บทที่ 80 เมืองหลวงโบราณ
สองวันต่อมา
ที่ชายขอบของภูเขาหิมะ
นักฝึกสัตว์อสูรสองคนในชุดกันหนาวเดินออกมาจากภูเขาหิมะพร้อมกับผู้คนหลายสิบคนและเข้าไปในค่ายนอกกำแพงเมือง
เมื่อฉากหลังเป็นภูเขาหิมะสีขาว สภาพแวดล้อมของเหล่าทหารที่ประจำการอยู่นอกกำแพงเมืองจึงดูลำบากเป็นพิเศษ
หากไม่ได้รับการคุ้มกันของพวกเขา พื้นที่อยู่อาศัยในเมืองของเมืองทุ่งน้ำแข็งคงไม่สะดวกสบายเช่นเดียวกับในตอนนี้
ตัวตนเก่าของซืออวี๋ในโลกใบนี้มีความเคาระต่อคนเหล่านี้อย่างสูง
ท้ายที่สุด หากไม่ใช่เพราะพวกเขา ซืออวี๋ในวัยเด็กคงไม่สามารถหนีจากเขตผิงเฉิงได้
และซืออวี๋ผู้ที่ถูกส่งข้ามโลกก็มีความประทับใจที่ดีต่อนักฝึกสัตว์อสูรของกองทัพนักฝึกสัตว์อสูร
พวกเขาคล้ายกับทหารในชีวิตก่อนของเขามาก พวกเขาคอยคุ้มกันสถานที่ซึ่งผู้คนยากที่จะสังเกตุเห็น คอยคุ้มกันผู้คนข้างหลังอย่างเงียบเชียบ พวกเขาสูงส่งมาก
ซืออวี๋ยอมรับการประเมินของสำนักที่สิบเอ็ดอย่างมีความสุขและเตรียมพร้อมที่จะตรวจสอบซากปรักหักพังมังกรน้ำแข็งในภูเขาหิมะ นอกเหนือจากจิตวิญญาณนักโบราณคดีของเขาที่แสดงออกมาแล้ว เขายังต้องการตรวจสอบสถานการณ์ของภูเขาหิมะและดูว่ามีอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม
หากเส้นทางโบราณคดีมีประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นเขาก็คงจะมีแรงจูงใจมากยิ่งขึ้น
“ฮ่าๆๆๆๆ ดูเหมือนว่าจะมีข่าวดี”
ในค่ายนอกกำแพงเมือง ประธานเฟิงที่ยุ่งได้มองดูกองทัพนักฝึกสัตว์อสูรที่กลับมาพร้อมกับสิ่งของมากมาย เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “สถานการณ์เป็นยังไง”
หวังเมิ่งซึ่งเป็นผู้บัญชาการของกองทัพนักฝึกสัตว์อสูรในเขตผิงเฉิงมองไปที่เขาและพยักหน้า “ไม่เป็นไรแล้ว”
หลินฮงเหนียนซึ่งเป็นนักฝึกสัตว์อสูรปรมจารย์ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพได้กล่าวว่า “ความผิดปกติของคลื่นสัตว์อสูรได้หยุดลงชั่วคราว”
“ดีมาก” ประธานเฟิงหัวเราะ “เรายังถอดรหัสซากปรักหักพังที่เฒ่าเหอดูแลได้สำเร็จแล้วเช่นกัน”
หวังเมิ่งและหลินฮงเหนียนตกตะลึง
มันถูกถอดรหัสแล้วเหรอ?
ความคืบหน้ายังคงติดอยู่ที่ด่านที่สี่ไม่ใช่เหรอ?
ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงเวลาให้เขตอื่นเข้ามา
“เฒ่าหลินมาตรงนี้เลย ข้าจะบอกเจ้า…” ประธานเฟิงดึงหลินฮงเหนียนเข้ามา
หลังจากนั้น เขาก็ยกย่องบางคน
ตั้งแต่การเริ่มต้นของลำดับการเข้าน้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการ หลินฮงเหนียนก็ตกตะลึงและไม่อย่างเชื่อเรื่องนี้เลย
อะไรกัน?
ทักษะผสานของฝ่ามือสายฟ้าขั้นชำนาญและการเคลือบแข็งขั้นชำนาญเหรอ?
อสูรกินเหล็กน้ออยที่เชี่ยวชาญการปราบปรามขั้นชำนาญเหรอ?
และยังถูกสงสัยว่าสายเลือดโบราณของมันได้ตื่นขึ้นมาหลังจากแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการเหรอ?
ด่านที่หกของซากปรักหักพังคือมังกรน้ำแข็งมายาเหรอ? ซืออวี๋ถึงกลับเอาชนะมันได้เหรอ?
นี่เรื่องบ้าอะไรกัน?
“เฒ่าหลิย เจ้าจะไปไหน…”
“กลับไปที่เขตผิงเฉิงเพื่อตามหาซืออวี๋!”
…
บ้านฝึกฝน
หลินฮงเหนียนมาที่บ้านใหม่ของซืออวี๋
ในขณะนี้ ซืออวี๋กำลังอาบแดดอย่างสบายใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนมาเยี่ยมเขาในเวลานี้
ใครกัน…
ซืออวี๋วิ่งไปเปิดประตู
“ปรมจารย์หลิน ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ล่ะ?”
หลังจากที่ซืออวี๋เปิดประตู เขาก็เห็นหลินฮงเหนียน เขาก็เห็นหลินฮงเหนียนที่ดูจริงจังและรู้สึกประหลาดใจ
“เจ้าเพิ่งไปที่ภูเขาหิมะมาใช่ไหม? สถานการณ์ที่นั่นเป็นยังไง?”
“เรายังรับมือได้” หลินฮงเหนียนกล่าวเสริมว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้ถอดรหัสซากปรักหักพังนั่น?”
ย้อนกลลับไปในตอนนั้น เขาได้แนะนำให้ซืออวี๋ไปที่นั่นเพื่อฝึกฝน ทว่าเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าซืออวี๋จะผ่านด่านที่หกและเติบโตออย่างรวดเร็วเช่นนี้
อีเลฟเว่นเพิ่งเริ่มเรียนรู้ฝ่ามือสายฟ้าในตอนที่เขาตัดสินใจไปที่ภูเขาหิมะเพื่อออกเดินทาง…
ทำไมมันถึงเชี่ยวชาญทักษะผสานระหว่างฝ่ามือสายฟ้าขั้นชำนาญและการเคลือบแข็งขั้นชำนาญแล้วล่ะ?
นั่นราวกับว่าเขาได้ออกเดินทางไปหลายปี
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ท้ายที่สุด ซืออวี๋ได้ถูกแนะนำโดยหลู่ชิงอี้ซึ่งเป็นอัจฉริยะที่อยู่ระดับปรมจารย์ในวัยยี่สิบปี
ด้วยความช่วยเหลือของหลู่ชิงอี้ นี่เป็นเรื่องปกติที่ซืออวี๋จะไร้สาระเล็กน้อย
ในขณะนี้ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของหลินฮงเหนียนก็คือการเอ่ยถามเกี่ยวกับน้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการและสายเลือดโบราณของอสูรกินเหล็ก
“ยิ่งกว่านั้น ข้าได้ยินมาว่าอสูรกินเหล็กของเจ้าได้รับบางสิ่งมาจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการ ดูเหมือนว่ามันจะได้ปลุกสายเลือดโบราณบางอย่างขึ้นมาเหรอ?”
“เล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม?” หลินฮงเหนียนดูจริงจังมาก
ทุกคนในเขตผิงเฉิงรู้ว่าหลินฮงเหนียนหมกมุ่นอยู่กับการค้นหารูปแบบการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็ก
“เข้ามาก่อนสิ”
ซืออวี๋เชิญปรมจารย์หลินฮงเหนียนเข้ามาในลานบ้าน
ในขณะนี้ อีเลฟเว่นกำลังฝึกฝน และหนอนไหมเขียวก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ความฝันชัดเจนมากยิ่งขึ้นตามคำขอของเขา ที่นี่ค่อนข้างสงบ
พวกเขาทั้งสองคนนั่งโต๊ะไม้ไผ่ ซืออวี๋กล่าวว่า “ข้าคิดว่านั่นน่าจะเป็นสายเลือดโบราณ มันอาจเป็นอสูรกินเหล็กเมื่อหลายพันหรือหลายหมื่นปีก่อน”
“รูปร่างไม่ต่างจากในตอนนี้มากนัก มันราวกับอสูรกินเหล็กที่สวมเกราะ ทว่ามันไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนกับทักษะการเคลือบแข็งขั้นเหนือธรรมชาติ”
สัญลักษณ์การเคลือบแข็งขั้นเหนือธรรมชาติคือการปลดปล่อยสารเคลือบแข็งเพื่อสร้างอาวุธและอุปกรณ์ได้ นอกจากนี้ยังสามารถติดสารเคลือบแข็งเข้ากับวัสดุอื่นได้เช่นกัน
ในขณะนี้ มีเพียงอสูรกินเหล็กของปรมจารย์หลินฮงเหนียนตรงหน้าเขาเท่านั้นที่มีความเชี่ยวชาญถึงขั้นนี้
กล่าวตามตรง โดยการอาศัยการเคลือบแข็งขั้นสมบูรณ์ เราจะสามารถสร้างชุดเกราะได้ อย่างไรก็ตาม ความรู้สุกที่การปลุกสายเลือดมอบให้แก่เขาในตอนนั้นไม่เรียบง่ายเหมือนกับการเคลือบแข็งเลย มันเป็นรูปแบบชีวิตใหม่อย่างสิ้นเชิง
“เกราะต่อสู้…” หลินฮงเหนียนตกอยู่ในห้วงความคิด
“เป็นไปได้ที่จะสร้างเกราะต่อสู้ขึ้นมาด้วยการเคลือบแข็งขั้นเหนือธรรมชาติ ทว่าหากเจ้าไม่คิดเช่นนั้น… ถ้าเช่นนั้น เป็นไปได้ไหมว่าการเคลือบแข็งขั้นเหนือธรรมชาติจะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็ก?” ปรมจารย์หลินฮงเหนียนคาดเดา
“นั่นหมายความว่าการใช้การเคลือบแข็งขั้นเหนือธรรมชาติเพื่อสรา้งอาวุธที่คล้ายกันจะทำให้รูปแบบนี้มั่นคง… นี่เป็นวิธีการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กงั้นเหรอ?” ซืออวี๋กล่าวเสริมว่า “นี่ไม่ยากเกินไปเหรอ…”
หากเป็นเช่นนี้ แม้ว่าทักษะการเคลือบแข็งที่พัฒนาขึ้นจะยังคงสามารถเพิ่มเกราะและกลายเป็นการเคลือบแข็งสองชั้นได้ แต่นั่นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอนาคตมากนัก
ระดับผู้บัญชาการคือขีดจำกัดในสถานการณ์นี้
“นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดา” หลินฮงเหนียนรู้สึกว่าเรื่องนี้ง่ายเกินไป เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น มันก็เป็นทิศทางการทดลอง”
“แต่ไม่ว่ายังไง มีการเปลี่ยนแปลงอื่นเกิดขึ้นหลังจากอสูรกินเหล็กของเจ้าปลุกสายเลือดโบราณของมันไหม?”
“นอกจากร่างกายดีขึ้นและการเจริญเติบโตที่ช้าลงแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นเลย”
อสูรกินเหล็กธรรมดาที่ถึงระดับปลุกตื่นขั้นเก้าควรจะสูงกว่าอีเลฟเว่นเล็กน้ย ทว่าอีเบลฟเว่นก็เตี้ยไปเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสายเลือดโบราณ ซืออวี๋รู้สึกว่าน่าจะเป้นเพราะน้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการได้ทำให้พลังชีวิตของอีเลฟเว่นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว…” หลินฮงเหนียนเงียบลง น่าเสียดายที่อสูรกินเหล็กของซืออวี๋ได้สายเลือดโบราณที่อ่อนแอเท่านั้น ถ้าเพียงแค่มันวิวัฒนาการโดยตรงละก็…
ด้วยเหตุผลนี้ เขาอาจจะสามารถศึกษาเส้นทางการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
หลินฮงเหนียนนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาอย่างกะทันหันและมองไปที่ซืออวี๋ ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี
“เจ้ามีอะไรอยากกล่าวไหมปรมจารย์หลิย?”
หลินฮงเหนียนพักหน้าและเอ่ยถามว่า “อืมม ซืออวี๋ คุณหลู่ชิงอี้ช่วยเจ้าในการถอดรหัสซากปรักหักพังงั้นเหรอ?”
“เอ่อ…” ซืออวี๋ไม่ได้คาดหวังถึงคำถามนี้เลย
เขาควรจะตอบยังไงดีล่ะ? เงินสิบล้านหยวนของหลู่ชิงอี้ได้ช่วยเขามากอย่างแท้จริง ดังนั้นมันจึงควรจะถือว่าเป็นการช่วยเหลือใช่ไหม?
ซืออวี๋พยักหน้า
หลินฮงเหนียนแสดงสีหน้า ‘ตามที่คาดไว้’
ถ้าเช่นนั้น ซืออวี๋เป็นหนึ่งในลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ของหลู่ชิงอี้งั้นเหรอ? นี่ไร้สาระเกิดไปแล้ว
“เจ้าสนิทกับคุณหลู่มาก เจ้าต้องรู้เกี่ยวกับโบราณคดีเยอะมากเลยใช่ไหม?”
ซืออวี๋พยักหน้าอีกครั้ง
“ซากปรักหักพังที่เกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็กถูกพบในเมืองหลวงโบราณ เจ้ารู้ไหม?”
“เดิมทีข้าไม่สนใจข่าวนี้มากนัก ทว่าหลังจากได้ยินว่าอสูรกินเหล็กมีสายเลือดโบราณ ความคิดของข้าก็เปลี่ยนไป บางทีอสูรกินเหล็กโบราณอาจมีความพิเศษบางอย่าง”
“ซากปรักหักพังที่เกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็กงั้นเหรอ?” ซืออวี๋ตกตะลึง
“ใช่แล้ว ซิ่วจูบอกข้าเอง”
“ก่อนที่ข้าจะไปภูเขาหิมะ นางได้บอกข้าว่านางค้นพบซากปรักหักพังที่เกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็กในเมืองหลวงโบราณ อาจารย์ของนางเป็นคนแรกที่ได้รับข่าวและโทรหานาง หากข้าจำไม่ผิด ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ที่ซากปรักหักพังเมืองหลวงโบราณแล้ว”
“เด็กผู้นี้ ซิ่วจู…” หลินฮงเหนียนส่ายหัวของเขาและเริ่มพูดคุยกับซืออวี๋
ในฐานะลูกสาวของเขา หลินซิ่วจูได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีตั้งแต่เด็ก เขาตั้งความหวังกับนางไว้สูงว่านางจะกลายเป็นนักฝึกสัตว์อสูรที่ทรงพลัง
หลังจากนั้น ความสำเร็จของหลินซิ่วจูก็ไม่เลวเลย นางผ่านการประเมินมืออาชีพเพื่อเป็นนักฝึกสัตว์อสูรมืออาชีพในตอนที่อายุ 18 ปี และยังได้การยอมรับจากมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณซึ่งเป็หนึ่งในเก้ามหาวิทยาลัยหลัก
อย่างไรก็ตาม หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย พ่อและลูกสาวก็ได้มีความเห็นไม่ลงรอยกัน
ความฝันของพ่อและลูกสาวคู่นี้ก็คือการค้นพบความเป็นไปได้ของการวิวัฒนาการอสูรกินเหล็ก
ทว่าปรมจารย์หลินต้องการใช้วิธีการฝึกฝนของอสูรกินเหล็กเพื่อให้อสูรกินเหล็กทะลวงผ่านขีดจำกัดเผ่าพันธุืและดูว่ามีความเป็นไปได้ที่จะวิวัฒนาการไหม
ในทางกลับกัน หลินซิ่วจูเชื่อว่าอสูรกินเหล็กมีวิธีการวิวัฒนาการคล้ายกับหนอนไหมเขียว มันต้องเป็นไปตามเงื่อนไขบางอย่างและพึ่งพาการวิจัย ไม่ใช่การฝึกฝนเพียงอย่างเดียว
เนื่องจากความคิดที่แตกต่างกันและพลังงานที่จำกัด ในที่สุดหลินซิ่วจูก็ได้เลือกสาขาการเพาะพันธุ์และสาขาการวิจัย โดยต้องการศึกษาเส้นทางการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็กในแบบของนางเอง
อย่างไรก็ตาม โ๕รงการวิจัยที่ไร้ซึ่งผลลัพธ์นี้เป็นเรื่องยากมากที่จะสำเร็จ ในมหาวิทยาลัย นางก็ได้เรียนเรื่องนี้เป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ เมื่ออาจารย์ของนางในมหาวิทยาลัยรู้ว่ามีซากปรักหักพังที่เกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็กปรากฎออกมา พวกเขาจึงแจ้งให้แก่หลินซิ่วจูที่จบการศึกษาไปแล้วในทันที และใช้เส้นสายของตัวเองเพื่อให้หลินซิ่วจูเป็นที่ปรึกษาด้านโบราณคดี
“รุ่นพี่หลินนั้นโดดเด่นมาก…” ซืออวี๋คิดว่าหลินฮงเหนียนไม่พอใจกับการเลือกของหลินซิ่วจู
“ข้ารู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว” หลินฮงเหนียนกล่าวออกมา
ลูกสาวของเขาจะไม่ไดดเด่นได้ยังไงกัน?
ซากปรักหักพังอสูรกินเหล็กปรากฎขึ้นในเมืองหลวงโบราณ และถูกสงสัยว่าเป็นร่องรอยของอสูรกินเหล็กโบราณ
ในตอนแรก หลินฮงเหนียนไม่สนใจ ทว่าหลังจากซืออวี๋พบเส้นทางการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็ก ข้อมูลของอสูรกินเหล็กโบราณจึงมีค่าสำหรับการอ้างอิงในทันที
นอกจากนี้ ซืออวี๋ยังได้ถอดรหัสซากปรักหักพังเขตผิงเฉิงและเกี่ยวข้องกับดาวดวงใหม่ของโลกโบราณคดี หลู่ชิงอี้ ยิ่งกว่านั้น อสูรกินเหล็กของเขายังได้ปลุกสายเลือดโบราณของมันให้ตื่นขั้นมา ดังนั้นไม่ว่าจะมองยังไง ซืออวี๋ก็เหมาะสมมากที่จะไปยังเมืองหลวงโบราณเพื่อตรวจสอบซากปรักหักพังอสูรกินเหล็กแห่งนี้
“เจ้าว่างไหม? ข้าสามารถให้ซิ่วจูไปรับเจ้าที่นั่นได้”
“น่าเสียดายที่ไม่นานมานี้เขตผิงเฉิงต้องได้รับการคุ้มกัน ข้ายังต้องช่วยคุ้มกันเขตผิงเฉิง มิฉะนั้น ข้าคงไปด้วยอย่างแน่นอน”
หลินฮงเหนียนหวังอย่างมากว่าซืออวี๋และหลินซิ่วจูจะสามารถตรวจสอบบางสิ่งร่วมกันที่นั่นได้
“นั่นไม่น่าจะมีปัญหา” ซืออวี๋พยักหน้า
เขายังสับสนเกี่ยวกับทิศทางการวิวัฒนาการของอสูรกินเหล็ก ตอนนี้ซากปรักหักพังที่เกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็กได้ปรากฎออกมาแล้ว นี่คุ้มค่าที่จะลองดูมาก
นี่ยังเป็นโอกาสที่ดีในการเดินทางไปยังเมืองใหญ่
ในฐานะหนึ่งในเก้าเมืองหลักของตงหวง การพัฒนาของเมืองหลวงโบราณนั้นไม่สามารถนำมาเทียบได้กับสถานที่เช่นเขตผิงเฉิงและเมืองทุ่งน้ำแข็งได้เลย
เขาถอนหายใจ เขาถูกบังคับให้หยุดพักอีกครั้งและไม่ได้เพิ่มแต้มเลย!
“สมาคมโบราคดีมีหน้าที่ตรวจสอบซากปรักหักพังที่นั่นงั้นเหรอ?”
“ไม่ เป็นสาขาโบราณคดีของเมืองหลวงโบราณ” หลินฮงเหนียนกล่าวเสริมว่า “พวกเขาน่จะเป็นผู้ที่บ่มเพาะอสูรกินเหล็ก ท้ายที่สุด มันเป็นเพียงซากปรักหักพังขนาดเล็กที่เกี่ยวข้องกับอสูรกินเหล็กและไม่ใช่มิติซากปรักหักพัง มันจึงไม่สำคัญเช่นนั้น”
“นักศึกกษาจากมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณ… นั่นก็ถือได้ว่าเป็นชนชั้นยอดเช่นเดียวกับรุ่นพี่หลิน”
มีสถาบันชั้นนำในแต่ละเมืองชั้นหนึ่งทั้งเก้าแห่ง มันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่นักฝึกสัตว์อสูรทุกคนใฝ่หา
โดยทั่วไปแล้ว หากผ่านการประเมินมืออาชีพก่อนอายุ 20 ปีเท่านั้นถึงจะมีความหวังในการเข้าเก้ามหาวิทยาลัยหลักเพื่อศึกษาต่อ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตน ข้าเดาว่าหากเจ้าเข้าร่วมการประเมินมืออาชีพ เก้ามหาวิทยาลัยหลักจะแย่งชิงเจ้าอย่างแน่นอน” หลินฮงเหนียนยิ้มออกมา
“ต่างจากซิ่วจู นางเกือบจะเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณไม่ได้”
“เกือบ?”
“อืมม เมื่อนางเข้าร่วมในการประเมินมืออาชีพ อสูรกินเหล็กก็เป็นเพียงแค่ระดับเหนือธรรมชาติชั้นต่ำเท่านั้น มันเชี่ยวชาญทักษผสานของฝ่ามือสายฟ้าขั้นช่ำชองและการเคลือบแข็งขั้นช่ำชอง”
“นอกเหนือจากนั้น นางยังได้ทำสัญญากับสัตว์อสูรอีกหนึ่งตัวที่มีพละกำลังค่อนข้างดี ทว่านางก็ทำได้เพียงแค่อยู่ในอันดับต่ำสุดของรายชื่อผู้ที่ผ่านเท่านั้น ในท้ายที่สุด นางก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณด้วยความได้เปรียบด้านอายุ”
ซืออวี๋ :“…”
นี่ยากเช่นนั้นเลยเหรอ?
“เรื่องนี้ช่วยไม่ได้ นางเลือกที่จะเข้าร่วมการประเมินมืออาชีพในเมืองหลวงโบราณ การประเมินมืออาชีพในเมืองชั้นหนึ่งนั้นยากมาก อย่างไรก็ตาม หากนางไม่เข้าร่วมการประเมินมืออาชีพที่นั่น นางคงไม่มีโอกาสได้เข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงโบราณได้เลยหลังจากผ่าน ท้ายที่สุด มหาวิทยาลัยพวกนั้นก็ไม่สนใจการประเมินมืออาชีพที่จัดขึ้นโดยสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเมืองทุ่งน้ำแข็งเลย”
เรื่องนี้โหดร้ายเกินไปสำหรับเมืองทุ่งน้ำแข็ง
ทันใดนั้น ซืออวี๋กได้นึกขึ้นได้ว่าเมืองหลวงโบราณดูเหมือนจะเป็นเมืองชั้นหนึ่งที่ใกล้ที่สุดกับเมืองทุ่งน้ำแข็ง หลู่ชิงอี้แนะนำให้เขาเข้าร่วมการประเมินมืออาชีพในเมืองชั้นหนึ่ง เขาต้องเข้าร่วมที่นั่นงั้นเหรอ?
หากเป็นเช่นนั้น เขาสงสัยว่าเขา อีเลฟเว่น และบักกี้จะได้ผลลัพธ์ยังไง
“พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปยังเมืองหลวงโบราณ” ซืออวี๋กล่าวออกมา
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเตรียมตั๋วเครื่องบิน” หลินฮงเหนียนกล่าวออกมา
…
Fanpage : ผีเสื้อกลางคืน