุรุษทั้งห้าที่เพิ่งได้มาใหม่
นอกนั้นก็มีลูคัส เดเมียน ข้าและลิลลี่ที่กำลังจะเกษียณ
'ข้าจะจัดทีมยังไงดีนะ…'
ข้าไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง
เป็นการดีที่จะเปลี่ยนองค์ประกอบของทีมอย่างยืดหยุ่นขึ้นให้อยู่กับรูปแบบของศัตรู
มันจะมีประสิทธิภาพอย่างมากหากวางแผนตอบโต้ตามชนิดและประเภทของศัตรู
'เพื่อทำเช่นนั้น ข้าจำเป็นต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมของศัตรูเสียก่อน'
ข้าเหลือบมองระยะเวลาที่ลอยอยู่ในหน้าต่างข้อมูลของด่าน
[ด่าน 1]
- เวลาที่จะเริ่มต้น: 3 วัน 1 ชั่วโมง
เหลือเวลาอีก 3 วันก่อนที่ด่านจะเริ่มขึ้น
ข้าไม่รู้เลยว่าเวลามันจะไวขนาดนี้
'ข้าคงต้องรีบตรวจสอบข้อมูลของศัตรูก่อน'
ข้อมูลด่านทั้งหมดสามารถดูได้หลังจากเผชิญหน้ากับศัตรูเท่านั้น
ย้อนกลับไปในด่านฝึกสอน ข้าสามารถตรวจสอบข้อมูลศัตรูได้ทันทีเนื่องจากข้ากำลังต่อสู้กับศัตรูอยู่ ทว่ายามนี้ หน้าต่างข้อมูลของศัตรูถูกปกคลุมไปด้วยเครื่องหมายคำถาม การลาดตระเวนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
โดยปกติแล้ว การส่งหน่วยสอดแนมไปอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็มีวิธีหนึ่งอยู่
“ลูคัส”
ข้าเรียกลูคัสที่ยืนเฝ้าอยู่นอกประตูห้อง ลูคัสพุ่งตรงเข้ามาหน้าข้าทันทีที่ข้าเรียกเขา
"ขอรับ! องค์ชาย ท่านเรียกหาข้ามาทำไมงั้นหรือขอรับ?”
“ไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับข้าสักหน่อย”
ลูคัสนำเสื้อคลุมของข้ามาทันทีแล้วถามต่อ
“วันนี้ท่านมีแผนจะไปไหนเหรอขอรับองค์ชาย?”
“ทะเลสาบ”
ข้าสอดแขนเข้าไปในเสื้อคลุมที่ลูคัสถืออยู่แล้วกล่าวอย่างใจเย็น
“เราจะไปเยือนฐานทัพของศัตรูกัน”
"...ขอรับ?"
ข้าคล้ายกับเห็นเครื่องหมายคำถามลอยอยู่รอบๆ ใบหน้าของลูคัส ดูแล้วเขาคงไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไป ข้ายิ้มเล็กน้อย
“เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้ว่าข้าหมายถึงอะไร”
* * *
หลังจากนั้นไม่นาน ณ สวนหลังบ้านของคฤหาสน์ครอสโรด
ข้ากับลูคัสยืนอยู่หน้าซากปรักหักพัง ลูคัสยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่ข้ากล่าว แต่เขาก็เดินตามข้าไปอย่างเงียบๆ
ข้าเอื้อมมือไปที่กองหิน จากนั้นหน้าต่างระบบก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าข้า
[ท่านต้องการเปิดใช้งานประตูเคลื่อนย้ายหรือไม่]
- ใช่/ไม่
แน่นอนว่าข้ากดใช่
ครืน!
เสียงแปลกประหลาดได้ดังขึ้น กองหินพลันลอยขึ้นไปในอากาศ หมุนไปรอบๆ เพื่อสร้างประตูเวทย์มนตร์
ลูคัสถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“นี่คืออะไรงั้นหรือ?”
“ประตูที่นำไปสู่ดันเจี้ยนใต้ทะเลสาบ”
ข้าบอกลูคัสที่กำลังสับสนอยู่
“มันเป็นบัตรผ่านที่นำไปสู่นรกอันเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด นั่นแหละคือสิ่งที่ข้ากล่าว”
เกมนี้มีระบบผสมผสานอยู่สองประเภท
ป้องกันเมืองและลงดันเจี้ยน
นี่คือกฎของเกม เนื้อหาหลักของเกมนี้ ซึ่งก็คือ 'ด่าน' จะอยู่ในรูปแบบของการป้องกันเมือง
มันเป็นสงครามที่้ต้องปะทะกับสัตว์ประหลาดที่มาจากทะเลสาบที่พยายามรุกเข้าสู่ครอสโรด เหล่ากองทหารเองก็ต้องพยายามหยุดยั้งพวกมันไม่ให้เข้าไปในเมืองไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ส่วนในระหว่างด่าน
เมื่อศัตรูไม่โจมตี ผู้เล่นสามารถสำรวจดันเจี้ยนใต้ทะเลสาบที่เป็นฐานของศัตรูได้
สิ่งนี้เรียกว่า 'การสำรวจฟรี'
ผู้เล่นสำรวจดันเจี้ยนด้วยทีมขนาดเล็กเพื่อรับคำใบ้ของด่านต่อไป เก็บค่าประสบการณ์และไอเท็ม รวมทั้งยังต้องค้นหาความลับของดันเจี้ยน
นี่คือโครงสร้างพื้นฐานของโครงเรื่องภายในเกม โดยการสลับระหว่างการป้องกันและการโจมตี
ประตูเคลื่อนย้ายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำรวจการสำรวจฟรี
ในเกมต้นฉบับ ระบบนี้จะเปิดขึ้นหลังจากเคลียร์ด่านที่ 1 แต่ข้าลองมาที่นี่ดูก่อน ปรากฏว่าข้าสามารถทำให้มันใช้งานได้ทันที
“แม้จะเป็นเกมที่ยากเกมหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่เกมที่ไม่ยุติธรรมเสียทีเดียว”
นอกจากนี้ ข้ายังรู้วิธีเอาชนะสัตว์ประหลาดเกือบทุกตัวในเกมแล้ว
และข้าก็ยังเชี่ยวชาญองค์ประกอบและลูกเล่นของดันเจี้ยนใต้ทะเลสาบจนหมด
ในการป้องกัน ข้าแค่ต้องแทะแนวหน้าของพวกมันและรวมพวกมันไว้ในจุดเดียว จากนั้นก็ขจัดมันออกจนสิ้น
ส่วนการบุกอย่าง—การสำรวจฟรี— ข้าจะรวบรวมทุกสิ่งที่เป็นไปได้ที่จะช่วยในการป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าประสบการณ์หรือไอเท็ม
'ดูเหมือนว่าแผนนี้จะใช้ได้เดียว ที่จริงมันใช่ได้เลยแหละ!"
แม้ระหว่างด่านฝึกสอนข้าจะต้องผ่านความยากลำบากมากมาย แต่ตอนนี้ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ดีมาก
ข้าเริ่มต้นด้วย เดเมียน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นตัวละครโกงที่สุดและจูปิเตอร์ ตัวละครรดับ SR ที่มีทักษะหมู่
อีกทั้งตอนนี้ข้ามีเงินทุนค่อนข้างมาก
ความมั่นใจที่ข้าจะสามารถเคลียร์เกมนี้ได้อย่างปลอดภัยทำให้ข้ารู้สึกยินดียิ่ง
“เอาล่ะ ลูคัส ข้าจะเล่าสรุปรวบย่อให้ฟังเอง”
ข้าอธิบายกฎของเกมให้ลูคัสฟังและบอกเขาว่าเรากำลังเดินทางไปสอดแนมศัตรูในด่านต่อไป
"เป็นเช่นนั้นเอง ข้าเข้าใจแล้ว”
ลูคัสไม่ได้ถามอะไรอีก เขาเพียงแค่จับชุดเกราะของตนและกระชับอาวุธของเขาไว้แน่น
“......”
ข้ากลืนน้ำลายแห้งเผือด
ที่จริงลูคัสควรเป็นคนที่มีคำถามมากมายในหัวมากที่สุด
เพราะข้า เจ้าชายที่เขารับใช้มาทั้งชีวิตกลับเปลี่ยนไปในพริบตา และข้ายังดูเหมือนรู้องค์ประกอบของเมืองนี้ทั้งที่ข้าเพิ่งมาถึงครั้งแรก อีกทั้งยังทราบการมีอยู่ของดันเจี้ยนและอื่นๆ อีกมากมาย
คงจะเข้าใจได้มากถ้าเขามีคำถามในใจ แต่ถึงกระนั้นเขากลับทำตามคำสั่งของข้าโดยไม่เอ่ยถามอะไรออกมาเลย
“เฮ้ เจ้าไม่มีอะไรจะถามข้าหน่อยเหรอ?”
เมื่อข้าออกมา ลูคัสก็มองมาที่ข้าด้วยดวงตาสีฟ้าอันกระจ่างใส
“......”
“......”
ความเงียบได้ปรากฏขึ้นมาครู่หนึ่ง ข้าถึงกับกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ลูคัสก็หันกลับมามองและเปิดใจพูดอย่างเชื่องช้า
"ข้า..."